ประชาชนรุมประณาม “หนุ่ย” ฆาตรกรฆ่าข่มขืนเด็กกว่า 10 ราย
ศาลออกหมายจับ “ตั้ง อาชีวะ” คดีหมิ่นเบื้องสูง
ชาวเน็ตรวมพลัง โพสต์ภาพ ช่วย สองตายาย คดีเก็บเห็ดป่า จำคุก 15 ปี
บอสใหญ่สิงห์ส่งจดหมายเตือน “ตั๊น จิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี” กับการประกาศตัวทางการเมือง
DSI ออกหมายเรียก-อายัดบัญชีเพิ่ม 20 แกนนำ
อ่านรายละเอียด …………
ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากสุดในโซเชียลมีเดียในรอบสัปดาห์ 15-21 ธันวาคม 2556
เรื่องแรก คดีฆ่าข่มขืนที่สร้างความสะเทือนใจให้บรรดาพ่อแม่ผู้ปกครอง และยังมีผู้ให้ความสนใจติดตามกันมากในสัปดาห์นี้ กับคดีของนายหนุ่ย หรือติ๊งต่าง ฆาตกรฆ่าข่มขืนน้องการ์ตูน เด็กหญิงวัย 6 ขวบ บริเวณพื้นที่รกร้างริมถนน ใกล้สถานีรถไฟฟ้าแบริ่ง ย่านบางนา ได้สร้างความตกใจให้กับคนในสังคมเป็นอย่างมาก เพราะนายหนุ่ยได้รับสารภาพว่าลงมือกระทำการดังกล่าวจริงทั้งหมด เนื่องจากดื่มแอลกอฮอล์จนเกิดอารมณ์ทางเพศ อีกทั้งคดีนี้ก็ไม่ใช่คดีแรกที่นายหนุ่ยลงมือกระทำ แต่ได้เคยกระทำการเช่นนี้มาแล้วกับเหยื่อกว่า 10 ราย ซึ่งล้วนแต่เป็นเด็กทั้งชาย-หญิง อายุต่ำกว่า 12 ปี และเคยฆ่าข่มขืนมาแล้ว 4 ศพ
วันที่ตำรวจพานายหนุ่ยไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ บริเวณจุดเกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้าแบริ่ง ย่านบางนา ต้องใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวน 1 กองร้อย เพื่อคุมตัวมาและรักษาความปลอดภัยกันการเกิดจลาจล เนื่องจากมีประชาชนจำนวนหลายร้อยคนเดินทางมารอยังจุดเกิดเหตุ เพื่อดูการทำแผนประกอบคำรับสารภาพของนายหนุ่ย ทั้งยังมีการตะโกนด่าทอสาปแช่งและพยายามจะรุมเข้ามาประชาทัณฑ์ทำร้ายนายหนุ่ย เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องตั้งวงล้อมตัวนายหนุ่ยถึง 2 ชั้น
ตามรายงานข่าวกล่าวว่า นายหนุ่ยเพิ่งพ้นโทษในเดือนสิงหาคม 2555 จากการถูกจำคุก 3 ปี 8 เดือน ที่จังหวัดขอนแก่น ในคดีพรากผู้เยาว์อายุไม่เกิน 15 ปี และยังมีการกล่าวย้อนถึงประวัติว่านายหนุ่ยเป็นเด็กกำพร้าที่เร่ร่อนอยู่ในกรุงเทพมหานครตั้งแต่อายุ 7 ขวบ จนได้พบกับพ่อพิณและแม่ลอง ชาวเปลือยน้อย จังหวัดขอนแก่น ที่เข้ามาทำงานก่อสร้างในกรุงเทพมหานคร จึงเก็บมาเลี้ยง ก่อนพากันย้ายกลับไปที่จังหวัดขอนแก่น และนายหนุ่ยก็ไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะครอบครัวมีฐานะยากจน โดยเมื่อพ่อพิณและแม่ลองเสียชีวิต นายหนุ่ยจึงไร้ญาติขาดมิตร
