ThaiPublica > เกาะกระแส > มติครม. ยืดโครงการเสริมความเป็นอยู่ตำบลละ 5 ล้านถึง 15 ต.ค. – งบปี’ 58 เบิกจ่ายได้ 91% – อนุมัติเพิ่ม ขรก. 1.3 หมื่นอัตรา

มติครม. ยืดโครงการเสริมความเป็นอยู่ตำบลละ 5 ล้านถึง 15 ต.ค. – งบปี’ 58 เบิกจ่ายได้ 91% – อนุมัติเพิ่ม ขรก. 1.3 หมื่นอัตรา

1 ตุลาคม 2015


 พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม  ที่มาภาพ : http://www.thaigov.go.th/
พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่มาภาพ : http://www.thaigov.go.th/

เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2558 ที่ทำเนียบรัฐบาล มีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมแทน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่อยู่ระหว่างเดินทางไปร่วมการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา

แจงทุกตำบล ได้ 5 ล้านหมด ขยายเวลายื่นคำขออีก 15 วันต้องทำโครงการเสร็จใน 3 เดือน

พล.ต. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า ที่ประชุมได้มีการทำความเข้าใจกรณีมติ ครม. เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2558 เรื่องมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล ด้วยการสนับสนุนเงินลงทุนตำบลละ 5 ล้านบาท ให้กับ 7,255 ตำบล รวมวงเงิน 36,275 ล้านบาท เนื่องจากขณะนี้มีการเข้าใจว่า บางตำบลจะได้ไม่ครบ 5 ล้านบาท เพราะต้องไปหักเงินจากที่ได้รับจากมาตรการสำคัญเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและคนยากจนในการเสริมสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน ซึ่งที่ประชุม ครม. อนุมัติไปเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2558 จำนวน 4,966 โครงการ รวมวงเงิน 6,541 ล้านบาท โดย พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ยืนยันต่อที่ประชุมว่า ทั้ง 2 โครงการเป็นคนละส่วนกัน เพราะมีวัตถุประสงค์โครงการแตกต่างกัน โดยมาตรการสนับสนุนตำบลละ 5 ล้านบาท หวังผลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หวังผลระยะสั้น เห็นได้จากการกำหนดให้ดำเนินการเสร็จสิ้นภายใน 3 เดือนสุดท้ายของปี 2558 ส่วนโครงการที่ใช้งบ 6,541 ล้านบาท เป็นการส่งเสริมการรวมกลุ่มเกษตรกรเพื่อสร้างงาน ซึ่งจะส่งผลในระยะยาว

“ยืนยันว่าทุกตำบลจะได้เงินสนับสนุน 5 ล้านบาท เท่ากันหมด เพียงแต่โครงการที่ยื่นของบประมาณจะต้องไม่ซ้ำซ้อนกับโครงการที่ยื่นไว้เดิม” พล.ต. สรรเสริญ กล่าว

“อนุพงษ์” ยันมีมาตรการป้องกันทุจริต

นายสมศักดิ์ โชติรัตนะศิริ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ (สงป.) กล่าวว่า ขณะนี้ทุกตำบลได้ยื่นคำร้องขอรับเงินสนับสนุนจากงบที่ได้รับตำบลละ 5 ล้านบาท ครบทั้ง 7,255 ตำบลแล้ว แต่เนื่องจากยังมีความเข้าใจที่สับสนคิดว่าบางตำบลจะได้รับงบไม่ครบ 5 ล้านบาท จึงมีการขยายเวลาในการยื่นคำร้องขอรับเงินสนับสนุน จากเส้นตายเดิมในวันที่ 30 กันยายน 2558 ออกไปอีก 15 วัน เป็นจนถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2558 โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้ สงป. ตรวจสอบว่า มีคำร้องขอรับเงินสนับสนุนใดที่ซ้ำซ้อนกับโครงการที่ใช้งบ 6,541 ล้านบาท เบื้องต้นพบว่ามีประมาณ 400-500 ล้านบาท ซึ่งได้ตีกลับไปให้ตำบลดังกล่าวทำคำร้องขอรับเงินสนับสนุนเข้ามาใหม่ แต่ต้องเป็นโครงการอื่นที่ไม่ซ้ำซ้อนกับโครงการเดิม

