ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 10-16 ม.ค. 2559: “กทม. งานเข้าอีก ไฟกล้องวงจรปิดรั่วช็อตดับ” และ “ไอเอสถล่มอินโดฯ นักวิเคราะห์ชี้ ‘มือใหม่-อ่อนประสบการณ์'”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 10-16 ม.ค. 2559: “กทม. งานเข้าอีก ไฟกล้องวงจรปิดรั่วช็อตดับ” และ “ไอเอสถล่มอินโดฯ นักวิเคราะห์ชี้ ‘มือใหม่-อ่อนประสบการณ์'”

16 มกราคม 2016


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 10-16 ม.ค. 2559

  • กทม. งานเข้าอีก ไฟกล้องวงจรปิดรั่วช็อตดับ
  • กลัวโดนจับ ม็อบยางถอยแล้ว
  • ไม่พอใจ – พี่สาว “ฮันนาห์” เหยื่อเกาะเต่า โพสต์เฟซบุ๊กฉะ
  • โดนอีก “Anonymous” เจาะเว็บศาลฎีกา – สตช. เล็งทบทวนซิงเกิลเกตเวย์รับมือ
  • ไอเอสถล่มอินโดฯ นักวิเคราะห์ชี้ “มือใหม่-อ่อนประสบการณ์”
  • กทม. งานเข้าอีก ไฟกล้องวงจรปิดรั่วช็อตดับ

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐ (http://www.thairath.co.th/content/560529)
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐ (http://www.thairath.co.th/content/560529)

    2559 เข้าสู่ปีลิง ซึ่งดูเหมือนจะเริ่มซุกซนกับหน่วยงานอย่าง กทม. มาตั้งแต่ปีที่แล้ว ตั้งแต่เรื่องไฟประดับลานคนเมือง ที่นอกจากถูกตั้งคำถามเรื่องความคุ้มค่า ยังส่อแววว่าอาจมีความไม่ชอบมาพากลในการจัดซื้อจัดจ้าง มาถึงปีนี้ วงจรปิดเจ้ากรรม ที่เคยมีข้อครหาทั้งเรื่องมีแต่กล่องไม่มีกล้อง รวมทั้งคุณภาพและประสิทธิภาพที่ถูกมวลชนถล่มยับในคราวระเบิดราชประสงค์เมื่อปีที่แล้ว มาถึงต้นปีนี้ ก็กลับโชว์ความแรงด้วยเหตุการณ์ไฟรั่วช็อตคนจนเสียชีวิต

    เหตุการณ์เสาไหนไฟแรงเวอร์นี้เปิดเผยขึ้นในช่วงรอยต่อระหว่างประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ของเรา โดยเมื่อวันที่ 9 ม.ค. 2559 ช่วงเวลาประมาณ 05.30 น. พบศพชายซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นคนไร้บ้านเสียชีวิตในสภาพนั่งคุกเข่ามือทั้งสองข้างจับอยู่กับเสาติดตั้งกล้องวงจรปิด ซึ่งผู้พบศพบอกว่าเมื่อตนเอามือแตะไปที่เสาดังกล่าวก็ถูกไฟช็อตจนสะดุ้ง ทำให้มั่นใจว่าชายคนดังกล่าวถูกไฟดูดเสียชีวิตแน่นอน

    ซ้ำร้าย คนในพื้นที่ยังบอกว่า คนย่านนั้นต่างรู้ว่าเสากล้องวงจรปิดต้นนี้มีไฟฟ้ารั่ว และเคยแจ้งทางเขตไปแล้ว แต่เจ้าหน้าที่บอกว่ามาตรวจแล้วไม่มีปัญหา ทั้งยังแนะนำว่าหากใครถูกไฟฟ้าดูด ไฟฟ้าช็อต ให้ถ่ายรูปไปให้ดู

    งานนี้ร้อนถึง “คุณชายหมู” ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่า กทม. ต้องออกมาแถลงในวันที่ 11 ม.ค. 2559 ว่ากรณีดังกล่าวอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง ทั้งยังชี้แจงว่าเคยเข้าไปตรวจสอบเสากล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุเมื่อเดือน เม.ย. และ ก.ย. 2558 ตามที่มีคนแจ้ง แต่ก็พบว่าไม่มีกระแสไฟฟ้ารั่วและไม่มีอันตรายใดๆ ทั้งในวันที่เกิดเหตุกล้องก็ยังทำงานปรกติและสามารถบันทึกภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไว้ได้ แต่จากเหตุการณ์ดังกล่าวก็ได้สั่งการให้มีการตรวจสอบทั่ว กทม. อย่างรวดเร็วที่สุด เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน ทั้งยังมีการประสานงานเพื่อหาทางติดต่อกับญาติผู้เสียชีวิต เพราะไม่ว่าจะเป็นคนไร้บ้านหรือไม่ ย่อมต้องมีคนเป็นห่วงแน่นอน

