ThaiPublica > คอลัมน์ > ปฏิรูปพลังงานไทย…ระวังจะเป็นสังคมนิยมโดยไม่รู้ตัว

ปฏิรูปพลังงานไทย…ระวังจะเป็นสังคมนิยมโดยไม่รู้ตัว

10 พฤษภาคม 2015


บรรยง พงษ์พานิช

เมื่อเห็นข่าวว่าเวเนซุเอลา ประเทศที่มีปริมาณน้ำมันดิบสำรองมากที่สุดในโลก ทำการนำเข้าน้ำมันเป็นครั้งแรกในรอบ 100 ปี เมื่อต้นปีนี้ มันก็ทำให้ผมนึกถึงคำล้อเลียนเก่าแก่ที่ว่า “If the Marxist Economy is used in Sahara Desert, they will begin to export ice and import sand” ซึ่งขอแปลง่ายๆ ว่า “ถ้าให้มาร์กซิสต์จัดการทะเลทรายสะฮารา เขาก็คงเริ่มที่จะส่งออกน้ำแข็ง และนำเข้าทราย”

เวเนซุเอลาเป็นประเทศที่เคยร่ำรวยที่สุดในอเมริกาใต้ เคยเป็นที่อิจฉาของประเทศอื่นๆ มาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 หลังจากค้นพบแหล่งน้ำมันขนาดมหึมา และน้ำมันได้กลายเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่สำคัญที่สุดในโลกมาได้ร่วม 50 ปีแล้ว ปัจจุบันเวเนซุเอลามีปริมาณน้ำมันสำรองที่พิสูจน์แล้วมากถึง 298,350 ล้านบาร์เรล มากถึงหนึ่งในสี่ของที่มีอยู่ทั้งโลก (1.2 ล้านล้านบาร์เรล) มากกว่าอันดับสองซาอุดีอาระเบียที่มีน้ำมันสำรอง 268,000 ล้านบาร์เรล แต่พอในด้านการผลิตแล้ว เวเนซุเอลาผลิตน้ำมันได้แค่วันละประมาณ 2.2 ล้านบาร์เรล อยู่ในอันดับ 11 ของโลก ขณะที่ซาอุดีอาระเบียผลิตได้เกือบ 10 ล้านบาร์เรลต่อวัน สลับเป็นอันดับหนึ่งกับรัสเซีย

ทำไมประเทศที่ร่ำรวยน้ำมันที่สุดในโลกสองประเทศ เวเนซุเอลากับซาอุดีอาระเบีย ซึ่งมีประชากรประมาณเท่าๆ กัน (เวเนซุเอลา 29 ล้าน ซาอุดีอาระเบีย 28 ล้าน) หลังจากพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานมาร่วมร้อยปี (เวเนซุเอลาเริ่ม 1914 ซาอุดีอาระเบียเริ่มหลังร่วม 25 ปี ในปี 1940) จึงมีผลความก้าวหน้าแตกต่างกันมากถึงเพียงนี้ ซึ่งไม่เพียงแต่อุตสาหกรรมพลังงานเท่านั้นที่ก้าวหน้า ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจในด้านอื่นๆ ก็แตกต่างกันมากทีเดียว

ผมขอนำประสบการณ์สองประเทศนี้มาเปรียบเทียบให้ฟังนะครับ

ขอเริ่มด้วยซาอุดีอาระเบียก่อนนะครับ ตอนที่รวมประเทศได้ในปี 1932 นั้น ซาอุดีอาระเบียได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง แต่ก็เหมือนพระเจ้าประทานพร หลังจากนั้นไม่นานได้มีการค้นพบแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ ซึ่งก็ได้ให้สัมปทานกับบริษัทตะวันตกเป็นผู้ลงทุนขุดหาและพัฒนาการผลิต บริษัทน้ำมันใหญ่ที่สุดในโลก (ประมาณว่ามีมูลค่า 5 ล้านล้านเหรียญ) ซึ่งปัจจุบันเป็นรัฐวิสาหกิจ 100% คือ Saudi ARAMCO นั้น ก็ถูกจัดตั้งขึ้นโดยเอกชนต่างประเทศ โดยตั้งขึ้นประมาณปี 1940 ใช้ชื่อว่า Arabian American Oil Company (ARAMCO) ถือหุ้นโดย Standard Oil of California, EXXON, Mobil และ Texaco โดยรัฐบาลเพิ่งจะมาเจรจาขอซื้อหุ้นครั้งแรก 25% ในปี 1973 ช่วง World Oil Crises และซื้อหุ้นทั้งหมดในปี 1980 (เจรจาขอซื้อในราคาเป็นธรรมนะครับ ไม่ได้ไปยึดคืน หรือขอให้ศาลปกครองยึดคืนแบบหน้าด้านๆ แต่อย่างใด)