สำหรับความคืบหน้าการดำเนินมาตรการเสริมการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ โครงการละไม่เกิน 1 ล้านบาท รวมวงเงิน 24,000 ล้านบาท ที่ประชุมได้อนุมัติไปแล้วกว่า 1.9 หมื่นล้านบาท คงเหลือกว่า 5 พันล้านบาท โดยส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้ยื่นคำร้องขอเงินสนับสนุนมาแล้ว แต่ได้รับการอนุมัติไปเพียง 3.6 พันล้านบาท ยังเหลืองบอีก 1.4 พันล้านบาท ที่ต้องยื่นคำร้องขอเงินสนับสนุนมายัง สงป. อีกครั้ง

ด้าน พล.อ. อนุพงษ์ กล่าวว่า จะมีมาตรการป้องกันการทุจริตการใช้เงินสนับสนุนตำบลละ 5 ล้านบาท ทั้งขาขึ้นและขาลง โดยขาขึ้น ในขั้นตอนการเสนอโครงการ จะให้คณะกรรมการหมู่บ้านเสนอขึ้นมายังจังหวัด เพื่อให้เป็นความต้องการของคนในท้องถิ่นจริงๆ ส่วนขาลง จะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบ เช่น สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เข้าไปช่วยดูเพื่อให้เกิดความโปร่งใส

สำหรับวาระการประชุม ครม. อื่นๆ ที่น่าสนใจ

ปีงบ 58 เบิกจ่ายได้ 91%

นายสมศักดิ์ โชติรัตนะศิริ ผู้อำนวยการ สงป. กล่าวว่า ผลการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2558 ขณะนี้ มีการเบิกจ่ายไปแล้ว 2.35 ล้านล้านบาท จากวงเงินทั้งหมด 2.57 ล้านล้านบาท คิดเป็น 91.5% แบ่งเป็นการเบิกจ่ายงบลงทุน 3.46 แสนล้านบาท จากวงเงินทั้งหมด 4.50 แสนล้านบาท คิดเป็น 77.1%

สำหรับการเบิกจ่ายงบประมาณในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี 2558 ทั้งจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่ง ครม. อนุมัติไปทั้ง 2 ครั้ง และการเบิกจ่ายงบประมาณปกติ คาดว่าน่าจะอยู่อีก 2.84 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดือนเดียวกันของปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 1.58 แสนล้านบาท ถึง 1.26 แสนล้านบาท เท่ากับ 0.9% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)

พาณิชย์ ชู 3 โครงการพัฒนาตลาด สานนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ

นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังการประชุม ครม. ว่า วันนี้กระทรวงพาณิชย์ได้เสนอ โครงการตอบรับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ได้แก่ โครงการยกระดับตลาดกลาง โครงการตลาดชุมชนเพื่อธุรกิจท้องถิ่น และโครงการ Thaitrade.com – SOOK (Small Order OK)

“ทั้ง 3 โครงการ จะใช้เงินงบประมาณรายจ่ายปี 2558 เท่าที่มีของกระทรวงพาณิชย์จำนวน 328.6 ล้านบาท ขาดเหลือจึงจะใช้งบกลาง” นายสุวิทย์ กล่าว

โดยโครงการยกระดับตลาดกลาง ภายใต้การดูแลของกรมการค้าภายใน เป็นส่วนที่จะรวบรวมผลผลิต เป็นแหล่งเชื่อมโยง และกระจายสินค้าให้กับเกษตรกร ธนาคารพาณิชย์จะเป็นผู้สนับสนุนเงินทุนให้แก่ผู้ประกอบการในการฟื้นฟูและพัฒนาตลาดกลางดังกล่าว โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ย 3% ในระยะเวลา 3 ปี

ส่วนโครงการตลาดชุมชนเพื่อธุรกิจท้องถิ่น อาทิ โครงการ OTOP จะมีการใช้ธุรกิจเอสเอ็มอี สหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน สถาบันเกษตร และกลุ่มเกษตรกรรายย่อย สร้างความเข้มแข็งให้ธุรกิจท้องถิ่น เป็นกลไกแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรให้แก่รัฐบาล เป็นช่องทางในการระบายผลผลิตของเกษตรกร รวมถึงเป็นส่วนที่จะตอบโจทย์การท่องเที่ยว จะดำเนินการในพื้นที่ 76 จังหวัด จังหวัดละ 236 แห่ง ในระเวลา 3 ปี

ด้านโครงการ Thaitrade.com – SOOK เป็นส่วนที่เป็นตลาดกลางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ผ่านเว็บไซต์ Thaitrade.comที่จะทำการเชื่อมตลาดชุมชนและผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสู่เศรษฐกิจดิจิทัล นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้รับมอบโครงการ Thailandbest จากภาคเอกชน (เครือสหพัฒน์) มาดำเนินการต่อ ส่วนนี้จะช่วยเชื่อมตลาดไปสู่ประชาชนได้มากขึ้น โดยดำเนินการผ่านเว็บไซต์ www.thailandbest.in.th

ปรับโครงสร้าง ทูตพาณิชย์ – พาณิชย์จังหวัด รับคลัสเตอร์เศรษฐกิจ – AEC

นายสุวิทย์ระบุว่า กระทรวงพาณิชย์จะดำเนินการปรับโครงสร้างการทำงานของทูตพาณิชย์ไทยที่ประจำการอยู่ใน 41 พื้นที่ใหม่ โดยให้ความสำคัญกับประเทศในภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น โดยแต่ละพื้นที่ต้องอาศัยความสามารถและทักษะแตกต่างกันไปตามลักษณะเศรษฐกิจของแต่ละพื้นที่ จึงต้องมีการคัดสรรคนเข้ามาดำเนินการใหม่เพื่อให้ทูตพาณิชย์เป็นผู้เจาะตลาดในแต่ละพื้นที่

“ทูตพาณิชย์เหล่านี้จะเป็นตัวเชื่อมที่ดีให้กับพาณิชย์จังหวัด ซึ่งต่อไปพาณิชย์จังหวัดจะป็นจิ๊กซอว์ตัวสำคัญที่สุด ส่วนนี้ก็จำเป็นต้องหาบุลคลากรที่มีความเข้าใจแต่ละพื้นที่เข้าไปดำเนินการ เพราะจะต้องเชื่อมโยงกับนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในรูปแบบคลัสเตอร์ นอกจากนี้ทางกระทรวงมีแผนการที่จะสนับวิสาหกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (Innovation-Driven Enterprises: IDE) ที่เป็นบุคลากรรุ่นใหม่ อาทิ กรณีของมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ก เป็นส่วนที่จะต้องให้การสนับสนุนแยกจากเอสเอ็มอีอื่นๆ” นายสุวิทย์กล่าว

นอกจากนี้ นายสุวิทย์กล่าวเพิ่มเติมว่า จะมีการปรับโครงสร้าง 12 เซกเตอร์อุตสาหกรรมส่งออกของไทยใหม่ทั้งหมด โดยนายกรัฐมนตรี จะทำการหารือกับแต่ละเซกเตอร์เป็นการเฉพาะ โดยเริ่มต้นจากอุตสาหกรรมยานยนต์

ภายหลังการประชุม ครม. พล.ต. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงถึงรายงานในที่ประชุมและมติที่สำคัญเพิ่มเติม ดังนี้

พล.ต. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มาภาพ : http://www.thaigov.go.th/
พล.ต. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มาภาพ : http://www.thaigov.go.th/

เล็งใช้ตั๋วร่วม ปลายปี’59 เชื่อมระบบขนส่งมวลชน

พล.ต. สรรเสริญ กล่าวว่า นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้รายงานต่อที่ประชุมถึงแนวคิดที่ใช้ระบบ “ตั๋วร่วม” โดยสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้พิจารณาที่จะเชื่อมโยงการใช้บริการการเดินทางและการขนส่ง โดยเฉพาะการคมนาคมสาธารณะ อาทิ รถไฟฟ้า (BTS) รถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) การเดินทางทางน้ำ รถเมล์ การใช้บริการมอเตอร์เวย์ รวมถึงการใช้บริการทางด่วนในระบบ Easy Pass ให้ประชาชนสามารถใช้บริการได้โดยใช้เพียงตั๋วใบเดียว