ทางด้านนางบุญจันทร์ อดีตภรรยาของนายหนุ่ย ยังได้เปิดเผยต่อสื่อว่า ใช้ชีวิตคู่กับนายหนุ่ยมา 3 ปี โดยนายหนุ่ยทำงานเกี่ยวกับเครื่องเสียงตามงานวัด ออกทำงานครั้งหนึ่งประมาณ 4-5 วันถึงกลับบ้าน แรกๆ ก็ปกติ เป็นคนเงียบๆ ไม่สุงสิงกับใคร ตั้งใจทำมาหากิน ไม่เคยใช้ความรุนแรงในครอบครัว พฤติกรรมทางเพศก็ปกติ แต่มาระยะหลังมีอาการแปลกๆ ชอบมองและถึงเนื้อถึงตัวเด็กหญิง จนกระทั่งไปก่อเหตุข่มขืนเด็กในหมู่บ้าน ตนจึงขอเลิกรา และพาลูกหนีมาทำงานที่พุทธมณฑล โดยไม่คิดจะกลับไปคืนดี เพราะกลัวจะมากระทำกับลูกหลานตัวเอง ซึ่งหลังจากพ้นโทษ นายหนุ่ยกลับไปที่หมู่บ้านก็ถูกชาวบ้านพากันขับไล่อีกด้วย
ทั้งนี้จิตแพทย์ได้ระบุว่านายหนุ่ยไม่ได้ป่วยเป็นจิตเภทหรือโรคทางจิต แค่อยู่ในกลุ่มพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ มีอารมณ์ทางเพศกับเด็ก ปมส่วนหนึ่งอาจมาจากภาวะกดดันในวัยเยาว์ ที่ขาดการดูแลจากครอบครัว ซึ่งคนในสังคมต้องหันมาตระหนักเรื่องนี้กันให้มาก
ส่วนทางด้านชาวโซเชียลเน็ตเวิร์ก ก็ได้มีการแชร์ภาพข่าวและแสดงความคิดเห็นเชิงประณามต่อการกระทำของนายหนุ่ยกันเป็นจำนวนมาก
“คุณตำรวจขา ปล่อยให้โดนกระทืบเล็กๆๆ น้อยๆๆ ก่อนตายก็ดีนะคนแบบนี้ นึกถึงเด็กๆ ที่มันทำซิคะ ว่าจะทรมานขนาดไหน โดยแค่นี้ยังไม่เท่าเสี้ยวเลยคะ บอกตรงๆ”
“กี่คดีแล้วที่มันก่อ แค่คำพูดขออโหสิกรรม ขอขมา คิดว่ามันจะสำนึกกลับตัวกลับใจหรอ? เข้าออกคุกเป็นว่าเล่นขนาดนี้มันไม่สำนึกหรอก จะปล่อยให้เป็นภัยสังคมในภายภาคหน้ารึไง สมควรประหารตั้งแต่คดีแรกที่ก่อแล้ว”
“ควรตั้งคำถามกับกรรมราชทัณฑ์ ว่าทำไมถึงได้ปล่อยคนพวกนนี้ออกมาในระยะเวลาอันสั้น ถึงเวลาที่สังคมจะควรหยุดขอพระราชทานอภัยโทษให้นักโทษเหล่านี้ หรือจะปล่อยให้คนบริสุทธิ์ อีกหลายร้อยต้องอยู่ด้วยความเสียง แล้วเริ่มหาทางปกป้องตนเอง”
“กฎหมายไม่ยุติธรรมพอที่จะลงโทษคนพวกนี้ ได้รับโทษไม่สาสมความผิดเลย หลังจากติดคุกไม่กี่ปี ไอ้หนุ่ยคนนี้ ก็คงออกมาก่อคดีต่อ (จากพฤติกรรมในอดีต ที่เข้าคุกไป มันออกมาก็ฆ่าขมขื่นเด็กอีกหลายรายที่มันรับสารภาพ) คราวนี้คงมีเหยื่ออีกมากมาย เพราะผู้ต้องหาคงระวังตัวขึ้น วางแผนรอบคอบขึ้น ลูกหลานใครจะเป็น “เหยื่อ” รายต่อไป ถ้ากฎหมายศักดิ์สิทธิ์และแข็งแรงมากกว่านี้ มันควรได้รับโทษประหารชีวิตแล้วค่ะ”
“เป็นบุคคลอันตรายกับสังคมเป็นอย่างมาก กว่าจะสแกนเจอก็ทำร้ายเด็กไปหลายคนแล้ว เป็นอุทาหรณ์ให้สงคม ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ที่มีเด็กวัยกำลังโต และผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีหน้าที่ด้านดูแลสังคมเกี่ยวกับพวกนี้ และประชาชนทุกคนต้องช่วยดูแลกันและกัน จากประวัติคนนี้เริ่มมีปัญหาให้เห็นมาตลอด ติดคุกแล้วก็ปล่อยออกมาโดยที่ไม่มีใครใส่ใจเลยว่าคดีที่ติดคุกมันเป็นอันตรายกับเด็กเป็นโรคจิตที่ไม่มีใครจะนำไปรักษาเลยแต่ปล่อยออกมาเป็นอันตรายต่อสังคมเฉยเลย แล้ว กทม.