ThaiPublica > เกาะกระแส > เกาะกระแสการเมือง > มติ ป.ป.ช. เป็นเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 ชี้มูล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ผิดอาญา มาตรา157 ฐานปล่อยโกงจำนำข้าวทุกขั้นตอน

มติ ป.ป.ช. เป็นเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 ชี้มูล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ผิดอาญา มาตรา157 ฐานปล่อยโกงจำนำข้าวทุกขั้นตอน

17 กรกฎาคม 2014


วันที่ 17 กรกฎาคม 2557 ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติเป็นเอกฉันท์ ด้วยคะแนนเสียง 7 ต่อ 0 “ชี้มูลความผิดนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี มีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ ความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 โดยนางสาวยิ่งลักษณ์ (ผู้ถูกกล่าวหา) ไม่ระงับ ยับยั้ง ปล่อยให้เกิดการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวทุกขั้นตอน จนทำให้ประเทศได้รับความเสียหาย ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้เจ้าหน้าที่สรุปสำนวนคดีส่งอัยการสูงสุดดำเนินคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

โดยในวันเดียวกันนี้ทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ได้อนุญาตให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินทางไปพักผ่อนในต่างประเทศได้ระหว่างวันที่ 20 ก.ค.-10 ส.ค.2557

นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ในฐานะโฆษก ป.ป.ช. กล่าวว่า หลังจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. แจ้งข้อกล่าวหานางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี (ผู้ถูกกล่าวหา) กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าว ทางคณะกรรมการ ป.ป.ช. เปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหามาชี้แจงข้อกล่าวหา และไต่สวนพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องจนเสร็จสิ้น และในวันที่ 17 กรกฎาคม 2557 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณารายงานผลการไต่สวนข้อเท็จจริง โดยมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ดังนี้

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มาภาพ : เฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/Y.Shinawatra?fref=ts
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มาภาพ : เฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/Y.Shinawatra?fref=ts

1. กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยกข้อสงสัยว่า ผู้ถูกกล่าวหากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และการแต่งตั้งศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ เป็นกรรมการ ป.ป.ช. ผู้รับผิดชอบสำนวนคดี ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ การไต่สวนข้อเท็จจริง ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นไปโดยเร่งรีบอย่างเป็นพิเศษหรือไม่ การรับฟังคำให้การของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายวรงค์ เดชกิจวิกรม ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีความเห็นว่า กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีเหตุอันควรสงสัยว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้เพิกเฉย ไม่ระงับยับยั้ง ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าว ตามที่มีอำนาจหน้าที่ ทำให้ทางราชการได้รับความเสียหายนั้น ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 66 บัญญัติว่า “ในกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีเหตุอันควรสงสัยหรือมีผู้กล่าวหาว่าผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี … ร่ำรวยผิดปกติ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่หรือทุจริตต่อหน้าที่ ตามกฎหมายอื่น ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงโดยเร็ว”

ดังนั้น การยกข้อสงสัยและดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในคดีนี้ จึงชอบด้วยกฎหมาย ส่วนกรณีผู้กล่าวหาอ้างว่าการไต่สวนข้อเท็จจริงในคดีนี้เป็นไปด้วยความเร่งรีบอย่างเป็นพิเศษนั้น ตามมาตรา 66 ระบุว่า “ให้ดำเนินการไต่สวนโดยเร็ว”ดังนั้น การที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงในคดีนี้โดยเร็วจึงชอบด้วยกฎหมาย

กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้แต่งตั้งนายวิชา มหาคุณ เป็นกรรมการ ป.ป.ช. ผู้รับผิดชอบสำนวนนั้น ไม่ปรากฏว่าเป็นบุคคลต้องห้ามไม่ให้ร่วมในการไต่สวนข้อเท็จจริงตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 46 ดังนั้น การแต่งตั้งนายวิชา มหาคุณ เป็นกรรมการ ป.ป.ช. ผู้รับผิดชอบสำนวน จึงชอบด้วยกฎหมาย

ส่วนการรับฟังคำให้การของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายวรงค์ เดชกิจวิกรม นั้น ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 48 บัญญัติว่า ในการไต่สวนข้อเท็จจริง ห้ามมิให้ทำหรือจัดให้ทำการใดๆ ซึ่งเป็นการล่อลวงหรือขู่เข็ญหรือให้สัญญากับผู้ถูกกล่าวหาหรือพยานเพื่อจูงใจให้เขาให้ถ้อยคำอย่างใดๆ ในเรื่องที่กล่าวหานั้น ดังนั้น เมื่อผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้กล่าวอ้างว่ามีการกระทำดังกล่าว คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงชอบที่จะรับฟังคำให้การของบุคคลดังกล่าวได้

ผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ประเด็นแรก ที่ประชุมมีมติเสียงข้างมากด้วยคะแนน 7:0 เสียง เห็นว่า การที่ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาว่า การไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ฟังไม่ขึ้น

