ThaiPublica > เกาะกระแส > ปี 2557 สหกรณ์ฯ คลองจั่นขาดทุน 3.2 พันล้าน แขวนหนี้ 1.8 หมื่นชั่วคราว คาดปีนี้ตามหนี้คืนได้ 1,000 ล้าน – แผนฟื้นฟูเสร็จ ก.ค. นี้

ปี 2557 สหกรณ์ฯ คลองจั่นขาดทุน 3.2 พันล้าน แขวนหนี้ 1.8 หมื่นชั่วคราว คาดปีนี้ตามหนี้คืนได้ 1,000 ล้าน – แผนฟื้นฟูเสร็จ ก.ค. นี้

11 พฤษภาคม 2015


ผลประกอบการสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นรวมปี 2557 ขาดทุนสุทธิ 3.2 พันล้านบาท ณ สิ้นเมษายน 2558 เริ่มมีกำไรหลังจากมีรายได้จากการฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากวัดธรรมกาย โดยคาดว่าจะสามารถเรียกทรัพย์คืนได้กว่าพันล้านบาทในปีนี้

เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2558 สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นแถลงข่าวสรุปรายงานการยื่นขอรับชำระหนี้หรือ ฟ.20, รายงานความก้าวหน้าการจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการ, รายงานการได้รับเงินคืนจากการดำเนินคดีฟ้องต่างๆ และสรุปงบแสดงฐานะการเงินปี 2557 ณ ห้องประชุมต้นทุนความดี สำนักงานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น

นางสาวอรุณี บุตรสุนทร เหรัญญิกกรรมการบริหารลูกหนี้และผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการ กล่าวถึงผลประกอบการสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นว่า ผลประกอบการปี 2557 ขาดทุนสุทธิ 3,220.3 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 4,319.7 ล้านบาท โดยหักค่าเผื่อเงินสดขาดบัญชีและค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญครบแล้วทุกรายการ นั่นคือ รายได้ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้จะเป็นกำไรทั้งหมด

“ยอดขาดทุนสะสมปี 2557 ทั้งสิ้น 18,284.7 ล้านบาท จะถูกกันไว้ต่างหาก ไม่นำผลการดำเนินการช่วงฟื้นฟูกิจการไปหักยอดขาดทุนนี้ และจะนำผลกำไรไปจ่ายปันผลสมาชิกสามัญที่มีหุ้นในอัตราที่เหมาะสม” นางสาวอรุณีกล่าว

อีกทั้งยังกล่าวว่า ผลประกอบการ ณ เมษายน 2558 สหกรณ์ฯ มีกำไรประมาณ 168 ล้านบาท หลังจากได้เงินมาจากวัดธรรมกาย 200 ล้านบาท แต่ยังไม่สามารถจ่ายคืนสมาชิกได้ การชำระหนี้ทั้งหมดจะเป็นไปตามแผนฟื้นฟูสหกรณ์ฯ

“สมาชิกก็ขอให้เป็นสมาชิกต่อไป โดยจ่ายค่าหุ้น ซึ่งจะได้ปันผลตามปกติ และจ่ายเงินต้นและดอกเบี้ยเงินกู้ด้วย ก็จะทำให้สหกรณ์สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้” นางสาวอรุณีกล่าว

ประชุมแผนฟื้นฟู9-5-2558

ด้านนายไพโรจน์ จำลองราษฎร์ ทนายความและกรรมการแผนฟื้นฟูกิจการ กล่าวว่า ในปี 2558 จะสามารถเรียกทรัพย์คืนแก่สหกรณ์ฯ ได้กว่า 1,000 ล้านบาท จากการฟ้องร้องดำเนินคดี โดยได้จากคดีวัดธรรมกายประมาณ 600 ล้านบาท ซึ่งผ่อนจ่ายเดือนละ 100 ล้านบาท ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงสิงหาคม 2558 จากคดีตั๋วเงินรัฐประชาประมาณ 1,300 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะมีคำพิพากษาภายในกันยายนนี้ และเงินจากการขายที่ดินหลังตลาดไทประมาณ 321 ล้านบาท จากคดีฟ้องนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์ฯ กับพวก ที่ ปปง. อายัดทรัพย์ไว้