ว่าไงครับ กรณีแบบนี้เคยเกิดขึ้นหลายครั้งกับป่ารกร้าง กลางกรุง เมื่อก่อนตรงนี้ป่าไม่ได้รกขนาดนี้และลวดหนามที่เอาไปล้อมไว้ก็ถูกรื้อออกตรงป้ายรถเมล์พอดีเป็นป่าให้พวกโจรเป็นอย่างดีเลย”
เรื่องที่สอง จากกรณีที่นายเอกภพ เหลือรา หรือ “ตั้ง อาชีวะ” อายุ 22 ปี ได้ขึ้นปราศรัยบนเวทีคนเสื้อแดง สนามกีฬาราชมังคลากีฬาสถาน เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2556 และมีข้อความการปราศรัยที่หมิ่นเหม่และจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง ได้มีการเผยแพร่เป็นคลิปวิดีโอกันในโลกออนไลน์ และมีผู้ที่ตามสืบหาตัวนายเอกภพ จนทราบประวัติว่า เป็นอดีตพนักงานใน บริษัท ไทยฮอนด้า แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด สาขารัชดาภิเษก จนถึงขนาดในช่วงแรกมีผู้คนจำนวนมากไปดักรอที่หน้าบริษัทไทยฮอนด้าตามเวลาที่นายเอกภพทำงาน รวมถึงการเรียกร้องให้บริษัทปลดนายเอกภาพออกจากการเป็นพนักงาน โดยที่ทางบริษัทไทยฮอนด้าได้ออกมาชี้แจงเพื่อความกระจ่างว่า นายเอกภพเป็นอดีตพนักงานสัญญาจ้างชั่วคราว และลาออกจากการเป็นพนักงานชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2556 ก่อนขึ้นเวทีปราศรัยคนเสื้อแดง ซึ่งหมายความว่าได้สิ้นสภาพจากการเป็นลูกจ้างชั่วคราวไปแล้ว ไม่ใช่พนักงานบริษัทไทยฮอนด้าแต่อย่างใด
เรื่องราวการสืบหาตัว “ตั้ง อาชีวะ” ยังไม่จบ ในกระแสโลกออนไลน์ยังมีการพูดถึงอยู่เป็นระยะๆ บ้างก็มีการปล่อยภาพว่านายเอกภพถูกรุมทำร้ายจนเสียชีวิตแล้ว แต่ก็สรุปว่าภาพที่พูดถึงไม่ใช่นายเอกภพจริง จนศาลอาญาได้มีประกาศอนุมัติหมายจับนายเอกภพในข้อหาหมิ่นประมาทดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ทั้งยังฝากประชาสัมพันธ์แก่ประชาชน ไม่ให้นำคลิปภาพดังกล่าวไปเผยแพร่หรือส่งต่อ เพราะจะเป็นการกระทำผิดเช่นเดียวกัน
ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2556 ได้มีข่าวการปาระเบิดที่หน้าบ้านเลขที่ 9/279 ซอย 29 หมู่ 2 หมู่บ้านทรัพย์เจริญ เขตหนองจอก อ้างว่าเป็นบ้านของนายเอกภพ เหลือรา โดยที่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ และก็ไม่พบนายเอกภพแต่อย่างใด
“ผมไม่เคยได้ข่าวตำรวจติดตามจับกุมพวกหมิ่นเบื้องสูงสักคนมีแค่ออกหมายจับแต่ไม่ดำเนินการณ์ใดใดเลยทีไอ้คนที่หมิ่นเบื้องสูงโดนแค่นี้วิ่งเข้าช่วยกันเป็นแถวขนาดหัวหน้าตัวใหญ่ยังลงมาเองเลยแล้วจะให้ประชาชนคิดอย่างไร”