ประเด็นสุดท้ายที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. วินิจฉัย คือกรณีรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก โดยกำหนดราคารับจำนำสูงกว่าราคาตลาด เมื่อมีการระบายข้าวที่รับจำนำได้เกิดผลขาดทุนจำนวนมาก แต่ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้ระงับยับยั้ง และดำเนินโครงการต่อไปจนเกิดผลขาดทุนสะสมเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากนั้น การกระทำดังกล่าวมีมูลความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต หรือไม่

ประเด็นนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเสียงข้างมากด้วยคะแนน 7:0 เสียง เห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อยู่ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ซึ่งได้กำหนดนโยบายการรับจำนำข้าวมาตั้งแต่ต้น และในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่กำหนดนโยบายและมีส่วนร่วมในการบริหารโครงการรับจำนำข้าว ได้กำหนดราคารับจำนำข้าวเปลือกสูงกว่าราคาตลาด เป็นการบิดเบือนกลไกตลาด และการดำเนินโครงการดังกล่าวปรากฏว่าได้เกิดการทุจริตในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การขึ้นทะเบียนเกษตรกร การสวมสิทธิ์เกษตรกร โกงความชื้น โกงตาชั่ง นำข้าวมาเวียนเข้าโครงการ การลักลอบนำข้าวออกจากคลัง ในส่วนของการระบายข้าวที่รับจำนำ มีการใช้อิทธิพลทางการเมืองช่วยเหลือพวกพ้องให้ได้ข้าวจากโครงการไปจำหน่าย เกิดระบบนายหน้าค้าข้าว โดยไม่เปิดประมูลข้าวอย่างเปิดเผย การทุจริตดังกล่าวได้ก่อให้เกิดภาระรายจ่ายของรัฐและภาวะขาดทุนเป็นจำนวนมาก ทั้งการอุดหนุนเกษตรกรและค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น การสีแปรสภาพ การขนส่ง การเก็บรักษา และยังอาจมีปัญหาข้าวเสื่อมคุณภาพ ขายข้าวขาดทุน ข้าวสูญหายจากโกดัง รัฐบาลกลายเป็นผู้ค้าข้าวรายใหญ่ ทำลายระบบการค้าข้าวโดยเสรี โรงสีและผู้ส่งออกไม่สามารถจัดหาซื้อข้าวได้เพียงพอ โรงสีในโครงการและผู้ส่งออกที่ชนะการประมูลข้าวจะมีการค้าขายที่มีข้อได้เปรียบโรงสีและผู้ส่งออกที่อยู่นอกโครงการ ตลอดจนทำให้ราคาข้าวไทยแพงกว่าคู่แข่งในต่างประเทศ ทำให้ประเทศไทยสูญเสียตลาดส่งออกที่สำคัญ

การรับจำนำข้าวเปลือกทุกเมล็ด โดยไม่จำกัดพื้นที่ผลิตและวงเงินการรับจำนำ ทำให้เกิดความเสี่ยงและความเสียหายต่อโครงการ โดยเฉพาะการนำข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านมาสวมสิทธิ์ ตลอดจนปริมาณรับจำนำสูงเกินกว่าข้อเท็จจริง แต่คุณภาพข้าวต่ำกว่าราคาที่รับจำนำ ต่อมาเมื่อมีการระบายข้าวที่รับจำนำได้เกิดผลขาดทุนเป็นจำนวนมาก ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาได้รับรู้ รับทราบจากรายงานผลการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล และยังรับทราบว่ามีการทุจริตในทุกขั้นตอนจากการรับจำนำข้าวและการระบายข้าว อีกทั้งปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีชาวนาที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวนับล้านครอบครัวไม่ได้รับเงิน ทำให้ได้รับความเดือดร้อนเสียหายหลายรายถึงกับฆ่าตัวตาย

จึงเป็นกรณีจำเป็นที่ผู้ถูกกล่าวหาในฐานะนายกรัฐมนตรีจะต้องพิจารณายับยั้งโครงการตั้งแต่เริ่มรับทราบว่ามีการทุจริตในการดำเนินโครงการและความเสียหายต่าง ๆ จากการดำเนินโครงการ แต่ผู้ถูกกล่าวหากลับยืนยันที่จะดำเนินโครงการรับจำนำข้าวต่อไป ทำให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ทั้งที่ผู้ถูกกล่าวมีอำนาจหน้าที่โดยตรงที่จะต้องพิจารณายุติหรือยกเลิกโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล เพื่อระงับยับยั้งมิให้เกิดการทุจริตและระงับยับยั้งมิให้เกิดความเสียหายจากการดำเนินโครงการมากยิ่งขึ้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นสภาพความเสียหายที่เกิดจากโครงการรับจำนำข้าวที่ร้ายแรงที่สุดของประเทศ

การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาตามที่กล่าวในข้างต้น จึงมีมูลความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต จึงให้ส่งรายงานและเอกสารพร้อมความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามฐานความผิดดังกล่าวตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 7

นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี    ที่มาภาพ : https://www.facebook.com/Y.Shinawatra
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ที่มาภาพ : https://www.facebook.com/Y.Shinawatra

