ThaiPublica > คอลัมน์ > ถ้าไม่ได้กราบก็ไม่ได้ขึ้นแท็กซี่

ถ้าไม่ได้กราบก็ไม่ได้ขึ้นแท็กซี่

10 กุมภาพันธ์ 2015


วรากรณ์ สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

ที่มาภาพ : http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/natthida/0_todayinfo/taxi-s.jpg
ที่มาภาพ : http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/natthida/0_todayinfo/taxi-s.jpg

เห็นภาพในเน็ตที่คนก้มกราบรถแท็กซี่พร้อมกับมีคำบรรยายว่า “วิธีเรียกแท็กซี่ที่ถูกต้องในปัจจุบัน” แล้วรู้สึกโดนใจเพราะมันกำลังเป็นปัญหาใหญ่ที่โยงใยกับชีวิตประจำวันหลายด้าน

ถ้าท่านหน้าตาเป็นคนไทย ลองเรียกรถแท็กซี่ 10 รายต่อเนื่องกันเพื่อไปจุดหมายที่ไกล หรือปานกลางชนิดรถอาจติดบ้าง อาจมีเพียง 2 รายที่ยินดีรับท่าน ที่เหลือจะปฏิเสธ สิ่งที่คนขับทำนั้นผิดกฎหมายขนาดถูกยกเลิกใบอนุญาตขับขี่ได้ แต่เราก็เห็นปรากฏการณ์นี้กันทั่วไป เกิดอะไรขึ้นกับแท็กซี่ไทย?

ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าท่านเดินผ่านคิวรถแท็กซี่และรถตุ๊กๆ ที่จอดคอยรับผู้โดยสารอยู่หน้าศูนย์การค้าต่างๆ จะพบการโก่งราคาอย่างหน้าด้านๆ ว่าถ้าไม่เอาราคานี้ก็ไม่ไป (เคยพบด้วยตนเองประมาณ 2 กิโลเมตรที่รถไม่ติดเลยจะเอา 200 บาทในราคาเหมา) เขาสามัคคีทำกับทุกชาติทุกภาษาอย่างเสมอหน้ากันอย่างไม่มีสองมาตรฐานคือช่วยกันทำลายประเทศไทย ทำลายภาพพจน์และการท่องเที่ยวของประเทศไทย

ปัจจุบันปรากฏการณ์คนขับแท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยสารระบาดไปทั่วกรุงเทพฯ เหมือนไฟไหม้ป่า การโก่งราคาก็มีอยู่ทุกหนแห่ง (เคยเห็นคนขับรถคิวแถวสยามสแคว์ลีลาท่าทางพูดจายียวนเหมือนผู้ร้ายในหนังไทยยุคใส่เสื้อนอกชกกันไม่มีผิด จนอยากเอารูปมาขึ้นเฟซบุ๊กแต่กลัวถูกเหยียบเพราะท่าทางนักเลงเอาเรื่อง)

เราจะปล่อยให้พฤติกรรมโก่งราคา ปฏิเสธผู้โดยสาร ไม่เปิดมิเตอร์ เป็นอย่างนี้ต่อไปหรือครับ? ไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่ของกรมการขนส่งทางบกที่บอกว่าลงโทษแท็กซี่แบบนี้กันทุกวันกำลังทำอะไรอยู่ ท่านรับเงินเดือนจากพวกเราแต่เหตุใดจึงไม่ทำงานที่มีประสิทธิภาพเพื่อพวกเรา

ผมไม่เคยเห็นเหตุการณ์อย่างนี้ในประเทศกำลังพัฒนาใด อาจมีบ้างแต่ไม่ระบาดไปทั่วเหมือนดังเช่นในบ้านเรา กระทรวงคมนาคมยุคปฏิรูปประเทศไทยจะไม่แสดงฝีมือให้ดูหรือ รับรองคนจะแซ่ซ้องเพราะมันถึงจุดที่ประชาชนรับไม่ไหวแล้ว

กระทรวงคมนาคมก็เอาใจแท็กซี่ไปแล้ว ขึ้นค่าแท็กซี่ให้แล้ว เฉลี่ยรายได้เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 10% และสำหรับคันที่ใช้วงรอบล้อรถเล็กพิเศษที่ผิดกฎหมายเพราะจงใจให้มิเตอร์วิ่งขึ้นมากกว่าปกติ รายได้อาจเพิ่มถึง 20% คราวนี้กระทรวงคมนาคมต้องปราบปรามจริงจังแล้ว มีประชาชนที่ถูกกระทบโทรเข้าไปแจ้งผ่านแอปพลิเคชันเก๋ๆ ทั้งหลายกันมากแต่ก็เบื่อหน่ายเพราะไม่เห็นมีผลดีอะไรเกิดขึ้น