    และในเวลาต่อมา นายประสาน หงษ์ประไพร พนักงาน การไฟฟ้านครหลวง บางเขน พร้อมชุดทำงาน นำรถกระเช้าขึ้นไปดูยังสายไฟที่ต่อเชื่อมกับตู้จ่ายไฟ โดยตู้ดังกล่าวเป็นตู้ที่ 1231 เลขที่ CM1-BE-139-C01 ซึ่งเป็นเสาที่มีปัญหาเกิดกระแสไฟฟ้ารั่ว พร้อมถ่ายรูป ก่อนที่จะรายงานให้กับทางหน่วยทราบ นายประสานกล่าวว่า หลังจากเกิดเหตุ ก็ลงพื้นที่ไล่ตรวจสอบเสาที่ติดสัญญาณกล้องซีซีทีวีตามจุดต่างๆ ในเขตพื้นที่ สำหรับจุดที่โดยเบื้องต้นทราบว่าไฟฟ้ารั่วนั้นเกิดจากบริษัทที่ทำหน้าที่ติดตั้งกล้องวงจรปิดให้กับกรุงเทพมหานคร ซึ่งโดยปกติแล้วไฟฟ้าที่อยู่บนสายไฟฟ้าเมนหลักนั้นจะมีกระแสไฟอยู่ที่ 24,000โวลต์ แต่เมื่อแปลงกระแสไฟฟ้าเข้ามาใช้งานกับกล้องวงจรปิดจะใช้เพียง 220 โวลต์เท่านั้น หรือเท่ากับกระแสไฟภายในบ้าน และการต่อครั้งนี้เป็นการต่อที่ผิดระบบ ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ได้ตัดกระแสไฟออกจากสายไฟที่เชื่อมกับกล้องซีซีทีวีตรงจุดนี้แล้ว

    กลัวโดนจับ ม็อบยางถอยแล้ว

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐ (http://www.thairath.co.th/content/560738)
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐ (http://www.thairath.co.th/content/560738)

    ตกแล้วตกเล่ากับราคายาง กระทั่งที่สุดแล้วอยู่ห่างจากจุดไม่ลำบากของชาวสวนยางจนเกินทนไหว ทำให้ในวันที่ 10 ม.ค. 2558 นายมนัส บุญพัฒน์ นายกสมาคมคนกรีดยางและชาวสวนยางรายย่อยแห่งประเทศไทย และนายทศพล ขวัญรอด ประธานภาคีเครือข่ายเกษตรกรชาวยางและปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทย พร้อมแกนนำรวมประมาณ 10 คน ได้นัดกลุ่มเกษตรกรชาวสวนยางพารา จำนวนประมาณ 100 กว่าคนมาชุมนุมที่บริเวณสนามหน้าศาลาประชาคม อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาราคายางตกต่ำอย่างเร่งด่วน โดยมีข้อเรียกร้อง 4 ข้อ ดังนี้

    1. ขอแก้ไขปัญหาราคาน้ำยางสดที่ค่า ดี อาร์ซี ซึ่งเป็นราคาของเกษตรกรรายย่อยโดยตรง โดยกำหนดเพดานต่ำสุดที่ราคายางแผ่นรมควันของตลาดกลางยางพาราลบด้วยค่าจัดการไม่เกิน 6 บาท
    2. ขอให้ทบทวนปรับลดขั้นระเบียบหลักเกณฑ์การเข้าถึงโครงการสร้างความเข้มแข็งของชาวสวนยาง ให้เข้าถึงการช่วยเหลือโดยเร็วตามความเดือดร้อน
    3. ขอให้พิจารณาการทำงานด้านนโยบายและมาตรการแก้ไขของรัฐมนตรีและคณะทำงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องเพื่อให้การแก้ไขปัญหาแต่ละประเด็นตรงตามบริบทที่แท้จริง
    4. ขอให้กำหนดการแก้ไขปัญหาระยะยาวของเกษตรกรชาวสวนยางรายย่อยโดยสนับสนุนเครื่องมือเครื่องจักรในการแปรรูปเป็นยางแผ่นดิบตามวิถีของชาวสวนยางแต่เดิมที่สามารถสต็อกยางตามธรรมชาติ เพื่อมีอำนาจในการต่อรองด้านราคา รัฐบาลต้องหาแหล่งทุนในการขายฝากหรือรับจำนำโดยให้สถาบันเกษตรกรที่ไม่ประกอบกิจการเพื่อทำธุรกิจหากำไรและรับรอง