อย่างไรก็ตามต่อมาในวันที่ 18 กรกฏาคม 2557 นางสาวยิ่งลักษณื ชินวัตร อดีตนายกกรัฐมนตรี ได้ออกมาแถลงข่าวต่อเรื่องนี้ว่าในวันนี้ (18 กรกฎาคม 2557) นางสาวยิ่งลักษณ์ฯ อดีตนายกรัฐมนตรีเห็นว่าจากกรณีที่มีการแถลงข่าวของศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกกรรมการ ป.ป.ช. เรื่องการไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีกล่าวหานางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่า กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว และการระบายข้าวของรัฐบาลมีมติว่านางสาวยิ่งลักษณ์ฯ อดีตนายกรัฐมนตรีมีมูลความผิด และให้ส่งรายงานและเอกสารพร้อมความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามฐานความผิดดังกล่าวตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 70 นางสาวยิ่งลักษณ์ฯ เห็นว่า

1. การดำเนินการของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการไต่สวนข้อเท็จจริงคดีนี้เป็นกระบวนการยุติธรรมที่ไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรมสากล ไม่เป็นไปตามคำชี้แจงของ ศาสตราจารย์พิเศษวิชา มหาคุณ ที่ได้แถลง เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2557 ขอยืนยันว่ากระบวนการดำเนินคดีของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่มีมติ 7:0 เสียง ไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม เลือกปฏิบัติ และขาดความเที่ยงธรรม กล่าวคือ ยังยืนยันว่าการดำเนินคดีเป็นไปด้วยความเร่งรีบ รวบรัดอย่างเป็นพิเศษต่างจากการดำเนินคดีอื่นๆ ที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วยกันถูกกล่าวหาทั้งก่อนหน้าคดีนี้จำนวนหลายคดีอย่างขาดความชอบธรรม ไม่มีการตั้งอนุกรรมการขึ้นไต่สวนเหมือนคดีอื่นๆ และไม่เคยได้รับคำตอบใดๆ จากคณะกรรมการ ป.ป.ช.

โดยเฉพาะระยะเวลาที่ดำเนินคดีกับนางสาวยิ่งลักษณ์ฯ นับแต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติตั้งคณะกรรมการไต่สวน เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2557 ใช้เวลา 21 วัน ในการแจ้งข้อกล่าวหา และใช้เวลาเพียง 140 วัน นับแต่วันรับทราบข้อกล่าวหา มีการเร่งรีบมีมติชี้มูลความผิดในคดีอาญาต่อนางสาวยิ่งลักษณ์ฯ ทั้งที่ในช่วงการไต่สวนดังกล่าวมีข้อโต้แย้งมากมายทั้งข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายจากนางสาวยิ่งลักษณ์ฯ ผู้ถูกกล่าวหาในการนำเสนอพยานบุคคล และพยานหลักฐานเพื่อหักล้างข้อกล่าวหาของคณะกรรมการ ป.ป.ช.หลายครั้งหลายคราวนับแต่ถูกกล่าวหา ซึ่งเป็นจำนวนพยานไม่มากหากเทียบกับเรื่องที่ถูกกล่าวหา เนื่องจากมีผู้ปฏิบัติและหน่วยงานที่รับผิดชอบจำนวนมาก กับมีข้อโต้แย้งมากมายจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทำให้การไต่สวนที่ผ่านมาองค์คณะผู้ไต่สวนได้ตัดสิทธิในกระบวนการยุติธรรม โดยการตัดพยานหลักฐานที่จะเข้าสู้สำนวนหมดไปกับการโต้แย้งมากมายจากองค์คณะผู้ไต่สวน แต่ผู้ที่เสียหายคือนางสาวยิ่งลักษณ์ฯ ถูกตัดโอกาสในการต่อสู้คดีจนถึงวันชี้มูลความผิดอาญาต่อนางสาวยิ่งลักษณ์ ฯ ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรีอย่างเร่งรีบ โดยไม่เคยปรากฏมาก่อนหน้านี้ว่ากรรมการ ป.ป.ช. ได้เคยปฏิบัติหน้าที่ในการไต่สวนคดีอาญาอื่นๆ ต่อผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เช่นเดียวกับนางสาวยิ่งลักษณ์ฯ แต่อย่างใด การหยิบยกข้ออ้างตามข้อกฎหมายว่า จำเป็นต้องไต่สวนโดยเร็วการปฏิบัติหน้าที่จึงชอบด้วยกฎหมายนั้น การไต่สวนโดยเร็วดั่งว่านั้น ไม่มีข้อเท็จจริงว่าได้เคยปฏิบัติต่อคดีอื่นๆ ที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เช่นเดียวกับนางสาวยิ่งลักษณ์ฯ ถูกกล่าวหาซ้ำร้ายยังปรากฏเป็นข่าวที่โฆษกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้สังคมทั่วไปทราบเช่นเดียวกับคดีนี้ว่า คดีอื่นๆ มีการเริ่มสอบสวนเมื่อใด และจะสิ้นสุดลงในเวลาใดเช่นเดียวกับคดีนี้