นอกจากนี้ยังกล่าวว่า คดีที่สหกรณ์ฯ ฟ้องเรียกทรัพย์คืนมีทั้งหมด 14 คดี รวมมูลค่า 17,559.9 ล้านบาท และมีคดีที่สหกรณ์ฯ ถูกฟ้องอีกรวม 9 คดี รวมมูลค่า 1,941.7 ล้านบาท โดยสหกรณ์เป็นจำเลยร่วม 8 คดีและเป็นจำเลยโดยตรง 1 คดี คือ สหกรณ์ออมทรัพย์โรงพยาบาลราชวิถี จำกัด ฟ้องเรียกทรัพย์คืน 201.55 ล้านบาท ซึ่งคดีที่สหกรณ์ถูกฟ้องทั้งหมดศาลจำหน่ายคดีชั่วคราวเพื่อรอแผนฟื้นฟู

“จากคดีที่สหกรณ์ฟ้องขับไล่กับผู้กู้ในโครงการบ้านเอื้ออาทรนั้นมีทั้งหมด 893 ราย ซึ่งได้ดำเนินการได้แล้ว 553 ราย และยังไม่ได้ดำเนินการอีก 340 คดี สหกรณ์ก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้เงินคืน หากไม่จ่ายเงินต้นหรือดอกเบี้ยก็ต้องย้ายออก หรือทำการเปลี่ยนชื่อผู้กู้” นายไพโรจน์กล่าว

ทั้งนี้ สำหรับคดีที่สหกรณ์ฯ เป็นจำเลยมีทั้งคดีแพ่งและอาญา โดยคดีแพ่ง เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยฟ้องเรียกค่าจำนองตึกยูทาวเวอร์ สมาชิกสหกรณ์ฟ้องร้องเรียกคืนทรัพย์ สหกรณ์ออมทรัพย์หัวเฉียวฟ้องเรียกคืนทรัพย์ สหกรณ์ออมทรัพย์ราชวิถีฟ้องเรียกคืนทรัพย์ ฯลฯ ส่วนคดีอาญา เช่น สมาชิกสหกรณ์และรัฐประชาฟ้องว่าสหกรณ์ปลอมแปลงเอกสาร

ด้านนายอารีย์ แย้มบุญยิ่ง ผู้จัดการสหกรณ์ฯ กล่าวว่า สรุปยอดผู้ยื่นขอรับชำระหนี้ หรือ ฟ.20 มีทั้งหมด 14,442 ราย รวมมูลค่า 6,964.44 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นหุ้นสะสม 3,010.87 ล้านบาท เงินฝาก 3,934.17 ล้านบาท และดอกเบี้ย 19.39 ล้านบาท ทั้งนี้มีผู้ยื่นซ้ำ 46 ราย รวมมูลค่า 8.77 ล้านบาท ซึ่งศาลจะถือหนี้ตามเอกสารที่ยื่นหลังสุดเพียงฉบับเดียว ไม่ได้ดูมูลค่ารวมทั้ง 2 ฉบับ หรือฉบับที่มีมูลค่าสูงสุด

นอกจากนี้ยังกล่าวว่า แผนฟื้นฟูกิจการอยู่ระหว่างการดำเนินการ ซึ่งต้องทำให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 7 กรกฎาคม 2558 ทั้งนี้สหกรณ์ได้จ้างที่ปรึกษาด้านการเงินและด้านกฎหมาย เพื่อการทำแผนฯ ที่รอบคอบรัดกุม

“การเยียวยาสมาชิก จะดำเนินการในลักษณะเงินกู้เพื่อบริโภค จะเปิดให้สมาชิกสามัญกู้เป็นครั้งที่ 2 ในวันที่ 7-15 พฤษภาคม 2558 หลังจากที่ปล่อยกู้ครั้งแรกไปแล้วเมื่อ 27 เมษายน 2558 ส่วนการถอนเงินจากบัญชียังไม่สามารถทำได้ เนื่องจากคำสั่งศาลเมื่อวันที่ 21 เมษายน ที่ผ่านมา” นายอารีย์กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในการประชุมดังกล่าว สมาชิกสหกรณ์ฯ และผู้เข้าร่วมประชุมต่างแสดงความคิดเห็นในแง่มุมต่างๆ เกี่ยวกับการทำงานของสหกรณ์ในช่วงที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่คิดว่า การเข้าร่วมประชุมวันนี้เกิดขึ้นเพื่อแสดงความคิดเห็นเรื่องแผนฟื้นฟูกิจการ มิใช่การชี้แจงเรื่องการดำเนินการ