    ทั้งนี้ มีการยืนยันว่า จะไม่ยุติการชุมนุม จนกว่าผลการเจรจาจะเป็นที่น่าพอใจ

    แต่อย่างไรก็ดี ในวันที่ 11 ม.ค. 2558 เมื่อแกนนำได้ขอต่อเวลาการชุมนุมเพิ่มเติมจากที่ขออนุญาตไว้ออกไปอีก 1 วัน แต่ พล.ต.ต. วันไชย เอกพรพิชญ์ ผบก.ภ.นครศรีธรรมราช ไม่อนุญาตให้ต่อเวลาในการชุมนุมประท้วงต่อไปอีก ทำให้บรรดาแกนนำและผู้ชุมนุมประท้วงที่อยู่บริเวณในเต็นท์และหน้าเวทีปราศรัยประมาณ 10 กว่าคน กลัวว่าจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร ทภ.4 จับกุมหลังเวลา 11.00 น. ประกอบกับมีข่าวว่ามีการเตรียมกำลังทหารและตำรวจเตรียมบุกจับกุมแกนนำและผู้ชุมนุมทันทีหลังเวลา 11.00 น. ทำให้แกนนำและกลุ่มผู้ชุมนุมที่เหลืออยู่ประมาณ 10 คน ยอมยุติการชุมนุม โดยแยกย้ายทยอยเก็บเก้าอี้พลาสติก รื้อเต็นท์ และข้าวของต่างๆ ทันที ก่อนที่จะเดินทางกลับบ้านพัก ในขณะที่ 2 แกนนำได้รีบเดินทางไปขึ้นเครื่องบินเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการยางพาราอย่างเป็นระบบ

    ต่อมา ในวันที่ 12 ม.ค. 2559 “บิ๊กป้อม” พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวยืนยันว่าไม่มีการควบคุมแกนนำผู้ชุมนุมชาวสวนยาง 50 คนไปปรับทัศนคติแต่อย่างใด ทั้งยังกล่าวว่าส่วนตัวดีใจที่ประชาชนมีความเข้าใจว่าขณะนี้มี พ.ร.บ.การชุมนุมในที่สาธารณะ แกนนำต้องมีการขออนุญาตก่อนชุมนุม

    ทั้งนี้ ในวันเดียวกัน รัฐบาลได้มีมาตรการช่วยเหลือโดยจะนำร่องด้วยรับซื้อยางพาราจากชาวสวนโดยตรงเป็นจำนวน 1 แสนตัน

    ไม่พอใจ – พี่สาว “ฮันนาห์” เหยื่อเกาะเต่า โพสต์เฟซบุ๊กฉะ

    ฮันนาห์ วิทเธอร์ริดจ์ (ซ้าย) เดวิด มิลเลอร์ (ขวา) ที่มาภาพ: บีบีซีไทย (https://goo.gl/xowdyq)
    ฮันนาห์ วิทเธอร์ริดจ์ (ซ้าย) เดวิด มิลเลอร์ (ขวา)
    ที่มาภาพ: บีบีซีไทย (https://goo.gl/xowdyq)

    หลักจากศาลชั้นต้นพิพากษาประหารชีวิตสองจำเลยในคดีฆาตกรรมนายเดวิด มิลเลอร์ และนางสาวฮันนาห์ วิทเธอร์ริดจ์ สองนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่เกาะเต่า และทางด้านครอบครัวของนายเดวิดก็ดูจะพึงพอใจกับกระบวนการยุติธรรมที่ดำเนินมาจนถึงจุดสิ้นสุดเบื้องต้นดังกล่าว ดังแถลงการณ์ของทางครอบครัวที่ระบุว่าศาลได้ตัดสินอย่างยุติธรรม และตำรวจไทยได้สอบสวนเรื่องนี้อย่างรอบคอบและละเอียดถี่ถ้วน โดยมีหลักฐานท่วมท้นที่ใช้เอาผิดกับจำเลย