นอกจากนี้ น.ส. ยิ่งลักษณ์ฯ ผู้ถูกกล่าวหาได้ขอความเป็นธรรมต่อองค์คณะผู้ไต่สวนถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2557 ครั้งที่สองเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2557 และครั้งที่สามเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2557 นอกจากนี้มีองค์คณะผู้ไต่สวนโดยเฉพาะ ศาสตราจารย์พิเศษ วิชาฯ ได้ถูกคัดค้าน และขอความเป็นธรรม โดยนางสาวยิ่งลักษณ์ฯ ถึง 3 ครั้ง ต่อองค์คณะผู้ไต่สวนในครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2557 ครั้งที่สองเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2557 และครั้งที่สามเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2557 ขอให้องค์คณะผู้ไต่สวนทั้งหมดเปลี่ยนตัวศาสตราจารย์พิเศษวิชา ฯ ที่กระทำตัวเป็นปฏิปักษ์หลายประการต่อผู้ถูกกล่าวหา โดยละเมิดสิทธิในกระบวนการยุติธรรมของผู้ถูกกล่าวหา โดยชี้นำสังคมว่านางสาวยิ่งลักษณ์ฯ เป็นผู้กระทำความผิดตลอดมา บุคคลดังกล่าวพูดจาเหน็บแนม กระแนะกระแหน ถากถาง ดูถูก เย้ยหยัน ดูหมิ่น ผู้ถูกกล่าวหาต่างๆ นานา โดยปราศจากพยานหลักฐาน รวมทั้งผู้ถูกกล่าวหาเรียกร้องให้บุคคลดังกล่าวถอนตัวจากการเป็นองค์คณะผู้ร่วมไต่สวน แต่หาได้รับการสนองตอบเพื่ออำนวยความยุติธรรม แก่ผู้ถูกกล่าวหาไม่ องค์คณะผู้ไต่สวนรายอื่นกับปล่อยให้บุคคลดังกล่าวยังคงทำหน้าที่อยู่ต่อมาจนถึงปัจจุบัน หากเทียบกับมาตรฐานทางจริยธรรมของกรรมการ ป.ป.ช. รายพลตำรวจโท สถาพร หลาวทอง ที่มีข้อเท็จจริงเพียงว่าสมัยดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ เคยตรวจสอบโกดังข้าวเท่านั้นก็ถอนตัวจากการเป็นองค์คณะผู้ไต่สวนในคดีนี้เสียแล้ว

การเลือกที่จะรับฟังพยานหลักฐานที่เป็นโทษและเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้ถูกกล่าวหาทางการเมือง อาทิเช่น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายวรงค์ เดชกิจวิกรม ไม่รับฟังและไต่สวนพยานหลักฐานในส่วนที่เป็นคุณโดยเฉพาะพยานบุคคลหลายราย ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นในคดีที่ถูกกล่าวหาโดยสิ้นเชิง อันเป็นที่ประจักษ์ต่อสังคม และผู้ถูกกล่าวหากลับถูกให้ร้าย โดยไม่เป็นธรรมว่ามีพฤติการณ์ประวิงคดี ทั้งที่ผู้ถูกกล่าวหาเพียงแต่ต้องการแสวงหาความยุติธรรม โดยการนำเสนอพยานหลักฐานเพื่อต่อสู้คดีเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากกรณีโครงการประกันราคาข้าวที่ ป.ป.ช.ไม่ได้เร่งรีบแต่กลับละเลยไม่ดำเนินการ ซ้ำยังให้ข่าวว่าเอกสารหายเนื่องจากเกิดเหตุอุทกภัยถือเป็นการเลือกปฏิบัติหรือไม่

คำถามจึงมีว่าประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 63/2557 เรื่อง นโยบายเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมของรัฐ ให้มีบรรทัดฐานที่ชัดเจนในการดำเนินคดีตามประเภทคดีที่อยู่ในอำนาจหน้าที่โดย ที่ประกาศดังกล่าวมีจุดประสงค์ให้องค์กรในกระบวนการยุติธรรมทั้งปวง รวมทั้ง ป.ป.ช. ในการบังคับใช้กฎหมาย อันจะนำไปสู่ความขัดแย้ง และความแตกแยกในสังคม โดยต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม และไม่มีการเลือกปฏิบัติ ได้รับการปฏิบัติสนองตอบเป็นอย่างดีแล้วหรือไม่

2.ประเด็นที่กล่าวหาว่านางสาวยิ่งลักษณ์ฯ กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าวของรัฐบาล

2.1ในเรื่องนี้เห็นว่าการหยิบยกข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/มากล่าวหานางสาวยิ่งลักษณ์ฯ ว่ามีมูลกระทำความผิดตามข้อกฎหมายข้างต้นในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ เป็นการกล่าวหาในลักษณะ “หว่านแหกล่าวหา” เลื่อนลอยปราศจากหลักฐาน ข้อเท็จจริงยังไม่ยุติ และไต่สวนให้เสร็จสิ้นกระแสความในแต่ละเรื่อง และแต่ละประเด็นไม่ว่าจะเป็นประเด็นตามข้ออ้างว่ามีการทุจริตในทุกขั้นตอนนั้น มีพฤติการณ์ที่เป็นการทุจริตอย่างไร ทุจริตที่ไหน เจ้าหน้าที่รัฐคนใดหรือหน่วยงานใด และเอกชนรายใดที่เข้าร่วมโครงการ หรือแม้แต่ชาวนาเกษตรกร รายใด ตำบลใด อำเภอใด และจังหวัดใดที่มีพฤติการณ์ที่มีการขึ้นทะเบียนเกษตรกร โดยการสวมสิทธิเกษตรกร โกงความชื้น โกงตราชั่ง นำข้าวมาเวียนเข้าโครงการ การลักลอบนำข้าวออกจากคลัง โดยยืนยันในเรื่องคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช. คลาดเคลื่อนในประเด็น ดังต่อไปนี้