ผมเองเคยโทรเข้าไปแจ้งครั้งหนึ่งเรื่องไม่รับผู้โดยสาร เสียงตอบมาว่าต้องบอกชื่อจริงมิฉะนั้นทำอะไรไม่ได้ ผมถามว่าทำไมจดหมายกล่าวหาทุจริตถึง ป.ป.ช. ยังไม่ต้องลงชื่อเลย กะอีแค่รายงานแท็กซี่ไม่รับผู้โดยสารต้องบอกชื่อจริงเชียวหรือ (ที่คนเขาไม่อยากบอกชื่อจริงก็เพราะเขาไม่รู้ว่าคนขับเป็นคนชนิดใด คนเล่เก๊ก็มีแยะไม่อยากมีปัญหา เขาจึงไม่บอกชื่อ) และเมื่อไม่บอกชื่อเรื่องก็จบแค่นั้น งานก็ลดลงไปแยะเลย พูดง่ายๆ ก็คือทำราชการเท่าที่จำเป็นในหน้าที่ ประชาชนจะเป็นอย่างไรนั้นช่วยไม่ได้เพราะตัวใครตัวมัน

ถ้าสังคมเราไฮเทคกันกว่านี้ ระวังเถอะแท็กซี่พวกนี้จะไม่มีคนขึ้น และจะต้องยอมง้อผู้โดยสาร (เหมือนเมื่อก่อนคนขับต้องง้อเถ้าแก่เจ้าของรถ แต่บัดนี้คนขับแท็กซี่เล่นตัวให้เจ้าของอู่ง้อ) เพราะปัจจุบันมีบริษัทแท็กซี่หลายรายที่ผู้โดยสารสามารถใช้บริการผ่านสมาร์ทโฟนโดยเข้าแอปพลิเคชันและพิมพ์ลงไปว่าจะไปไหน ในเวลาไม่กี่นาทีเขาจะส่งรูปหน้าคนขับพร้อมเลขทะเบียนรถพร้อมค่าโดยสารมาให้ดู (เพิ่มอีก 25 บาท จากราคาแท็กซี่ปกติ) สะดวกกว่าต้องไปกราบกรานขอขึ้นมากมายด้วยราคาแพงขึ้นเพียง 25 บาท

คอยดูเถอะถ้าคนไทยใช้วิธีการนี้กันมากขึ้นในดิจิทัลอีโคโนมี รถแท็กซี่ประเภทเดิมจำนวนมากจะตายกันเป็นแถวๆ เพราะแบบใหม่ปลอดภัยกว่า ทันใจ ไม่ต้องอารมณ์เสีย และได้รถแน่นอน (บางบริษัทเปิดช่องให้ผู้โดยสารเสนอราคาโดยสารเพิ่มขึ้นได้อีกด้วยหากต้องไปในที่ๆ รถติด ถ้าสู้ราคาแล้วรับรองมีรถแน่นอนแม้แต่เวลาฝนตก)

ขณะนี้มีคนไทยและต่างชาติใช้บริการแท็กซี่แบบนี้กันมากขึ้น (ไม่ใช่ UBER ชนิดที่ใช้รถส่วนตัวมาวิ่งแท็กซี่) คนขับแท็กซี่ทั่วไปที่สมัครเข้าร่วมโครงการและอยู่ในเครือข่ายก็สามารถเลือกรับผู้โดยสารผ่านสมาร์ทโฟนแบบนี้พร้อมกับวิ่งรอกแบบธรรมดาไปด้วยได้

เคยถามคนขับเรื่องจ่ายเพิ่ม 25 บาท เขาบอกว่าเขาได้ 18 บาท โดยต้องจ่ายให้บริษัท 7 บาทต่อเที่ยวโดยโอนเงินกันทางธนาคาร และเขาชอบเพราะมีทางเลือกในการรับผู้โดยสารมากขึ้น

ไม่เคยเขียนคอลัมน์เรียกร้องลักษณะนี้บ่อยนัก แต่ได้มาถึงจุดที่ทนไม่ไหวเพราะมองไปทางไหนก็เห็นแต่ “การขูดรีด” “การไร้กฎเกณฑ์” (คนขับแท็กซี่ใส่รองเท้าแตะ นุ่งกางเกงขาสั้น ใส่หมวกแก๊ปสกปรก ใส่เสื้อยืด ก็ยังมีเห็นอยู่มาก) ปรากฏการณ์ที่กล่าวถึงนี้กำลังบั่นทอนการท่องเที่ยวไทย ความสะดวกของคนไทยอย่างไม่มีเจ้าหน้าที่รับผิดชอบจริงจัง และไม่เป็นธรรมกับคนขับแท็กซี่ดีๆ

เราอยู่ในยุคที่ “แก้ไขได้ง่าย” ไม่ใช่หรือครับ ขึ้นค่าแท็กซี่ให้แล้วยังจะทำตัวเหมือนเดิมอยู่อีกหรือ และไอ้พวก “ผู้ร้ายหนังไทย” หน้าศูนย์การค้าที่ขูดรีดต่างชาติอยู่นั้น ลากมันไป “อบรม” เสียหน่อยจะดีไหม

หมายเหตุ: ตีพิมพ์ครั้งแรก คอลัมน์ “อาหารสมอง” นสพ.กรุงเทพธุรกิจฉบับวันอังคารที่ 3 ก.พ. 2558