    ทว่า ฝ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ดูจะไม่พึงพอใจอย่างนั้น เพราะนอกจากคำประท้วงของทางฝั่งพม่าที่เรียกร้องให้มีการทบทวนคำพิพากษาและรื้อคดี ล่าสุด ลอรา วิทเธอร์ริดจ์ พี่สาวของฮันนาห์ ก็ได้โพสต์เฟซบุ๊กระบายความอึดอัดใจต่อคดีดังกล่าว ไม่ว่าจะเรื่องของการได้รับการข่มขู่จากคนไทยเมื่อมีความพยายามติดตามคดี การพูดจาที่ไม่ดีของเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งเธอยังระบุว่ามีผู้เสียชีวิตที่เกาะเต่าอีกหลายราย ที่อาจถูกปกปิดด้วยการทำให้เป็นเรื่องของการฆ่าตัวตายหรืออุบัติเหตุ

    จากรายงานของบีบีซีไทย ลอราระบุว่า ตลอดช่วงเวลาของการพิจารณาคดี ทั้งผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่ศาลได้แสดงความเห็นที่ทำร้ายความรู้สึกของครอบครัววิทเธอร์ริดจ์เป็นอย่างยิ่ง รวมทั้งถ้อยคำที่ว่า “ยังจะต้องวุ่นวายอะไรอีก? กลับบ้านไปเสีย ไปทำลูกใหม่อีกคนก็แล้วกัน อีก 30 วันเธอก็กลับมาเกิดใหม่แล้ว ชาติหน้าเธออาจจะโชคดีกว่านี้” ลอราบอกด้วยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยส่วนใหญ่ทุจริต ทั้งยังหลอกให้ครอบครัวของเธอเข้าร่วมการแถลงข่าวโดยไม่เต็มใจ ทั้งที่ตอนแรกบอกว่าเป็นการเชิญไปให้ข้อมูลเพิ่มเติม

    ต่อการโพสต์ดังกล่าว วันที่ 13 ม.ค. 2559 พล.ต.อ. จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ได้สั่งการให้ฝ่ายกฎหมายและกองการต่างประเทศแปลและตรวจสอบข้อความของสื่อมวลชนต่างประเทศและข้อความดังกล่าวในเฟซบุ๊กส่วนตัวของลอราอย่างละเอียด เพื่อตรวจสอบดูว่าเข้าข่ายการกระทำผิดกฎหมายหรือไม่ ส่วนเรื่องฟ้องกลับต้องรอตรวจสอบรายละเอียดว่าเข้าข่ายความผิดหรือไม่ รวมทั้งยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสืบสวนสอบสวนคดีเกาะเต่าไปตามพยานหลักฐานทั้งหมด

    โดนอีก “Anonymous” เจาะเว็บศาลฎีกา – สตช. เล็งทบทวนซิงเกิลเกตเวย์รับมือ

    ที่มาภาพ: ผู้จัดการออนไลน์ (http://goo.gl/iTWAzm)
    ที่มาภาพ: ผู้จัดการออนไลน์ (http://goo.gl/iTWAzm)

    อีกหนึ่งผลสะเทือนจากคำตัดสิน “คดีเกาะเต่า” ก็คือ การที่กลุ่มแฮกเกอร์ชื่อก้องโลกอย่าง “Anonymous” ประกาศจะถล่มเว็บไซต์กลุ่มหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมของไทยเพื่อประท้วงคำตัดสินดังกล่าว

    13 ม.ค. 2559 เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์รายงานโดยอ้างอิงสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า กลุ่ม Anonyous ระบุในหน้าเฟซบุ๊ก “We Are Anonymous” ว่า “Anonymous ปิดเว็บไซต์ศาลยุติธรรมไทยทั้งหมดเพื่อประท้วงต่อคำพิพากษาคดีฆาตกรรมบนเกาะเต่า Anonymous สนับสนุนการรณรงค์ที่เรียกร้องให้นักท่องเที่ยวคว่ำบาตรไทย”