2.1.1 เรื่องการขาดทุนของโครงการ ได้ให้การและมีพยานบุคคลและเอกสารหลักฐานแสดงว่าโครงการมีความจำเป็นและมีประโยชน์ต่อชาวนา และเศรษฐกิจของประเทศชาติ มากกว่าการขาดทุนที่กล่าวอ้างดังนี้

2.1.1.1 ได้มีการชี้แจงว่าโครงการช่วยเหลือเกษตรกรไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ฯลฯ. รัฐต้องมีงบประมาณช่วยเหลือเพื่อให้เกษตรกรอยู่ได้ การประกันราคาข้าวของรัฐบาลก่อนก็ใช้งบประมาณหมื่นๆ ล้านต่อปีเช่นกัน เงินช่วยเหลือดังกล่าวหลายๆฝ่ายเรียกว่า ขาดทุน

2.1.1.2 โครงการช่วยเหลือดังกล่าวทำให้เกษตรกร ทำการเกษตรได้คุ้มทุน สามารถประกอบอาชีพเกษตรกรรมได้ในระยะยาว และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

2.1.1.3 รายได้ที่ชาวนาได้รับเพิ่มขึ้นทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) ดีขึ้นกว่า 1 แสนล้านบาท หรือ 1% ของ GDP

2.1.1.3 รายงานปิดบัญชีที่ ป.ป.ช. อ้างถึงทั้ง 2 ครั้ง ซึ่งได้การขาดทุนดังกล่าวรวมค่าใช้จ่ายต่างๆไว้แล้ว ซึ่งคณะกรรมการ กขช. ประกอบด้วยหน่วยงานราชการหลายหน่วยงานได้โต้แย้งว่า ข้าวที่ระบุว่าหายจำนวนประมาณ 3 ล้านตัน ควรต้องลงในบัญชีเพราะหน่วยงานรับผิดชอบได้ยืนยันว่าไม่ได้หายไป อยู่ในขั้นตอนสีแปร และหากมีข้าวหายจริงก็มีหน่วยงานที่ต้องรับผิดชอบการสูญหายนั้น รัฐไม่ได้เสียหายใดๆ และมีข้อโต้แย้งที่สำคัญอีกคือ การคำนวณมูลค่าสต็อกข้าวที่เหลือ และสูตรการคำนวณการเสื่อมสภาพ ข้อโต้แย้งดังกล่าวทำให้ผลการขาดทุนลดลงเหลือเพียงปีละ 1 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นงบประมาณไม่มากกว่าโครงการรับจำนำข้าวมากนัก ทั้งๆ ที่โครงการรับจำนำข้าวกำหนดราคาจำนำข้าวและจำนวนข้าวที่ได้รับจำนำมากกว่า

2.1.1.4 คำชี้แจงและข้อโต้แย้งดังกล่าว ป.ป.ช.ยังไม่ได้ไต่สวนให้สิ้นกระแสความและได้ตัดพยานของผู้กล่าวหา ซึ่งนับว่าไม่ถูกต้องและเป็นธรรมตามระบบนิติธรรมต่อผู้ถูกกล่าวหา

2.1.2 ส่วนในเรื่องข้าวเสื่อมสภาพ และข้าวหายนั้น

หน่วยงานที่ควบคุมดูแลสต็อกข้าว คือ อคส.และ อตก. ได้ทำสัญญาต่างๆ กับเจ้าของคลังสินค้า ผู้ตรวจคุณภาพข้าว (เซอร์เวเยอร์) และบริษัทประกันภัย ให้รับผิดชอบค่าเสียหาย หากเกิดกรณีข้าวสูญหายและการเสื่อมสภาพข้าวที่ผิดปกติจากธรรมชาติ ดังนั้น การกล่าวอ้างเรื่องรัฐมีความเสียหายจากกรณีข้าวหายหรือข้าวเสื่อมสภาพ จึงไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรมต่อผู้ถูกกล่าวหา

2.1.3 เรื่องการปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตทุกขั้นตอน ขอชี้แจง ดังนี้

2.1.3.1 โครงการรับจำนำข้าว เป็นโครงการที่มีที่มาที่ไปและระบบการบริหารงานตั้งแต่ระดับล่างสุด คือ การฟังเสียงประชาชนจากการหาเสียงเลือกตั้ง มาเป็นนโยบายของรัฐบาล จนกระทั่งแถลงนโยบายในรัฐสภา และในการบริหารมีคณะกรรมการชุดต่างๆตั้งแต่คณะรัฐมนตรี คณะกรรมการ กขช. คณะอนุกรรมการข้าวคณะต่างๆทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคจนถึงระดับ จังหวัด อำเภอ ตำบล และมีส่วนร่วมจากประชาชน เพื่อทำให้ระบบการทำงานโปร่งใส และป้องกันการทุจริตคอรัปชั่น

