หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2558 อนุมัติหลักการ “ร่าง พ.ร.บ. การจัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ….” ขึ้นมาใช้แทนระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมถึงระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ หรือข้อกำหนดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดมาตรฐานเดียวกันในการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุของภาครัฐ ก่อนส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
ล่าสุด ช่วงต้นเดือนธันวาคม 2558 ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาร่าง พ.ร.บ. นี้เสร็จแล้ว และได้ส่งกลับมายังรัฐบาล โดยที่ประชุม ครม. ได้มีมติให้ส่งร่าง พ.ร.บ. นี้ไปให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ทราบ หากมีความเห็นเพิ่มเติมให้แจ้งมายังสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ภายใน 7 วัน และกรณีที่จะเสนอขอแก้ไขในส่วนที่มีนัยสำคัญ ก็ให้ส่งร่าง พ.ร.บ. นี้ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้ง แต่กรณีที่เห็นชอบด้วยหรือมิได้มีกรณีที่จะเสนอขอแก้ไขในส่วนที่มีนัยสำคัญ ให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วิปรัฐบาล) พิจารณาอีกครั้ง ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณา เพื่อออกมาบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป
สำหรับสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. …. (ฉบับที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว) มี 11 ประการ มีใจความโดยสรุป ดังนี้
- ร่าง พ.ร.บ. นี้จะใช้บังคับกับหน่วยงานของรัฐทุกแห่ง ทั้งราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน รวมถึงองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เช่น ป.ป.ช. สตง. ผู้ตรวจการแผ่นดิน ฯลฯ ด้วย
- การจัดซื้อจัดจ้างของรัฐจะต้องสอดคล้องกับหลักการ 4 ประการ คือ คุ้มค่า โปร่งใส มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล และตรวจสอบได้
- ให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐได้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำข้อตกลงคุณธรรมเพื่อเปิดโอกาสให้ร่วมสังเกตุการณ์ หรืออาจเข้ามาด้วยวิธีการอื่น
- จะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพิ่มเติม 5 ชุด คือ (1) คณะกรรมการนโยบาย (2) คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหา (3) คณะกรรมการกำหนดราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ (4) คณะกรรมการความร่วมมือป้องกันการทุจริต และ (5) คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และข้อร้องเรียน โดยจะทำงานร่วมกับคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุตามกลไกของรัฐปกติ เพื่อทำให้การรจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐเป็นไปด้วยความโปร่งใสยิ่งขึ้น
- ให้กรมบัญชีกลางเป็นผู้จัดทำฐานข้อมูลราคาอ้างอิงของพัสดุ
- ให้ผู้ประกอบการที่จะเป็นผู้ยื่นเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐจะต้องมาขึ้นทะเบียนไว้กับกรมบัญชีกลาง
- ให้หน่วยงานของรัฐต้องทำแผนการจัดซื้อจัดจ้างประจำปี และประกาศเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของหน่วยงานรัฐนั้นๆ โดยวิธีการจัดซื้อจัดจ้าง จะเหลือเพียง 3 วิธี คือ ประกาศเชิญชวนทั่วไป คัดเลือก และเฉพาะเจาะจง (และให้เพิ่มอีก 1 วิธี คือ ประกวดแบบ สำหรับการจ้างออกแบบหรือควบคุมงานก่อสร้าง)
- ในการทำสัญญาจะมีข้อตกลงห้ามคู่สัญญาจ้างช่วงให้ผู้อื่นทำอีกทอดหนึ่งไม่ว่าจะทั้งหมดหรือบางส่วน เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานของรัฐที่เป็นคู่สัญญาแล้ว
- กำหนดให้ใช้ผลประเมินการปฏิบัติงานของผู้ประกอบการเป็นหนึ่งในเกณฑ์การคัดเลือกคุณสมบัติของผู้ที่จะเข้ายื่นข้อเสนอหรือเข้าทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ
- กำหนดกลไกในการร้องเรียนของผู้ประกอบการที่เข้าร่วมการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐไว้ 2 ระดับ คือต่อหน่วยงานของรัฐนั้นๆ และหากไม่พอใจ ก็ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และข้อร้องเรียนได้
- กำหนดโทษทางอาญาสำหรับเจ้าหน้าที่หรือผู้มีอำนาจหน้าที่ที่ละเว้นไม่ปฏิบัติตามร่าง พ.ร.บ. นี้ โดยมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี ปรับ 40,000-400,000 บาท โดยให้ผู้ใช้หรือผู้สนับสนุนการกระทำความผิดต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.บ. นี้จะใช้บังคับเมื่อพ้นระยะเวลา 180 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป