
เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2558 นายภักดี โพธิศิริ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2558 จะมีการประชุมคณะอนุกรรมการกำกับดูแลจัดซื้อจัดจ้างในภาครัฐชอง ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาว่า มีบริษัทเอกชนใดที่เป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐแล้วยังไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 103/7 วรรคสอง ที่กำหนดให้คู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐในโครงการที่มูลค่าเกินกว่า 2 ล้านบาท ต้องยื่นบัญชีแสดงรายรับรายจ่ายในโครงการ หรือแบบ บช.1 ให้กรมสรรพากรตรวจสอบทุกปี เพื่อป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน เช่น การให้เงินใต้โต๊ะ สำหรับบทลงโทษของเอกชนที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 103/7 วรรคสอง ก็คือการประกาศขึ้นบัญชีดำ หรือ “แบล็กลิสต์” ไม่ให้ทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐได้อีก โดยจะประกาศไว้บนเว็บไซต์ของ ป.ป.ช.
ทั้งนี้ เท่าที่เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. รายงานข้อมูลมาเบื้องต้น คาดว่าจะมีบริษัทเอกชนนับพันที่ถูกขึ้นแบล็กลิสต์ ส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่เพิ่งจดทะเบียนจัดตั้ง ทำให้อาจจะยังไม่รู้ว่ามีกฎเกณฑ์นี้อยู่
“แต่หลังจากถูกขึ้นแบล็กลิสต์แล้ว หากบริษัทเอกชนใดดำเนินการยื่นบัญชีแสดงรายรับรายจ่ายในโครงการให้ถูกต้อง ก็จะถูกปลดชื่อออกจากแบล็กลิสต์ สามารถกลับเข้าทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐได้อีก ต่างกับกรณีทิ้งงานที่จะไม่สามารถกลับมาเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐได้ตลอดไป” นายภักดีกล่าว
ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ป.ป.ช. เกือบ 7 หมื่นสัญญา
ด้านนายวิโรจน์ ฆ้องวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดสกลนคร ในฐานะอนุกรรมการกำกับดูแลการจัดซื้อจัดจ้างในภาครัฐของ ป.ป.ช. เปิดเผยว่า กฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 103/7 วรรคสอง ได้เริ่มบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2555 ถึงปัจจุบันก็ครบ 3 ปีแล้ว ที่ผ่านมายังไม่มีการประกาศแบล็กลิสต์ เพราะต้องใช้เวลาทำความเข้าใจก่อน จากข้อมูลที่มีอยู่มีคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐเกือบ 70,000 สัญญา ที่ไม่ได้ยื่นแบบ บช.1 คาดว่าจะเกี่ยวข้องกับบริษัทเอกชนราว 1,000 บริษัท เพราะแต่ละบริษัทจะเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐราว 40-50 สัญญา
“แต่ข้อสรุปเรื่องจำนวนบริษัทเอกชนที่จะถูกขึ้นแบล็กลิสต์ รวมถึงมีบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ติดโผด้วยหรือไม่ จะมีความชัดเจนในการประชุมวันที่ 28 กรกฎาคม 2558 นี้” นายวิโรจน์กล่าว
ส่วนการถอนแบล็กลิสต์ นายวิโรจน์กล่าวว่า หากบริษัทเอกชนที่ถูกแบล็กลิสต์ยื่นแบบ บช.1 เข้ามา หลังจากนั้น จะใช้เวลาตรวจสอบไม่เกิน 60 วัน หากดำเนินการถูกต้องก็จะถอนแบล็กลิสต์ให้ คงไม่ใช้เวลานานเป็นปี เพราะอาจสร้างความเสียหายในการประกอบธุรกิจของบริษัทเอกชน

ใช้เป็นมาตรการเสริม “สกัดสินบน-ไต่สวนคดี”
เช้าวันเดียวกัน ที่สำนักงาน ป.ป.ช. ถนนสนามบินน้ำ จ.นนทบุรี นายภักดีกล่าวบรรยายพิเศษ ในหัวข้อ “มาตรการเสริมด้านการป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ” ระหว่างการสัมมนาเรื่องแนวทางการปฏิบัติของคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐตามหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำและแสดงบัญชีรายการรับจ่ายของโครงการฯ ที่จัดโดยศูนย์กำกับดูแลการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ และมีเอกชนคู่สัญญากับหน่วยงานรัฐกับนักตรวจบัญชีกว่า 300 คน เข้าร่วมสัมมนา มีใจความตอนหนึ่งว่า เงินที่ประเทศใช้จ่ายงบลงทุนปีละ 6-7 แสนล้านบาทในการจัดซื้อจัดจ้าง แต่ในจำนวนนี้เกิดความสูญเปล่าไม่น้อยกว่า 20-30% ที่หายไปในการทุจริต ซึ่งแทนที่จะนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศแต่กลับถูกนำไปเป็นประโยชน์ของคนส่วนน้อย
แต่ขณะนี้มีมาตรการที่จะดำเนินการอย่างเฉียบขาดขึ้น ตามกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 103/7 วรรคสอง ที่กำหนดให้คู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐต้องยื่นบัญชีรับจ่ายในโครงการที่มีมูลค่าเกิน 2 ล้านบาท หรือที่เรียกว่าแบบ บช.1 ให้กับกรมสรรพากร กรณีเป็นบุคคลธรรมดา ให้ยื่นไปพร้อมกับการยื่นภาษีเงินไปบุคคลธรรมดา คือไม่เกินวันที่ 30 มีนาคมของทุกปี กรณีเป็นนิติบุคคลให้ยื่นเมื่อสิ้นสุดปีงบประมาณของบริษัทนั้นๆ เพื่อใช้เป็นมาตรการป้องกันการทุจริต ทั้งกรณีให้เงินทอน หรือให้สินบนเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพราะการใช้จ่ายเงินในโครงการที่มีมูลค่าเกินกว่า 30,000 บาท จะกระทำได้โดยการโอนผ่านบัญชีธนาคารเท่านั้น นอกจากนี้ ยังจะใช้เป็นฐานข้อมูลในการไต่สวนคดีความ หากบริษัทเอกชนดังกล่าวถูกพาดพิงว่าเข้าไปมีส่วนพัวพันกับการทุจริต
“บริษัทเอกชนใดที่ไม่ยื่นแบบ บช.1 ก็จะถูกขึ้นแบล็กลิสต์ และไม่สามารถทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐได้อีก เช่นเดียวกับบริษัทเอกชนที่ถูกขึ้นบัญชีว่าทิ้งงาน โดยจะมีการประกาศรายชื่อเร็วๆ นี้” นายภักดีกล่าว