2.1.3.2 ขั้นตอนการทำงานและระบบงานต่างๆได้นำขั้นตอนการทำงานของรัฐบาลก่อนๆ ทั้งโครงการประกันราคาข้าว และจำนำข้าวมาพิจารณาปรับปรุงให้ดีขึ้น และทันสมัย เพื่อความโปร่งใสและป้องกันการทุจริต

2.1.3.3ได้มีการตรวจสอบ จับกุม ดำเนินคดี ผู้กระทำผิดแล้วประมาณ 300 คดี อีกทั้งยังมีการแต่งตั้งคณะกรรมสอบสวน ไต่สวน ข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐ ที่ถูกกกล่าวหากรณีต่างๆอีกด้วย

2.1.3.4 ข้อกล่าวหาทุจริตที่ ป.ป.ช.อ้างถึงนั้น ยังไม่มีพยานหลักฐานที่ชัดเจน มีเพียงคำกล่าวหา ยังไม่ได้ไต่สวนให้สิ้นคดีความ และ ป.ป.ช. ได้ระงับการไต่สวนพยานของผู้ถูกกล่าวหาด้วย

อีกทั้งในชั้นตรวจพยานหลักฐาน เอกสารที่ตรวจครั้งแรก 49 แผ่น และครั้งที่สอง 280 แผ่น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็ไม่มีพยานหลักฐานที่จะให้ตรวจตามข้อกล่าวหา ข้อกล่าวหาดั่งว่ากับปราศจากพยานหลักฐานว่าเกิดขึ้น ณ ที่ใด เป็นการปฏิบัติในทางตรงกันข้าม โดยไม่รอข้อเท็จจริงว่าในปัจจุบันนี้เอง หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้สั่งการและตั้งคณะกรรมการตรวจสอบว่าเกิดปัญหาตามข้อกล่าวหาขององค์คณะผู้ไต่สวนจริงหรือไม่ เพราะขณะนี้เองก็ยังไม่ได้ข้อยุติในเรื่องความเสียหาย และความรับผิดจากการตรวจสอบของคณะกรรมการที่ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติแต่งตั้งขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะถือได้ว่าการไต่สวนขององค์คณะผู้ไต่สวนคดีนี้เสร็จสิ้นกระแสความได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ความก็ปรากฏต่อสังคมว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. เองก็ได้ส่งเจ้าหน้า ป.ป.ช. ที่ไปร่วมสังเกตการณ์กับคณะกรรมการผู้ตรวจสอบดังกล่าวข้างต้นกลับเลือกที่จะรับฟังพยานหลักฐานที่เป็นโทษต่อผู้ถูกกล่าวหาได้แก่รายงานผลการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล เมื่อ วันที่ 9 ตุลาคม 2555 และ 23 พฤษภาคม 2556 ซึ่งมีระยะเวลาเนินนานมาแล้ว และรายงานดังกล่าวมีข้อโต้แย้งมากมาย จากหน่วยงานของรัฐผู้รับผิดชอบ และข้อโต้แย้งจากนางสาวยิ่งลักษณ์ ฯ หลายประเด็นในการจะนำพยานบุคคลเข้าหักล้างรายงานผลการปิดบัญชี โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล แต่ถูกตัดพยานเสียดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น

2.2 กรณีเรื่องการระบายข้าว

เรื่องนี้ก็เช่นเดียวกันที่องค์คณะผู้ไต่สวนได้ปฏิบัติตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น และเป็นกรณีที่ไม่ได้กล่าวหาโดยตรงต่อนางสาวยิ่งลักษณ์ฯ ผู้ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด และยังไม่ได้มีข้อยุติในคดีที่มีการกล่าวหาเรื่องระบายข้าวว่าจะมีข้อยุติเป็นอย่างไร จึงถือได้ว่ากรณีเรื่องการระบายข้าวเป็นเรื่องนอกข้อกล่าวหาที่มีต่อนางสาวยิ่งลักษณ์ฯ และตลอดมาศาสตราจารย์พิเศษ วิชาฯ เองก็ได้แถลงข่าวเป็นที่ประจักษ์ต่อสังคมว่าคดีระบายข้าวมิได้เกี่ยวข้องกับนางสาวยิ่งลักษณ์ฯ ผู้ถูกกล่าวหา ทำให้นางสาวยิ่งลักษณ์ฯ ผู้ถูกกล่าวหามิได้ต่อสู้คดีนี้หรือมีโอกาสนำเสนอพยานหลักฐาน เพื่อหักล้างข้อกล่าวหาในเรื่องการระบายข้าวแต่อย่างใด

อีกทั้งข้อกล่าวหามากมายที่มีต่อเรื่องระบายข้าว ในเรื่องที่องค์คณะผู้ไต่สวนมีวินิจฉัย อาทิเช่น เรื่องข้าวเสื่อมคุณภาพก็ยังมีข้อโต้แย้งอยู่ว่า หลักเกณฑ์การคิดคำนวณข้าวเสื่อมคุณภาพมีวิธีการคิดคำนวณอย่างไร และก่อนหน้านี้องค์คณะผู้ไต่สวนเองก็รับว่าหลักเกณฑ์ในการคิดคำนวณข้าวเสื่อมคุณภาพยังไม่มีหลักเกณฑ์ในทางปฏิบัติที่แน่นอน ซ้ำร้ายเมื่อผู้ถูกกล่าวหาจะนำพยานบุคคลเข้ามาชี้แจงก็กลับไม่ให้โอกาสที่จะนำพยานบุคคลเข้าชี้แจง อ้างว่าไม่เกี่ยวกับประเด็นที่กล่าวหา