“มีหมายจับแล้ว ตำรวจจะเข้าไปจับไหม ในเมื่อรู้แล้วว่าอยู่ภายใต้การคุ้มครองของ ส.ส.ไพโรจน์ อิสระเสรีพงษ์ พรรคเพื่อไทยที่ออกมาปกป้อง เพราะเป็นคนเสื้อแดงที่ใกล้ชิด”
“ท่านไปทำอะไรพวกคุณคะทำไมพูดถึงท่านแบบนั้นเคยใกล้ชิดท่านหรือคะถึงได้รู้ขนาดนั่นถ้าพูดให้ร้ายท่านเพราะฟังคนอื่นมาก็แสดงว่ายังไม่ฉลาดยังคิดเองไม่เป็นพวกมากลากไปคะนองปากในโลกมนุษย์ ใครพวกมากก็กลับผิดให้ถูกได้ ่แต่กฎแห่งกรรมพวกมากก็ไม่ช่วยอะไรเลยค่ะ”
“ทำไมตำรวจยังจับไม่ได้พวกหมิ่นในหลวง ทีคดีหมิ่นนายก จับได้ง่ายจัง”
“คลิปยังมีให้เห็นอยู่เลย ทำอะไรเฉยชา ช้ามากไปหมด ละเลยที่สุด น่าละอาย”
“ข้อมูลแต่ละอย่างที่พูดออกมา ขาดซึ่งหลักฐานและพยาน ไม่ต่างอะไรกับปาหี่ แถมมีดนตรีตบส่งเป็นระยะ ช่างน่าสงสารที่ไม่รู้ตัวเลยว่า เบื้องหน้ามีอะไรรออยู่ โทษของการโกหก นรกรออยู่ ตลอดชีวิตของน้องทำอะไรบ้างให้ประเทศ ในขณะที่ตลอดชีวิตของพระองค์ทำให้ประชาชนเห็นอยู่ตลอดว่าทำสิ่งต่างๆ ให้ประเทศมากมายมหาศาลแค่ไหน”
เรื่องที่สาม จากกรณีที่นายอุดม ศิริสอน อายุ 51 ปี และนางแดง ศิริสอน อายุ 48 ปี ชาวบ้านตำบลโนนสะอาด อำเภอห้วยเม็ก จังหวัดกาฬสินธุ์ สองตายายที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาบุกรุกและตัดไม้ในพื้นที่เขตป่าสงวนแห่งชาติตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม 2553 เนื่องจากทั้งคู่เข้าไปเก็บเห็ดป่าขณะเดียวกันกับที่มีกลุ่มลักลอบตัดไม้อยู่บริเวณดังกล่าว และเป็นจังหวะที่เจ้าหน้าที่เข้าไปเห็นพอดี ทำให้ทั้งสองตายายหลบหนีและถูกจับกุมในที่สุด ซึ่งผลของการดำเนินคดีทำให้สองตายายคู่นี้ถูกตัดสินจำคุก 15 ปี ข้อหาบุกรุกและลักลอบตัดไม้ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ
ทำให้ชาวโลกออนไลน์มีการพูดถึงเรื่อง ทั้งยังนำไปเปรียบเทียบกับกระบวนการตามกฎหมายของไทยในหลายๆ คดี ไม่ว่าจะเป็นกรณีของนายหนุ่ย ฆาตกรฆ่าข่มขืนเด็ก ที่ถูกจับเพียงไม่กี่ปีก็ถูกปล่อยออกมาทำพฤติกรรมเลวร้ายซ้ำอีก หรือแม้แต่กรณีของ ตั้ง อาชีวะ ซึ่งก็ยังไม่สามารถตามจับตัวได้ นอกจากนี้โลกโซเชียลยังได้รวมกันแสดงพลังเพื่อให้ปล่อยตัวสองตายายคู่นี้ โดยได้โพสต์ภาพฝ่ามือของตนเองที่พับนิ้วชี้ลง พร้อมข้อความที่เขียนลงบนฝ่ามือว่า “Free! คุณตา คุณยาย เก็บเห็ด” ซึ่งล่าสุด นายอุดม ได้ถูกปล่อยตัวออกมาจากคุกแล้ว ด้วยปัญหาทางสุขภาพ แต่ขณะที่นางแดงยังไม่ได้ออกมา (ชมคลิป)
“เอาผิดกับคนจนที่ไม่มีอะไรจะกิน แต่หากินด้วยความสุจริตไม่คดโกงใคร เค้าอาจทำผิดเพราะความยากจน ไม่มีจะกิน กับเรื่องแค่นี้ จับได้ ติดคุก 15 ปีอีกต่างหาก แล้วกับคนโกงชาติบ้านเมืองไปเท่าไหร่ ขนาดรวยมีเงินจ้างพวกมาเป็นบ่อนทำลายประเทศ แต่ไม่มีใครจับ น่าเบื่อเหลือเกินกับเรื่องแบบนี้”
“ดูแล้วร้องไห้ไม่หยุดเลย ตายายน่าสงสารมาก คนจับเขาคิดได้ยังไง ไม่มีวิจารณญาณเลย”
“ทำไปได้นะ ตายายเขาแก่แล้วแทนที่จะพิจารณาปล่อย แต่กลับถูกจับเขาคุกอีกตั้ง 15 ปี เวอร์รึป่าว น่าสงสารมาก ไม่มีความยุติธรรมเลย”
“อยากมีผลงานจนลืมคุณธรรม เมตตาธรรม กับความเป็นจริงกับสิ่งที่เป็น คนอื่นที่มองเห็นที่ไม่ใช่ประเทศเรา เค้าจะคิดยังไง ใครจะมาเที่ยวประเทศไทยเรา เอาเข้าจริงความเป็นคนมีค่าน้อยเหลือเกิน ต่อให้คนทำผิดแค่ไหนถ้ามีเงินก็พ้นผิด กฏหมายมีใช้กับคนรวยไม่ได้ เราเชื่อเเล้ว เราก็คนไทยเห็นแบบนี้ เราก็อายแทนจริงๆ จากใจ (กฏหมาย ตัดสินได้ ถ้าใช้คนตัดสิน)”
“ตาสีตาสาต่างจังหวัดไม่มีความรู้ครับ ต้องเข้าใจประเด็นตรงนี้ครับ เค้ากลัวข้าราชการ ตำรวจ ผู้มีอำนาจมาก คนพวกนี้พูดอะไรออกมาเค้าจะฟังและพยายามทำตาม เพราะเค้าไม่มีความรู้ และไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร แล้วตำรวจไทยก็รู้ๆ กันอยู่ครับว่าเป็นยังไง ขออย่าให้อธิบายเลย ข้าราชการฝ่ายปกครองเค้าทำงานแค่จบๆ ไป มันเป็นแบบนั้นจริงๆ ครับ”
“ถามหน่อยค่ะ เก็บเห็ดนี่มันรุนแรงมากเลยเหรอคะ ถึงจะเป็นป่าสงวนก็เหอะ ศาลน่าจะดูที่เจตนา คนแก่เค้าเข้าไปเก็บเห็ดเพื่อขายเอามาเลี้ยงปากท้อง ไม่ได้เข้าไปตัดไม้ทำลายป่า หรือไปสร้างรีสอร์ทหรูนะคะ แปลกเน๊าะ ทีเข้าไปทำรีสอร์ทเอย เข้าไปตัดไม่เอย ขายยาเสพติดเอย ไม่เห็นจะติดคุกนานขนาดนี้ เป็นคนที่ไม่รู้กฎหมายมากนะคะ แต่ตามสถานการณ์แล้วถามหน่อยว่า คนตัดสินคิดไม่ออกหรือคะว่าควรทำอย่างไร เจตนากับความตั้งใจมองเห็นกันบ้างไม๊คะ หรือว่าคุกมีไว้ขังแบบที่ คนเดียวเฟี๊ยวกว่าเยอะพูดจริง ๆ เห็นแล้วเพลียใจ”
เรื่องที่สี่ ตั๊น จิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์และทายาทเบียร์สิงห์ สาวสวยที่เป็นประเด็นข่าวจากการประกาศตัวเป็นแกนนำทางด้านการเมืองอย่างชัดเจน จนเป็นที่จับตามองและให้ความสนใจของใครหลายๆ คน โดยที่ตั๊น มักจะไปร่วมการชุมนุมและขึ้นเวทีปราศรัยอยู่เสมอ จนทำให้ล่าสุดเกิดเหตุการณ์ปาระเบิดเข้าไปที่บ้านของตั๊น จนทำให้รถตู้โฟล์คสีขาวที่จอดอยู่ในบ้านได้รับความเสียหาย แต่โชคดีที่ไม่มีผู้ใดภายในบ้านได้รับบาดเจ็บ
นอกจากนี้ยังเกิดเป็นประเด็นตามมาอีก เมื่อบอสใหญ่แห่งเบียร์สิงห์ นายสันติ ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ ได้ส่งจดหมายโดยใช้หัว บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด เจ้าของเครื่องดื่มตราสิงห์ ลงวันที่ 18 ธันวาคม 2556 ถึง นายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ผู้เป็นบิดาของตั๊น โดยเนื้อหาขอจดหมายมีดังต่อไปนี้ (อ่านสาแหรก สันติ-จิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี”)
“ ถึง นายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี
จากการที่ได้พูดคุยกันหลายครั้งและได้เสนอข้อแนะนำต่างๆ ให้กับจุตินันท์ เกี่ยวกับบทบาททางการเมืองของจิตภัสร์ ที่จะส่งผลต่อองค์กรและตระกูลภิรมย์ภักดีทั้งในปัจจุบันและอนาคตแต่ไม่ได้รับการตอบสนองใดๆ กระทั่งองค์กรและตระกูลถูกนำเข้าไปเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ไม่ว่าผลจากสถานการณ์ทางการเมืองครั้งนี้จะออกมาอย่างไร และส่งผลกระทบต่อองค์กรและตระกูลมากน้อยแค่ไหน ในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น และขอแจ้งถึงจุตินันท์ด้วยหนังสือฉบับนี้ ให้รับทราบว่าที่ผ่านมาได้เคยเตือนและให้คำแนะนำกับจุตินันท์แล้ว
สันติ ภิรมย์ภักดี
กรรมการผู้จัดการใหญ่”
เรื่องนี้ได้รับความสนใจและพูดถึงกันมาก โดยเหตุผลที่นายสันติ บอสใหญ่สิงห์ ออกจดหมายฉบับนี้ ก็เพื่อวัตถุประสงค์ต้องการปกป้องธุรกิจของตนเอง และชี้แจงให้คนทั่วไปเข้าใจว่าการเคลื่อนไหวทางการเมืองของ ตั๊น จิตภัสร์ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ แต่อย่างใด เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา ตั้งแต่ตั๊นเข้าไปเคลื่อนไหวร่วมกับ กปปส. ทำให้ภาพลักษณ์และสินค้าของบริษัทได้รับผลกระทบ
ทางด้านชาวออนไลน์ ก็ได้มีการวิเคราะห์ หาถึงสาเหตุในครั้งนี้ร่วมด้วย โดยมีการหยิบภาพจากอินสตาแกรมของ เต้ นายภูริต ภิรมย์ภักดี บุตรชายคนโตของนายสันติ ที่ใช้ชื่อว่า @tae_bhurit ถ่ายภาพหมู่ร่วมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และบุตรสาว เอม พินทองทา คุณากรวงศ์ พร้อมกับนายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ สามีนางพินทองทา ที่ถ่ายเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2556 เหมือนเป็นการย้ำความสัมพันธ์อันสนิทของทั้งสองตระกูล
“ตั๊น สวยและไม่ต้องอ่านโพยเหมือนใครบางคน”
“แต่เราว่าน้องเค้ามีสิทธิ์ใช้นามสกุลนี้เต็มภาคภูมินะ และเค้าก็มีสิทธิ์เลือกจะเป็นพลเมืองดี
คุณไม่มีสิทธ์อะไรจะไปเตือนไม่ให้เค้าทำความดี”
“ให้กำลังใจน้องตั๊น น้องทำดีที่สุดเพื่อแผ่นดินเกิดแล้วครับ อย่าหวั่นไหวกับสิ่งใดๆ เพราะน้องรักชาติ”