    ทั้งนี้ ในช่วงเวลาดังกล่าว หน้าแรกของเว็บไซต์สำนักงานศาลยุติธรรมได้กลายเป็นพื้นสีดำ และมีรูปสัญลักษณ์คล้ายหน้ากากสีขาวถูกคาดบริเวณดวงตา พร้อมข้อความภาษาอังกฤษที่เขียนว่า “BLINK HACKER GROUP” และ “Failed Law We Want Justice ! # Boycott Thailand” (BLINK HACKER GROUP เป็นหนึ่งในกลุ่มแฮกเกอร์ของกลุ่ม Anonymous)

    และในวันที่ 15 ม.ค. 2559 BLINK HACKER GROUP ได้ปล่อยฐานข้อมูลขนาด 1.09 กิกะไบต์ โดยระบุว่าข้อมูลนี้ได้จากการแฮกเว็บศาลฎีกาของไทยเมื่อวันก่อน ซึ่งข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลเกี่ยวกับระบบการจัดการภายใน เช่น สลิปเงินเดือน เงินบำนาญ งบประมาณและการวางแผน และระบบคดีอาชญากรรม

    อนึ่ง มติชนออนไลน์รายงานว่า พล.ต.อ. เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยอมรับว่าทราบตัวแฮกเกอร์ที่แฮกเว็บไซต์ของศาลยุติธรรมจากต่างประเทศแล้ว ขณะนี้กำลังรอให้สำนักงานกระทรวงยุติธรรมเข้าแจ้งความกับตำรวจปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) และเชื่อว่า กลุ่มแฮกเกอร์ต้องการแสดงตัวและประกาศศักดาในโลกไซเบอร์โดยอาศัยคดีเกาะเต่าสร้างชื่อเสียง แต่ยังไม่ยืนยันว่ากลุ่มแฮกเกอร์ดังกล่าวเป็นกลุ่มสัญชาติเมียนมาหรือไม่

    ส่วนมาตรการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำกับหน่วยงานราชการเป็นครั้งที่ 3 ตำรวจ ปอท. และหน่วยงานด้านความมั่นคงก็มีการทบทวนและให้ความรู้ผู้ปฏิบัติเกี่ยวกับวิธีการแฮกเกอร์และวิธีการโจมตี พร้อมยอมรับว่าอาจมีความจำเป็นต้องทบทวนแนวคิดการนำระบบซิงเกิลเกตเวย์มาใช้เพื่อความมั่นคง

    ไอเอสถล่มอินโดฯ นักวิเคราะห์ชี้ “มือใหม่-อ่อนประสบการณ์”

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ข่าวสด http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1452747628
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ข่าวสด http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1452747628

    14 ม.ค. 2559 เกิดเหตุระเบิดและกราดยิงบริเวณใกล้ทำเนียบประธานาธิบดีและสำนักงานสหประชาชาติอินโดนีเซีย ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 7 ราย ประกอบด้วย พลเรือน 2 ราย และคนร้าย 5 ราย โดยคนร้ายเสียชีวิตจากระเบิดพลีชีพ 2 ราย และเสียชีวิตในการยิงปะทะกับเจ้าหน้าที่ 3 ราย ทั้งนี้ มีผู้บาดเจ็บประมาณ 20 คน และกลุ่มไอเอสได้ออกแถลงการณ์อ้างว่าพวกตนอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้

    อนึ่ง นี่นับเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดอีกครั้งในอินโดนีเซีย นับจากเหตุระเบิดบนเกาะบาหลี เมื่อปี พ.ศ. 2545 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 202 ราย บาดเจ็บ 240 ราย เหตุระเบิดโรงแรมแมริออท ในปี พ.ศ. 2546 ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 12 ราย บาดเจ็บ 150 ราย และเหตุการณ์ระเบิดโรงแรม เจ.ดับบลิว. แมริออท ริตซ์-คาร์ลตัน ในปี พ.ศ. 2552 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 9 ราย บาดเจ็บ 50 ราย

    กระนั้น ตามรายงานของบีบีซีไทย นายโยฮันเนส สุไลมาน ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง มองว่า เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นฝีมือของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ยังขาดประสบการณ์ แต่ต้องการแสดงฝีมือให้ประจักษ์ เพราะเมื่อมองในแง่ของความเสียหายแล้วถือว่าไม่สูงมาก หรือถ้าผู้ก่อการตั้งเป้าให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ก็ถือว่าไม่ประสบความสำเร็จ และการโจมตีก็ดูเหมือนจะขาดการประสานงานกัน