โดยการจัดทำตั๋วร่วมดังกล่าวจะช่วยให้ประชาชนประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้น รวมถึงรัฐเองก็จะประหยัดงบประมาณในการดำเนินการทำระบบเก็บเงิน ระบบดังกล่าวจะช่วยให้รัฐสามารถเก็บ้อมูลเพื่อวางแผนเรื่องการจราจรและการขนส่งต่อไปได้ในอนาคต

“ในเรื่องตั๋วร่วมมีแนวคิดมา 4-5 ปีแล้ว แต่ครั้งนี้จะเป็นการดำเนินการให้เป็นรูปธรรม โครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างดำเนินการ คาดว่าในเดือนกุมภาพันธ์ 2559 จะดำเนินการติดตั้งระบบเสร็จ และจะทำการทดสอบระบบในเดือนสิงหาคม 2559 หลังจากนั้นอาจมีการปรับปรุงอีกเล็กน้อยและจะทำการเปิดให้บริการได้เลย” พล.ต. สรรเสริญ กล่าว

“สมคิด” ชงใช้ระบบ “PPP” กระตุ้นเศรษฐกิจ หนุนรัฐจัด “งบแบบบูรณาการ”

พล.ต. สรรเสริญ กล่าวว่า นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ได้ชี้แจงในที่ประชุมถึงแนวทางการประหยัดงบประมาณของประเทศ 2 แนวทาง คือ แนวทางที่จะส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญโดยอาศัยระบบความร่วมมือภาครัฐ-ภาคเอกชน (Public Private Partnership: PPP) และจัดทำ “งบประมาณแบบบูรณาการ” โดยหน่วยงานหรือกระทรวงใดที่มีนโยบายหรือโครงการเหมือนกัน อาทิ นโยบายลดความเหลื่อมล้ำ ให้ประสานงานและเชื่อมโยงกัน ซึ่งการจัดทำงบประมาณแบบบูรณาการนี้ให้นำไปใช้ในการจัดทำงบประมาณในปีงบประมาณถัดไป

อนุมัติเพิ่ม ขรก. 1.3 หมื่นอัตรา

พล.ต. สรรเสริญ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. อนุมัติให้เพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่แก่ส่วนราชการต่างๆ จำนวน 13,280 อัตรา ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) โดยมอบให้สำนักงบประมาณดำเนินการในการจัดสรรงบบุคคล โดยมี 7 หน่วยงานที่ยื่นขอเพิ่มกำลังคน ดังนี้
– กระทรวงสาธารณสุข จำนวน 9,863 อัตรา สำหรับเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขต่างๆ
– กระทรวงมหาดไทย ในสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย รวม 307 อัตรา สำหรับปฏิบัติงานในศูนย์ดำรงธรรม และส่วนของกรมการปกครอง 841 อัตรา สำหรับปฏิบัติงานในที่ทำการอำเภอ
– กระทรวงยุติธรรม ในส่วนของกรมราชทัณฑ์ จำนวน 1,794 อัตรา สำหรับปฏิบัติงานในเรือนจำ ทัณฑสถาน และสถานกักขัง ส่วนสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) จำนวน 325 อัตรา สำหรับปฏิบัติงานด้านการแก้ไขปัญหาทุจริต ตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล
– สำนักงานงานข่าวกรองแห่งชาติ 143 อัตรา สำหรับเพิ่มประสิทธิภาพในภารกิจด้านข่าวกรองของประเทศ
– กระทรวงการต่างประเทศ จำนวน 7 อัตรา สำหรับปฏิบัติงานในสถานเอกอัครราชทูตแห่งใหม่ ณ กรุงมาปูโต สาธารณรัฐโมซัมบิก

“ในที่ประชุม นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ชี้แจงให้ฟังว่ารัฐต้องใช้งบประมาณเฉลี่ย 25 ล้านบาท ในการจ้างงานและให้สวัสดิการต่างๆ แก่ข้าราชการ 1 คน การขอเพิ่มกำลังคนจึงต้องดูตามความเหมาะสม ในกรณีที่มีการขอแปรสภาพพนักงานลูกจ้างชั่วคราวเป็นข้าราชการ ได้ขอให้ทุกหน่วยงานดำเนินการป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น เพราะหากจะเพิ่มจำนวนข้าราชการอย่างเดียวจะมีผลกระทบต่องบประมาณ และการการบริหารประเทศในภาพรวม” พล.ต. สรรเสริญ กล่าว