“ลักษณะของสิงห์คือ ให้ทุกคนในตระกูลได้มีส่วนร่วมในการบริหาร แต่อำนาจใหญ่จะไปตกกับกรรมการผู้จัดการใหญ่ ซึ่งก็คือคุณสันติ พ่อของ เต้และต๊อดนั้นเอง หลายคนเห็นนามสกุลอาจมีการเข้าใจผิดว่า สิงห์ หนุนม็อบ ซึ่งน่าจะแยกเป็นบุคคล จะดีกว่า และตามความเข้าใจของผม สายคุณสันติ กรรมการผู้จัดการใหญค่อนข้างมีสัมพันธ์อันดีกับคุณทักษิณมากๆ ด้วย”
“วันนี้ได้พิสูจน์แล้ว ว่าประเทศชาติสำคัญที่สุด และไม่มีคำว่า ทำไม่ได้ ถ้าเรามีจิตและเจตนาที่ดีต่อประเทศชาติบ้านเมือง ยังมีเวลานะที่จะร่วมขบวนปฏิรูปชาติบ้านเมือง ไถ่บาปจากธุรกิจของตระกูลคุณบ้างเถอะ หรือน้ำเมาที่เป็นธุรกิจจะมอมเมาชีวิตคุณและตระกูลของคุณไปแล้ว จนไม่รู้ว่า การรักประเทศชาติเป็นอย่างไร ถ้าคุณเปิดใจกว้างคุณจะรู้ว่าหลานคุณ คุณตั๊น กำลังทำอยู่ เป็นแบบอย่างที่คุณและคนในตระกูลคุณควรทำมาตั้งนาน”
“น้องตั้น ได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ผู้ใหญ่หลายๆคนจะทำได้ ผมขอสนับสนุน เเละ ให้กำลังใจ เพื่อสู้ในสิ่งที่ถูกต้องต่อไปครับ เเละขอขอบคุณคุณพ่อของน้องตั้น ที่ได้เลี้ยงลูกมาได้ดีเเละให้เธอมีความสามารถเยี่ยมยอดมาถึงเพียงนี้”
เรื่องที่ห้า เป็นเรื่องที่ชาวเน็ตพูดถึงกันมาก กับการที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนในคดีพิเศษ ได้ออกหมายเรียกแกนนำและนักวิชาการ ที่ขึ้นเวทีราชดำเนินในข้อหาปราศรัยปลุกระดมและมั่วสุมเกิน 10 คนขึ้นไป พร้อมกับแจ้งธนาคารให้ตรวจสอบบัญชีและทำหนังสือถึงสถาบันการเงินทุกแห่งให้อายัดบัญชีของผู้ที่ออกหมายเรียก เพิ่มขึ้นอีกจำนวน 20 คน พร้อมทั้งให้ออกมารายงานตัวในวันที่ 2 และ3 มกราคม 2557 โดยมีรายชื่อ
1. นางสาวจิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี 2. นายสาธิต ปิตุเตชะ 3. นายสกลธี ภัททิยกุล 4. นายทศพล เพ็งส้ม 5. ดร. สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ 6. นายแก้วสรร อติโพธิ 7. ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง 8. ดร. เสรี วงษ์มณฑา 9. นายรัชต์ยุตม์ ศิรโยธินภักดี หรือนายอมร อมรรัตนานนท์ 10. ดร. กิตติศักดิ์ ปรกติ 11. นายถนอม อ่อนเกตุพล 12. นายชาญวิทย์ วิภูศิริ 13. นายพิชิต ไชยมงคล 14. นายไพบูลย์ นิติตะวัน 15. พลเอกปฐมพงษ์ เกสรสุข16. นายสุริยะใส กตะสิลา 17. นายพิภพ ธงไชย 18. นายบุญยอด สุขถิ่นไทย19. นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ 20. นายพิจารณ์ สุขภารังสี