สำหรับประเด็นเรื่องงบกำไรขาดทุน และสถานะการเงินของสหกรณ์ฯ สมาชิกส่วนใหญ่เห็นว่าควรแจกแจงรายละเอียดของการหักเผื่อค่าหนี้สงสัยจะสูญให้ชัดเจน อีกทั้งต้องจัดทำรายงานงบประมาณปีเป็นเล่มและรายงานต่อที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปีด้วย แม้ว่าจะอยู่ระหว่างการฟื้นฟูฯ และไม่มีการเลือกตั้งคณะกรรมการสหกรณ์ก็ตาม

นอกจากนี้ สมาชิกยังฝากบอกให้คณะกรรมการฟื้นฟูดำเนินการต่อศาลเพื่อให้สมาชิกสามารถถอนเงินฝากได้ด้วย เพราะความเดือดร้อนของสมาชิกคือการที่ไม่สามารถเบิกเงินตัวเองมาใช้ได้ มิใช่มาเยียวยาด้วยการปล่อยกู้เงินเพื่อการบริโภค รวมถึงปัจจุบันสหกรณ์ให้กู้เฉพาะสมาชิกสามัญซึ่งอยู่ในกรุงเทพฯ เท่านั้น ทำไมถึงไม่ให้สมาชิกสมทบหรือคนที่อยู่ต่างจังหวัดด้วย

อีกทั้งยังท้วงติงการทำงานของสหกรณ์ฯ​กรณีที่ยื่นคำร้องต่อศาลให้ชำระหนี้กับเจ้าหนี้ที่มีเงินฝากไม่เกิน 10,000 บาท ซึ่งมีประมาณ 47,000 รายนั้น เป็นการดำเนินการเพื่อหาเสียงหรือไม่ เนื่องจากสหกรณ์ฯ​มุ่งแก้ไขปัญหากับสมาชิกที่ไม่ต้องการความช่วยเหลือมากกว่า

จากประเด็นดังกล่าว นายอารีย์ยืนยันว่าไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องทำงานเพื่อหาเสียง และรับปากว่าจะให้ทนายความดำเนินการตามคำร้องขอของสมาชิกในเรื่องให้สามารถถอนเงินฝากได้ และจะนำเรื่องการขออนุญาตให้สมาชิกสมทบกู้เข้าให้คณะกรรมการสหกรณ์ฯ พิจารณาต่อไป

DSI ส่งอัยการฟ้อง “ศุภชัย” คดียักยอกเงิน 27 ล.แล้ว

ส่วนความคืบหน้าในการดำเนินคดีอาญากับนายศุภชัย เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2558 พ.ต.ท. บรรณฑูรย์ ฉิมกรา พนักงานสอบสวนผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้นำสำนวนการสอบสวนคดีพิเศษเลขที่ 64/2557 ที่กล่าวหา นายศุภชัย ในข้อหายักยอกทรัพย์และลักทรัพย์ของสหกรณ์ฯ เป็นเงิน 27.6 ล้านบาท จำนวน 2 แฟ้ม พร้อมพยานหลักฐาน อาทิ รายชื่อพยานบุคคล 20 ปาก และรายการเบิกถอนเงินต่างๆ มายื่นต่อนายชุติชัย สาขากร อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อขอให้พิจารณาสั่งคดี

พ.ต.ท. บรรณฑูรย์ กล่าวว่า ขณะนี้นายศุภชัยถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ ซึ่งตามกฎหมาย พนักงานอัยการจะต้องนำสำนวนยื่นฟ้องต่อศาลอาญา ก่อนครบกำหนดฝากขังผัดที่ 4 รวม 48 วัน ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2558 นี้

“ส่วนสำนวนคดีพิเศษเลขที่ 63/2557 ข้อหาฉ้อโกงประชาชน และคดีพิเศษ เลขที่ 146/2557 ข้อฟอกเงินกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท พนักงานสอบสวนยังอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อส่งให้อัยการพิจารณาต่อไป” พ.ต.ท. บรรณฑูรย์ กล่าว.