ดึงงบกลาง 700 ล้าน สร้างแก้มลิง – ฝายกักน้ำ รับภัยแล้งปี’59

พล.ต. สรรเสริญ ระบุว่า ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติให้ดำเนินโครงการแก้มลิงเพื่อเก็บกักน้ำในลุ่มน้ำชายแดนระหว่างประเทศ ระยะเร่งด่วน และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำในลำน้ำเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ในวงเงิน 721.69 ล้านบาท โดยต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนสิ้นฤดูฝน ในกลางเดือนตุลาคม 2558 นี้

“งบประมาณดังกล่าวจะใช้ใน 2 โครงการ คือ โครงการแก้มลิงเพื่อเก็บกักน้ำในลุ่มน้ำชายแดนระหว่างประเทศ ระยะเร่งด่วน จำนวน 604.5 ล้านบาท ทั้งหมด 30 แห่ง ในพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ นครพนม หนองคาย เลย บึงกาฬ และมุกดาหาร มีกรมชลประทานเป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำในลำน้ำเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง จำนวน 117.19 ล้านบาท ในพื้นที่ลำน้ำขนาดเล็กทั่วประเทศ 526 แห่ง แบ่งเป็นภาคเหนือ 100 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 384 แห่ง ภาคกลาง 10 แห่ง และภาคตะวันออก 32 แห่ง โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้รับผิดชอบ

ปรับ กอช. บริหารงานแบบซูเปอร์บอร์ด

รายงานเพิ่มเติมจากทำเนียบรัฐบาลระบุว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบให้ปรับปรุงโครงสร้าง องค์ประกอบ และอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติ (กอช.) ให้ กอช. บริหารงานในลักษณะซูเปอร์บอร์ด โดยมอบให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการปรับแก้ไขระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ยกเลิกมติ ครม. จัดสรรที่ป่าชายเลน 27,000 ไร่ ให้คนไร้ที่ทำกิน

พล.ต. สรรเสริญ กล่าวถึงมติในที่ประชุมพิจารณาอนุมัติยกเว้นมติ ครม. เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2534 และ 22 สิงหาคม 2543 ในการนำที่ดินป่าชายเลนในท้องที่ อ.เมือง และ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ไปจัดทำที่ดินทำกินให้ประชาชน จำนวน 27,000 ไร่ ตามที่กระทวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ เนื่องจากที่ผ่านมาพื้นที่ป่าชายเลนของไทยลดลงอย่างมากจาก 2.3 ล้านไร่ ในปี 2534 เหลือ 1.5 ล้านไร่ในปัจจุบัน

“ในช่วงที่มีการอนุมัติจัดสรรที่ดินทำกินดังกล่าวนั้น จำนวนป่าชายเลนของไทยยังมีอยู่มาก คือ 2.3 ล้านไร่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปมีการเข้าไปใช้ประโยชน์จากป่าชายเลนมากทำให้พื้นที่ลดลงเหลือเพียง 1.5 ล้านไร่ ในปัจจุบันจึงมีข้อเสนอให้ยกเลิกมติ ครม. เดิม แต่จะทำการจัดสรรที่ดินจำนวน 27,000 ไร่ ในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราชเป็น 3 ส่วน คือ จำนวน 10,500 ไร่ จัดสรรสำหรับผู้ที่อยู่ในพื้นที่อยู่แล้วได้ทำกินต่อไป จำนวน 500 ไร่ จะเป็นส่วนที่รัฐจัดสรรให้เพิ่มเติมแก่ผู้ที่ยังไม่มีที่ดินทำกิน ส่วนอีก 16,000 ไร่ เป็นส่วนที่ยังมีความอุดสมบูรณ์จะขอสงวนไว้เพื่อทำการฟื้นฟูต่อไป ทั้งนี้ การจัดสรรที่ดินดังกล่าวเป็นการให้ประชาชนเข้าไปใช้ประโยชน์ จะไม่มีการมอบเอกสารสิทธิ์ให้แก่ประชาชนแต่อย่างใด” พล.ต. สรรเสริญ กล่าว