ตลอดเวลาที่พัฒนาอุตสาหกรรมพลังงาน ซาอุดีอาระเบียใช้นโยบายเปิดรับทั้งเงินลงทุน ทั้งเทคโนโลยีการขุดเจาะ การผลิตจากต่างประเทศตลอดมา ทำให้มีการพัฒนาทุกด้านได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ในบางครั้งอาจมีนโยบายขู่เรื่อง nationalize บ้างเป็นบางคราว (เช่น เมื่อปี 1950 เพื่อขอขึ้นค่าภาคหลวงเป็น 50%) แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้เอารัดเอาเปรียบเอกชนต่างชาติจนเกินไป ดำเนินนโยบายเป็นมิตรกับทุนได้ดีตามควร

ที่มาภาพ : http://www.arabianbusiness.com/incoming/article394591.ece/ALTERNATES/g3l/oil+refinery+24.jpg
ที่มาภาพ : http://www.arabianbusiness.com/incoming/article394591.ece/ALTERNATES/g3l/oil+refinery+24.jpg

ผลของการพัฒนาตามนโยบายนี้ ทำให้ซาอุดีอาระเบียสามารถใช้ทรัพยากรที่พระเจ้าให้มาได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ สามารถเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมัน จากวันละ 1.2 ล้านบาร์เรลในปี 1960 เป็น 10 ล้านในปี 1980 แล้วคงปริมาณมาทุกวันนี้ (ซาอุดีอาระเบียเคยหลงลดการผลิตลงครึ่งหนึ่งในช่วง 1982-1988 เพื่อพยุงราคาโลกแล้วทำให้เศรษฐกิจหดตัวมาก ตอนนี้เลยไม่ยอมลดการผลิตอีกไม่ว่าราคาจะตกเท่าใด) ซาอุดีอาระเบียสามารถพลิกฟื้นจากประเทศแสนยากจน มีจีดีพีต่อหัวแค่ไม่ถึง $100 ในปี 1960 มาเป็น $870, $16,692, $7,206, $9,354 และ $19,326 ในปี 1970, ’80, ’90, ’00 และ ’10 ตามลำดับ เป็นประเทศมั่งคั่งได้สำเร็จ เศรษฐกิจด้านอื่นๆ ก็ก้าวหน้าตาม ประชาชนมีความสงบสุขดี ถึงแม้การกระจายอาจยังไม่ทั่วถึงนัก (ซาอุดีอาระเบียยังเป็นประเทศสมบูรณาญาสิทธิราชย์อยู่)

ลองหันมาดูประสบการณ์ของเวเนซุเอลาบ้าง

เวเนซุเอลานั้น ค้นพบและพัฒนาแหล่งน้ำมันอย่างจริงจังตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยอนุญาตให้บริษัทน้ำมันสหรัฐฯ เข้าไปสำรวจขุดเจาะดำเนินการผลิตเป็นส่วนใหญ่ นำโดย Standard Oil of New Jersey (EXXON ในปัจจุบัน) การผลิตเพิ่มขึ้นจาก 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 1950 เป็น 3.7 ล้านตั้งแต่ปี 1970 (ปีนั้นซาอุดีอาระเบียผลิตได้ 3.0ล้าน) ซึ่งนั่นก็ทำให้เวเนซุเอลาเป็นประเทศร่ำรวยตั้งแต่ปี 1960 (จีดีพีต่อหัว $1,138) เป็นหนึ่งในสิบแปดประเทศในโลกที่มีจีดีพีต่อหัวเกิน $1,000 (ไทยมี $101 สิงคโปร์แค่ $400 ในปีนั้น) แต่พอหลัง Oil Crises เวเนซุเอลาก็เกิดฮึกเหิม เริ่มรายการ “ยึดคืนพลังงาน” โดยในปี 1976 ประธานาธิบดี Carlos Andres Perez ก็ออกกฎหมายยึดกิจการพลังงานทุกแห่งเป็นของรัฐ พร้อมทั้งจัดตั้งรัฐวิสาหกิจ Petróleos de Venezuela, S.A. (PDVSA) ขึ้นมาดำเนินกิจการเป็นผู้ผูกขาด

