ThaiPublica > คอลัมน์ > จลาจลอเมริกาให้บทเรียน

จลาจลอเมริกาให้บทเรียน

3 กันยายน 2014


วรากรณ์ สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

ที่มาภาพ : http://www.latimes.com/nation/nationnow/la-police-shooting-ferguson-20140813-sg-storygallery.html
ที่มาภาพ : http://www.latimes.com/nation/nationnow/la-police-shooting-ferguson-20140813-sg-storygallery.html

จลาจลย่อยๆ ในเมือง Ferguson ของสหรัฐอเมริกาเมื่อตอนต้นเดือนสิงหาคมทำให้เกิดหลายประเด็นที่น่าเรียนรู้ เพราะสิ่งเดียวกันอาจเกิดกับบ้านเราได้ในอนาคต

เมือง Ferguson ตั้งอยู่ชานเมือง St. Louis ของรัฐ Missouri ซึ่งอยู่ในบริเวณที่เรียกว่า Midwest มีประชากร 21,000 คน อันประกอบด้วยคน African-Americans (ดั้งเดิมเรียก Negros เปลี่ยนมาเป็น Blacks และเปลี่ยนมาเป็นชื่อนี้) ร้อยละ 67

ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อเยาวชนผิวดำอายุ 18 ปี แต่ตัวสูงใหญ่ถึง 6 ฟุต 4 นิ้ว ถูกตำรวจยิงตายคาที่โดยนัดหนึ่งเข้าศีรษะในเวลากลางวันแสกๆ ขณะเดินกับเพื่อนคนหนึ่งอยู่บนถนน รถตำรวจซึ่งมีตำรวจผิวขาวขับผ่านมาก็สั่งให้ขึ้นไปเดินบนถนน แต่ขัดแย้งกัน ตำรวจอ้างว่าถูกทำร้ายก่อนจนบาดเจ็บ แต่เพื่อนของ Michael Brown ผู้ตายให้การว่าตำรวจโดดเข้าจับตัว กอดรัดกัน และเกิดการยิงขึ้นโดย Brown ไม่มีอาวุธ

หลังเหตุการณ์ตำรวจก็ยังไม่ยอมเปิดเผยชื่อตำรวจผู้ยิง การให้ข่าวก็ติดขัดจนเกิดม็อบคนผิวดำมาประท้วงหน้าสถานีตำรวจ เหตุการณ์ลุกลามใหญ่โต มีการปล้นร้าน ทุบกระจก ความคุกรุ่นมีตั้งแต่ 9 สิงหาคมซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ จนถึงคืนวันที่ 19 สิงหาคม ก็มีคนผิวดำมาประท้วงจำนวนมาก ตำรวจก็ใช้แก๊สน้ำตาและเตรียมสรรพอาวุธมาเต็มพิกัด (คล้ายบ้านเราเมื่อ 4-5 เดือนก่อน) เมื่อมีคนขว้างปาขวดและเข้าของใส่ตำรวจ การจลาจลก็เกิดขึ้นจนวุ่นวายไปหมด จนเกรงว่าจะลามไปถึงเมื่องอื่นๆ ด้วย

ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าจริงๆ แล้วเรื่องราวเป็นอย่างไร ฝ่ายสนับสนุนผู้ตายบอกว่าถูกยิงขณะยกมือยอมแพ้และตะโกนบอกให้หยุดยิงแล้ว (ผู้ประท้วงเอามาใช้เป็นท่าของการต่อต้าน)ฝ่ายตำรวจบอกว่าผู้ตายเพิ่งไปปล้นร้านชำมาเมื่อสิบนาทีก่อนหน้าและมีเทปแสดงให้ดูด้วย แต่ที่แน่ๆ ก็คือ เยาวชนอายุ 18 ปีตายไปแล้วโดยถูกยิงขณะมือเปล่า

คำถามก็คือ อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดจลาจลขึ้นจากกรณี “น้ำผึ้งหยดเดียว” ถ้าเราหาคำตอบได้บ้างก็อาจนำมาใช้เป็นบทเรียนสำหรับสังคมอื่น