สำหรับการขายข้าวขาดทุนเองก็ยังไม่ปรากฏว่าได้ขายข้าวที่มีอยู่ในสต็อกเป็นการเสร็จสิ้นแล้ว เพราะข้าวที่มีอยู่ในสต็อกล้วนมีมูลค่าที่จะต้องนำมาหักทอนทางบัญชี และยังไม่มีการขายให้เสร็จสิ้นจึงยังไม่มีข้อยุติทางตัวเลขแต่อย่างใด ส่วนข้ออ้างการขายข้าวขาดทุนโดยใช้หลักเกณฑ์ส่วนต่างของราคาระหว่างราคารับจำนำข้าวกับราคาท้องตลาด โดยที่ยังไม่มีการขายข้าวจริงจะถือว่าขายข้าวขาดทุนได้อย่างไร

ส่วนข้าวสูญหายจากโกดังเองก็ยังมีข้อยุติว่ายังมีการตรวจสอบไม่เสร็จสิ้น และองค์คณะผู้ไต่สวนได้ไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการตรวจสอบปริมาณข้าวก็ได้ข้อเท็จจริงว่าข้าวอยู่ครบจำนวนไม่ได้มีการสูญหาย แม้กระทั่งปัจจุบันมีการตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบจำนวนข้าวแต่ละโกดัง ก็ยังตรวจสอบยังไม่แล้วเสร็จ จึงไม่ทราบได้ว่าข้าวสูญหายมากน้อยเพียงใด และในเรื่องนี้ยังไม่มีข้อเท็จจริงยุติว่ามีข้าวสูญหายในแต่ละจุดมากน้อยเพียงใด

และยังมีข้อเท็จจริงที่เป็นข้อยุติว่าผู้รักษาข้าว อาทิเช่น เจ้าของโกดัง เจ้าของไซโล ได้มีสัญญาซึ่งมีสภาพบังคับตามกฎหมายในอันที่จะต้องรับผิดชอบในความเสียหายดังกล่าวซึ่งสามารถไล่เบี้ยเอากับผู้รับผิดชอบในฐานะผู้ร่วมโครงการได้ แต่หาได้มีข้อเท็จจริงว่าได้มีการดำเนินการดั่งว่าแล้ว และเป็นไปไม่ได้ที่หน่วยงานของรัฐจะสมคบหรือปล่อยประละเลยให้มีข้าวสูญหายจากโกดัง เพราะไม่ปรากฏข้อเท็จจริงเช่นว่านั้นเลยในสถานที่แห่งใดนอกจากนี้ข้อวินิจฉัยในเรื่องการสีแปรสภาพ การขนส่ง การเก็บรักษา รัฐบาลกลายเป็นผู้ค้าข้าวรายใหญ่ ทำลายระบบการค้าข้าวโดยเสรีโรงสีและผู้ส่งออกนอกโครงการไม่สามารถจัดหาซื้อข้าวได้เพียงพอ โรงสีในโครงการและผู้ส่งออกที่ชนะการประมูลข้าว จะมีการค้าขายที่มีข้อได้เปรียบโรงสีและผู้ส่งออกนอกโครงการ ตลอดจนราคาข้าวไทยแพงกว่าคู่แข่งในต่างประเทศ ทำให้ประเทศไทยสูญเสียตลาดส่งออกที่สำคัญ การรับจำนาข้าวเปลือกทุกเมล็ด โดยไม่จำกัดพื้นที่ผลิตและวงเงินของการรับจำนำ ทำให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดความเสียหายต่อโครงการอย่างยิ่ง จากการนำข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านมาสวมสิทธิ์ ตลอดจนปริมาณรับจำนำสูงเกินกว่าข้อเท็จจริง แต่คุณภาพข้าวต่ำกว่าราคาที่รับจำนำ ข้อวินิจฉัยดังกล่าวผู้ถูกกล่าวหาเองได้นำพยานบุคคล และพยานหลักฐานที่เป็นคุณเข้าหักล้างแล้วแต่องค์คณะผู้ไต่สวนหาได้รับฟังพยานหลักฐานส่วนที่เป็นคุณไม่ อีกทั้งเลือกที่จะตัดพยานหลักฐานและพยานบุคคลจำนวนหลายราย ที่ผู้ถูกกล่าวหาร้องขอให้ไต่สวนออกเสีย ทำให้ข้อเท็จจริงที่เป็นคุณไม่ปรากฏในสำนวน