แล้วการก็เป็นไปตามทฤษฎีที่ว่า ให้รัฐทำย่อม “ห่วยและหาย” ผลผลิตที่เคยได้ตอนบริษัทอเมริกันทำหดหายไปเรื่อยๆ จากเคยสูงสุดที่ 3.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน ผลผลิตภายใต้การดำเนินการของ PDVSA ก็ตกต่ำ ลดลงเรื่อยๆ จนกลับไปเหลือเพียง 1.6 ล้านในปี 1985 แถมต้นทุนการผลิตก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากเพียงแค่ 29% พุ่งขึ้นเป็น 64% ทำให้รัฐได้แค่ 36% น้อยกว่าระบบสัมปทานไทยเยอะ (ไม่รู้ว่าทำไมกลุ่มทวงคืนหลายท่านถึงได้เชิดชูระบบเวเนซุเอลากันนัก)

พอ Hugo Chavez ขึ้นครองอำนาจในช่วงปี 1999-2013 เวเนซุเอลาก็กลายเป็นระบบสังคมนิยมเต็มรูปแบบมากขึ้น Chavez ยึดกิจการอื่นๆ เป็นของรัฐจนทุนต่างประเทศหดหาย ทุนในประเทศหนีออก อุตสาหกรรมแทบทุกด้านพังทลาย เศรษฐกิจชะงักงัน บางปีก็หดตัวรุนแรง จีดีพีต่อหัวมีอัตราเติบโตไม่แน่นอน ถึงแม้ปัจจุบันจะยังอยู่ที่ $13,200 ยังนับเป็นประเทศมั่งคั่ง แต่ก็ถือว่าย่ำเท้าอยู่กับที่หลายสิบปี (ปีที่แล้วหดตัว 3%) เงินเฟ้อยิ่งน่าทึ่งมาก 35 ปีที่ผ่านมามีอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย 31% ต่อปี โดยมีแค่ 2 ปี เท่านั้นที่ไม่ถึง 10% เป็นตัวเลขตัวเดียว สองปีหลังนี่ก็เฟ้อประมาณ 60% ต่อปี มีน้ำมันอย่างเดียวที่ราคาถูก (รัฐอุดหนุนสุดเหวี่ยง) นอกนั้นแพงและหายากหมดทุกอย่าง มีข่าวว่าต้องใช้ธนบัตรแทนกระดาษชำระเพราะหาซื้อไม่ได้ (ที่เวเนซุเอลามีดีขึ้นอยู่อย่างเดียว คือความเหลื่อมล้ำปรับดีขึ้นเล็กน้อยจากการเป็นสังคมนิยม แต่ต้นทุนที่สูงลิ่วอย่างนี้มองยังไงก็ไม่น่าจะคุ้ม)

อุตสาหกรรมน้ำมันของเวเนซุเอลาก็ชะงักงัน ถึงจะมีน้ำมันดิบสำรองมากที่สุดในโลก แต่ก็ผลิตออกมาได้น้อย แค่วันละ 2.2 ล้านบาร์เรล จนต้องนำเข้าน้ำมันบางชนิด ที่ผลิตน้อยนั้นไม่ได้ต้องการ “เก็บไว้ให้ลูกหลาน” หรอกนะครับ แต่เป็นเพราะไม่มีการลงทุน ไม่ได้พัฒนาเทคโนโลยี เลยเอาออกมาใช้ไม่ได้ มีสำรองไว้ 370 ปี (ที่ใครๆ ก็รู้ว่าเวลานั้นคงไม่มีการใช้นำ้มันเป็นเชื้อเพลิงแล้ว) ขนาดซาอุดีอาระเบียมีสำรอง 75 ปี รมต.น้ำมันเขายังบ่นอุบ กลัวจะเหลือทิ้งมากไป “ยุคหินไม่ได้จบเพราะหินหมด ยุคนำ้มันก็เช่นกัน” ท่านชีคท่านว่าไว้อย่างนั้น

ทั้งหมดที่ว่ามาเป็นเรื่องของสองประเทศมหาอำนาจน้ำมันโลก ประเทศหนึ่งใช้พรที่พระเจ้าประทานมาให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำพาความเจริญมั่งคั่งมาพัฒนาประเทศ อีกประเทศใช้อย่างสะเปะสะปะ หลงอุดมการรักชาติ คลั่งชาติ กีดกันโลกาภิวัตน์ หลงใหลสังคมนิยมมาร์กซิสต์ ย่ำเท้าอยู่กับที่