สาเหตุแรก มาจากปัญหาเรื่องสีผิวซึ่งยังคุกรุ่นอยู่ใต้ผิวน้ำ การที่ Obama ชายผิวสีได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีมิได้หมายความว่าปัญหาสีผิวหมดไปแล้ว เชื่อกันว่ามีคนอเมริกันจำนวนล้านๆ คน ที่ไม่ยอมรับประธานาธิบดี Obama เพราะรับไม่ได้กับการที่คนผิวดำซึ่งเคยเป็นทาสจะขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี (ถึงแม้ประธานาธิบดี Obama สืบเชื้อสายจากนักศึกษาชาว Kenya ที่ไปเรียนหนังสือต่อในสหรัฐอเมริกาโดยไม่ได้มาจากการเป็นทาสก็ตาม)

สำหรับคนเหล่านี้ซึ่งมีจำนวนอยู่พอควรทางรัฐตอนใต้ยังคงรังเกียจสีผิวอยู่ถึงแม้ Voting Rights Act ที่ทำให้คนทุกผิวสีเท่าเทียมกันจะออกมาตั้งแต่ทศวรรษ 1960 แล้วก็ตามความเชื่อที่ว่า “ทาสเมื่อ 400 ปีที่แล้วเป็นอย่างไร ฐานะก็ควรคงไว้เช่นนั้น” (การค้าทาสคนผิวดำมีมาตั้งแต่เมื่อ 400 ปีก่อนในบริเวณนั้นก่อนที่จะมีประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อ 238 ปีก่อนด้วยซ้ำ) ก็ยังคงมีอยู่ ความไม่ชอบกันอยู่แล้วปะทุเป็นเรื่องขึ้นเพราะเมือง Ferguson มีตำรวจ 53 คน เป็นคนขาว 50 คน ซึ่งสอดรับกับสถานการณ์ในปี 1990 ของเมืองนี้ที่เคยมีคนขาวอยู่ถึงร้อยละ 75 แต่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่มีอยู่เพียงร้อยละ 30

ถ้าดูสถิติของการเกิดอาชญากรรมก็พอจะเข้าใจได้ว่าเหตุใดคนผิวขาวส่วนหนึ่งจึงรังเกียจคนผิวดำ ถึงแม้คนผิวดำจะมีจำนวนเพียงร้อยละ 13 ของประชากร 300 ล้านคนทั้งประเทศ แต่ครึ่งหนึ่งของคดีฆาตกรรมทั้งหมดคนผิวดำเป็นคนก่อเหตุและร้อยละ 90 ของคนผิวดำที่เสียชีวิตจากฆาตกรรมเป็นฝีมือของคนผิวดำด้วยกันเอง

สาเหตุที่สอง คนผิวดำไม่ไว้ใจตำรวจอย่างแตกต่างจากคนกลุ่มอื่นในสหรัฐอเมริกาอย่างเห็นได้ชัด พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือตำรวจมีปัญหาความไม่น่าเชื่อถือในสายตาของคนผิวดำ สิ่งที่ทำให้ไม่ไว้เนื้อเชื่อใจก็อาจมาจากการที่ตำรวจไม่ “เคารพ” คนผิวดำอันเห็นได้จากการมักถูกตรวจค้นการมีสิ่งผิดกฎหมาย การจับกุมคุมขังอย่างรุนแรงอย่างขาดความ “เคารพ” และจากการถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษในทุกสถานการณ์ (ถ้าเป็นตำรวจผิวขาวอาจตอบว่าก็สถิติอาชญากรรมมันเป็นอย่างนี้ จะ “เคารพ” ได้อย่างไร ยังไงๆ ก็ต้องสงสัยไว้ก่อนว่าเป็นคนไม่ดี)

เมื่อไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกันเป็นพื้นฐาน เหตุการณ์จึงรุนแรงขึ้นจากความไม่พอใจของคนผิวดำซึ่งจำนวนหนึ่งเป็นระดับผู้นำที่เดินทางมาจากเมืองใหญ่ไกลๆ ในประเทศเพื่อมาร่วมชุมนุมประท้วงด้วย