สำหรับข้อวินิจฉัยในเรื่องมีการใช้อิทธิพลทางการเมืองช่วยเหลือพวกพ้องให้ได้ข้าวจากโครงการไปจำหน่าย เกิดระบบนายหน้าค้าข้าวไม่เปิดประมูลข้าวอย่างเปิดเผย การทุจริตดังกล่าวได้ก่อให้เกิดภาระรายจ่ายของรัฐ ไม่ปรากฏว่ามีอยู่ในข้อกล่าวหาที่มีต่อนางสาวยิ่งลักษณ์ฯ เป็นการรับฟังพยานหลักฐานนอกเหนือข้อกล่าวหา และผู้ถูกกล่าวหาไม่อาจล่วงรู้ว่ามีประเด็นดังกล่าวอันจะทำให้มีข้อโต้แย้ง และข้อหักล้างต่อข้อวินิจฉัยดังกล่าวได้

2.3 ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้ระงับยังยั้งโครงการ โดยยังคงดำเนินโครงการต่อมาจนขาดทุนสะสมเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก

ในเรื่องนี้เห็นว่า ข้ออ้างเรื่องการขาดทุนสะสมเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากนั้น เป็นข้อวินิจฉัยที่มีข้อโต้แย้งยังไม่ไต่สวนให้สิ้นกระแสความ และยังปรากฏข้อเท็จจริงว่าหน่วยงานรัฐด้วยกันเองก็ยังมีการคิดคำนวณผลการขาดทุนดั่งว่านั้น แตกต่างกันระหว่างรายงานผลการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลกับหน่วยงานรัฐด้วยกัน แต่เมื่อผู้ถูกกล่าวหาจะได้นำเสนอพยานหลักฐาน เพื่อหักล้างในเรื่องนี้ก็กลับถูกตัดพยานบุคคลดังกล่าวมา อีกทั้งองค์คณะผู้ไต่สวนเองก็ไม่มีข้อหักล้างฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาเช่นกันว่าการจ่ายเงินในโครงการรับจำนำข้าวสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตชาวนาได้จริง และผลจากการจ่ายเงินเป็นผลโดยตรงให้ GDP ของประเทศมีอัตราสูงขึ้นอย่างสามารถที่จะตรวจสอบได้ ประกอบกับปัจจุบันนี้ก็ยังมีหน่วยงานหลายหน่วยงานให้ข่าวเป็นที่ประจักษ์ว่าผลจากการจ่ายเงินในโครงการรับจำนำข้าวเกิดผลดีโดยตรง และโดยอ้อมหลายประการตามที่ผู้ถูกกล่าวหาได้นำเสนอพยานบุคคล และพยานหลักฐานถึงผลดีในโครงการรับจำนำข้าว แต่พยานหลักฐานที่เป็นคุณดังกล่าวกลับถูกปฏิเสธที่จะรับฟังจากองค์คณะผู้ไต่สวนโดยสิ้นเชิง ที่เป็นเช่นนี้เพราะกรรมการ ป.ป.ช. เองก็ได้ตั้งข้อรังเกียจต่อโครงการรับจำนำข้าว นับแต่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ฯ ได้เริ่มโครงการมาตั้งแต่ต้น

ข้อวินิจฉัยเรื่องเหตุที่ชาวนาที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวนับล้านครอบครัวที่ยังไม่ได้รับเงินตามกำหนด และทำให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายนั้นเป็นที่ประจักษ์ว่า สภาพทางการเมืองที่ประสบในขณะนั้นอยู่ในสภาพบีบบังคับมิให้กลไกของรัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สถาบันทางการเงินไม่สามารถจ่ายเงินได้ตามปกติที่พึงจะต้องปฏิบัติต่อกันนับแต่ได้เริ่มโครงการ และนางสาวยิ่งลักษณ์ฯ ได้ดำเนินมาตรการหลายมาตรการ เพื่อนำเงินมาจ่ายให้กับชาวนาแต่กลับถูกสกัดกั้นดังที่เห็นเป็นประจักษ์ แต่ปรากฏในกาลต่อมาว่าในภายหลังที่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ฯ สิ้นสุดลง มาตรการที่นางสาวยิ่งลักษณ์ฯ ได้ดำเนินการไว้ในหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องในโครงการ สถาบันการเงินเดิมที่เคยปฏิเสธก็กลับมาจ่ายเงินให้กับชาวนาได้ตามปกติและเห็นชอบในการนำสภาพคล่องของธนาคารมาสำรองจ่ายให้อีกด้วย

กรณีที่นางสาวยิ่งลักษณ์ฯ ในฐานะนายกรัฐมนตรีและประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ต้องถูกกล่าวหาในคดีนี้ ทั้งที่เป็นการดำเนินการในทางนโยบายของฝ่ายบริหาร (Act of government) ที่ควรจะตรวจสอบในระบบรัฐสภา อีกทั้งเป็นการปฏิบัติตามนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี และมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ และมีมติคณะรัฐมนตรีจำนวนมากที่ได้แสดงออกว่านางสาวยิ่งลักษณ์ฯ หาได้ละเลยหรือละเว้น การกำกับ ควบคุม ดูแล แต่อย่างใดไม่ ในทางตรงกันข้ามมีข้อเท็จจริงปรากฏว่านับแต่เริ่มโครงการผู้ถูกกล่าวหาได้ดำเนินการ และให้นโยบายแก่ผู้ปฏิบัติให้ดำเนินการด้วยความโปร่งใส และให้มีมาตรการป้องกันการทุจริตตลอดมา