เหลียวกลับมามองดูไทยแลนด์แดนสารขัณฑ์บ้าง

เราเป็นดินแดนที่ไม่ได้พรยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในเรื่องแหล่งพลังงาน (ท่านคงคิดว่าได้ให้พรด้านอื่นๆ มามากพอแล้ว) ถึงจะมีแหล่งพลังงานอยู่บ้าง แต่ก็เพียงแค่ช่วยลดภาระการต้องนำเข้าไปได้ไม่ถึงครึ่ง (ถ้าใครยังเชื่อว่าเรามีเหลือเฟือก็เลิกอ่านต่อได้เลยนะครับเพราะคุณเป็นคนเพ้อเจ้อ) แถมลักษณะทางธรณีวิทยาของเราก็ยังขุดยากเจาะยากเสียอีก ที่พัฒนามาได้ถึงขั้นนี้ ต้องนับว่าเป็นเพราะนโยบายที่เปิดกว้าง ยอมให้มีการแข่งขันจากต่างชาติตามสมควร ถึงเขาจะได้กำไรไปจากการเสี่ยงมาลงทุน รวมทั้งนำเทคโนโลยีมาให้ เราก็ได้ส่วนแบ่งไม่น้อย พลังงานไม่เคยขาดแคลน ราคาไม่สูงเกิน (พูดตรงนี้มักโดนโห่ ขอยืนยันจากการที่เราเป็นประเทศใช้พลังงานฟุ่มเฟือยเกือบที่สุดในโลก ถ้าแพงจะต้องประหยัดกว่านี้แน่)

ช่วงปฏิรูปนี้ ถือเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อว่าเราจะเลือกไปทางใด จะเป็น market friendly เหมือนเดิม คือใช้กลไก ใช้ทรัพยากร ใช้เทคโนโลยีของตลาด มาช่วยเสริม ช่วยพัฒนา เก็บทรัพยากรรัฐไว้ทำแต่สิ่งจำเป็น หรือจะพยายามเลียนแบบท่าน Chavez แห่งเวเนซุเอลา คิดว่าทุนนั้นย่อมสกปรก ต่างชาติยิ่งแย่ใหญ่ ต้องใช้หลักชาตินิยม หลักสังคมนิยม ตั้งบริษัทนำ้มันแห่งชาติขึ้นมาใหม่ พยายามยึดทุกอย่างมาทำเอง เข้าควบคุมกำหนดราคาไปเสียให้หมด แล้วหวังว่า ไอ้รัฐวิสาหกิจที่ตั้งใหม่นี้ จะโคตรเก่ง โคตรดี ไม่เหมือนไอ้ 56 แห่งที่มีอยู่เดิม มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล โปร่งใสไม่มีโกงกิน นักการเมืองไม่ก้าวก่าย (ก็ท่านบอกให้เลือกแต่ “คนดี” พวกทวงคืนมาบริหารนี่ครับ)

ดูเผินๆ ข้อเสนอปฏิรูปแบบนี้ดูเหมือนดี แต่ถ้าพิจารณาให้ดีก็จะเห็นเลยว่า มันคือแนวทาง ชาตินิยม สังคมนิยม ตามอย่างเวเนซุเอลาเปี๊ยบเลย ฟังแล้วมันวังเวงนะครับ เพราะดันมีคนหลงตาม งมงายเชื่อไม่น้อยเลยทีเดียว

ขอปิดท้ายด้วยคำคมของท่าน Sir Winston Churchill นะครับ ท่านเคยว่าไว้ว่า “Who hasn’t being caught by leftist ideas before 30 has no heart. Who is still obsessed by them after 30 has no common sense.” แปลตรงๆ ว่า “ใครที่ไม่เคยเป็นซ้ายก่อนอายุ 30 เป็นพวกที่ “ไม่มีหัวใจ” แต่ใครที่ยังเป็นซ้ายหลังอายุ 30 ก็ต้องเป็นพวก “ไร้สมอง”

ขอให้โชคดีนะครับ พลังงานไทย

หมายเหตุ: ตีพิมพ์ครั้งแรก เฟซบุ๊ก Banyong Pongpanich วันที่ 9 พฤษภาคม2558