สาเหตุที่สาม “ความกลัว” มีบทบาทสำคัญในหลายเรื่อง ตำรวจไม่กล้าให้ข้อมูลเต็มที่เพราะกลัวว่าเรื่องจะลุกลามไปใหญ่โต ฝ่ายผู้ตายและกลุ่มผู้ประท้วงก็กลัวว่าเรื่องจะเงียบหายไปอย่างไม่เป็นธรรมจึงต้องประท้วงกันจริงจัง ตำรวจที่จับกุมก่อนยิงก็กลัวเช่นกัน เพราะประเทศนี้มีปืนที่อยู่ในมือประชาชนกว่า 300 ล้านกระบอก หากไม่ระมัดระวังก็อาจเสียชีวิตได้อย่างไม่ยากนัก ดังนั้นจึงอาจกระทำการเกินกว่าเหตุได้

สาเหตุที่สี่ ผู้ชุมนุมให้สัมภาษณ์ว่าการระดมสรรพกำลังและสรรพอาวุธสไตล์ทหารของตำรวจในคืนวันที่ 19 สิงหาคม เพื่อรับมือผู้ชุมนุม เป็นการยั่วยุอย่างสำคัญจนเร้าใจให้เกิดการประท้วงจนกลายเป็นจลาจล

การที่ตำรวจเมืองต่างๆ ในสหรัฐอเมริกามีอาวุธและเครื่องมือใช้เช่นเดียวกับทหารก็เนื่องจากรัฐบาลกลางมอบให้เพื่อรับมือกับผู้ก่อการร้ายหลังจากเหตุการณ์ 9-11 ปัจจุบัน “ดีกรีความเป็นทหาร” ในงานของตำรวจเพิ่มขึ้นอย่างผิดสังเกตในเมืองต่างๆ ทั่วสหรัฐอเมริกา

ทั้งหมดนี้เป็นบทเรียนที่บ้านเราควรนำมาพิจารณา ถ้าเราเปลี่ยน “คนผิวดำ” เป็น “คนต่างด้าว” ที่มาจากการเป็นแรงงานต่างชาติที่ทั้งผิดและถูกกฎหมายที่ไม่กลับบ้านและมีลูกหลานอยู่ในบ้านของเรา

สถานการณ์ก็อาจไม่ต่างกันมากนัก ในอีก 10-20 ปีข้างหน้า ถ้าคนไทยขาดความเป็นพลเมือง (ไม่ยอมรับและไม่เคารพความแตกต่าง ไม่ใช้เหตุใช้ผลไม่คำนึงถึงสิทธิของผู้อื่น) ใจไม่เปิดกว้าง ยังยึดติดอยู่กับประวัติศาสตร์เมื่อ 200 กว่าปีมาแล้ว จนไม่อาจรับคนต่างชาติเหล่านี้เข้ามาในสังคมเราอย่างกลมกลืนได้ ดังเช่นที่เราเคยทำได้ดีมาโดยตลอด 800 กว่าปี ปัญหาปวดหัวเช่นนี้ก็อาจอยู่ไม่ไกล

สาเหตุสำคัญที่สุดของความขัดแย้งก็คือความยากจน ถ้าตัวละครในเรื่องนี้ไม่มีปัญหาความเหลื่อมล้ำของฐานะทางเศรษฐกิจทุกคนอยู่ดีกินดีอย่างเสมอหน้ากันแล้ว คงไม่มีความไม่ไว้ใจสูงขนาดนี้และคงไม่มีใครอยากเสียเวลามาประท้วงเพราะคงต้องการใช้เวลาไปกับการทำมาหากินหรือหาความสุขกับเงินที่ตนเองหามาได้เป็นแน่

หมายเหตุ: ตีพิมพ์ครั้งแรก คอลัมน์ “อาหารสมอง” นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันอังคารที่ 2 ก.ย. 2557