หลังจากที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ได้มีการประกาศหมายจับดังกล่าว จึงเกิดเป็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมาก จนเมื่อวันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม 2556 ที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ พร้อมผู้ชุมนุมได้มีการเดินขบวนรณรงค์ให้ประชาชนอกมาร่วมแสดงพลังขับไล่นายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในวันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม 2556 จึงมีผู้ออกมาร่วมบริจาคเงินสมทบทุนให้กับแกนนำและผู้ชุมนุมเป็นจำนวนมาก คล้ายเป็นการแสดงพลังให้นายธาริตเห็นว่า แม้จะออกมาประกาศอายัดเงินแกนนำ ก็ไม่เป็นผลต่อการชุมนุม จนนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้มีการนำเอาไปพูดบนเวทีปราศรัยว่า “มีประชาชนจากทุกสาขาวิชาชีพเอาข้าวเอาน้ำมาเลี้ยงจำนวนมาก และประกาศว่าจะมาร่วมชุมนุมในวันที่ 22 ธันวาคม มีคนยืนข้างทางส่งเสียงเชียร์ให้ขับไล่ยิ่งลักษณ์ให้สำเร็จ โดยวันนี้ได้เงินบริจาค 543,830 บาท มีพี่น้องชุมชนอโศก บริจาคผ่านทางคุณสมเกียรติ หอมละออ ที่ไปตั้งรับบริจาคค่าข้าวได้ทั้งหมด 348,510 บาท นอกจากนั้นยื่นให้ผมกับมือได้อีกกว่า 1 แสนบาท”
“มวลมหาประชาชนขอทำหนังสือยื่นต่อศาล ขออายัดบัญชีนายธาริต เพ็งดิสบ้างได้ป่ะ ถ้าได้เกินหมื่นคนก็ใช้สิทธิ์ความเป็นประชาชนนี่แหละไม่ไว้วางใจธาริต ให้ศาลสั่งอายัด จะได้เข็ด รับรองได้เป็นล้านชื่อเลย ทำโต๊ะ ยื่นถอดถอนยิ่งลักษณ์ โต๊ะถอดถอนธาริตและอายัดบัญชี โต๊ะถอดถอนเสด็จพี่ นกแสก คางคก แยกเป็นโต๊ะไว้ ให้เดินเซ็นต์ชื่อกัน รับรองว่ามีคนเซ็นต์กันเพียบ”
“DSIจะเอาอะไรหนักหนา ทำแบบนี้แล้วคิดว่าจะดีเลอ ประชาชนเขารู้นะว่าคิดแบบไหน ทำแบบนี้ยุบ DSI ไปเลย”
“ไม่มีกฎหมายไหนเขียนบัญญัติไว้ ได้ข่าวล่าสุดส่งฟ้องศาลรัฐธรรมนูญเค้าก็ไม่รับฟ้องนี่ เพราะไม่ได้ผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ แล้วนี่มาสั่งแบบนี้ถามหน่อยใช้มาตราไหนครับ? ขนาดศาลรัฐธรรมนูญยังบอกไม่ผิด องค์กร DSI นี่ใหญ่กว่าศาลรัฐธรรมนูญอีกเหรอ? ถ้าโดนฟ้องกลับแย่แน่ๆ”
“คดีเณรคำเงียบไปแล้วครับ โกงชาวบ้านแน่ๆ เป็นร้อยล้านไม่ตาม มาตามคนที่เค้าไม่ไปใหนต่อสู้กับระบบทักษิณ คอรับชั่น ที่โกงแน่ๆ ไม่ตามครับพี่ธาริต สุดยอดมากครับ”
“เท่าที่เห็นความเหิมเกริม และการใช้อำนาจของธาริตนี้เป็นอาการของโรคบ้าอำนาจ ใช้อำนาจในทางผิดกฏหมาย คนแบบนี้ ไม่ควรให้หลงเหลืออยู่ในประเทศไทย “อย่าปล่อยให้คนชั่วมีอำนาจ บ้านเมืองก็จะอยู่อย่างสงบ”
“เคยคิดว่า DSI เป็นองกรณ์ที่เท่ ๆ แบบ FBI CIA ของอเมริกา แต่รู้ตัวไม่นานว่าคิดผิด หน่วยงานนี้ก็ไม่ต่างจากลูกจ้างรัฐบาลรับทำคดีทางการเมืองรับใช้นักการเมือง น่าเศร้า นึกว่าตั้งหน่วยงานนี้ดูแลคดีพิเศษแบบน้องการ์ตูน , คนที่ยิงเด็กราม , พวกบ้านคนรวยมีฐานะที่ขับรถชนคนตาย หรือสืบสวนหาตัวพวกโจรใต้ แต่ไม่เลย คิดผิดอย่างแรง”