ThaiPublica > เกาะกระแส > จดหมายเปิดผนึกเครือข่ายสภาองค์กรชุมชนลุ่มน้ำโขง 7 จังหวัดภาคอีสานถึงนายกฯ กรณีเขื่อนกั้นน้ำโขง “ดอนสะโฮง”

จดหมายเปิดผนึกเครือข่ายสภาองค์กรชุมชนลุ่มน้ำโขง 7 จังหวัดภาคอีสานถึงนายกฯ กรณีเขื่อนกั้นน้ำโขง “ดอนสะโฮง”

19 ตุลาคม 2013


แม่น้ำโขง ที่มาภาพ : http://www.oknation.net
แม่น้ำโขง ที่มาภาพ : http://www.oknation.net

วันที่ 19 ตุลาคม 2556 เครือข่ายสภาองค์กรชุมชนลุ่มน้ำโขง 7 จังหวัดภาคอีสาน (คสข.) ได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึงนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่านับตั้งแต่การก่อสร้างเขื่อนไซยะบุรี บนแม่น้ำโขงสายหลักในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) อันมีประเทศไทยเป็นผู้เกี่ยวข้องโดยตรงในฐานะผู้สร้างและผู้ซื้อไฟฟ้า ประชาชนไทยชาวลุ่มน้ำโขง ได้เพียรพยายามร้องขอให้นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นำประเทศ ได้ทบทวนการตัดสินใจเร่งสร้างเขื่อนขนาดใหญ่และการเจรจาทวิภาคีที่ประชาชนไม่รับรู้แต่เป็นผู้ได้รับผลกระทบ และเรียกร้องแนวทางแก้ไขปัญหาผลกระทบข้ามพรมแดนที่จะทำให้วิถีชีวิตคนลุ่มน้ำโขงในระดับภูมิภาคกว่า 60 ล้านคนที่ได้พึ่งพิงสายน้ำแห่งนี้ล่มจมลง แต่ดูเหมือนว่า เครือข่ายภาคประชาชนลุ่มน้ำโขงไม่ได้รับการตอบรับใดๆ จากท่านในฐานะผู้นำประเทศซึ่งเป็นประชาธิปไตย โดยปล่อยให้ประชาชนของ ฯพณฯ เผชิญชะตากรรมและโดดเดี่ยวในการแก้ไขปัญหามาโดยตลอด

จากการเก็บรวบรวมข้อมูลผลกระทบข้ามพรมแดนที่พวกเราได้รับแล้ว จากการสร้างเขื่อนกั้นน้ำโขงในประเทศจีน ซึ่งอยู่ห่างพวกเรากว่า 1,500 กิโลเมตร ดังมีรายละเอียดในรายงานการวิจัยที่แนบมายัง ฯพณฯ ในวันนี้ นับเป็นปีที่สองที่เราได้พยายามมอบข้อมูลเหล่านี้ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และพยายามนำเสนอข้อกังวลของพวกเราอย่างตรงไปตรงมา ในทุกช่องทางที่เราทำได้

ในโอกาสที่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีของ สปป.ลาว มาเยี่ยมเยียนแลกเปลี่ยนกันในวันนี้ พวกเราขอเรียกร้องให้ท่านตระหนักว่า ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระดับภูมิภาค มีโอกาสจะเป็นไปในแง่ลบและการสร้างความเสียหายต่อกันที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น หากปัญหาเรื่องเขื่อนขนาดใหญ่ไม่ได้รับการแก้ไข และหากการแสดงความเห็นต่อปัญหานี้ยังถูกปิดกั้น รวมถึงการปิดกั้นการแสดงออกของประชาชน ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ประชาชนพึงมี เราขอเรียกร้องให้ ฯพณฯ ในฐานะผู้นำประเทศ ได้เร่งทำความเข้าใจและดำเนินการแก้ไขปัญหาในเรื่องเขื่อนขนาดใหญ่กั้นลำน้ำโขง โดยขอเรียกร้องให้ดำเนินการใดๆ เพื่อยุติการก่อสร้างเขื่อนไซยะบุรีที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ และทำการศึกษาผลกระทบร่วมกันโดยทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง โดยเรา ภาคประชาชนไทย พร้อมที่จะเปิดเวทีสาธารณะร่วมกับ ฯพณฯ และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้เงื่อนไขที่พวกเราได้มีโอกาสแสดงออกและมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง

ประเด็นข้อเสนอการสร้างเขื่อนดอนสะโฮง เขื่อนกั้นน้ำโขงแห่งที่สองใน สปป. ลาว

จากการที่ สปป.ลาวประกาศเกี่ยวกับความตั้งใจที่จะสร้างเขื่อนดอนสะโฮงใกล้ชายแดนลาว/กัมพูชาในพื้นที่ “สีพันดอน” อันเป็น “พื้นที่เอกลักษณ์ทางด้านนิเวศวิทยาซึ่งเป็นพิภพขนาดเล็กที่มีความสำคัญต่อแม่น้ำโขงตอนล่างทั้งหมด” ตามที่กองเลขาธิการแม่น้ำโขงให้คำนิยามไว้ตั้งแต่ปี 2537 รวมทั้งได้กล่าวด้วยว่า “พื้นที่ดังกล่าวเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ยากในธรรมชาติและจักต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่ออนุรักษ์พื้นที่ทั้งหมดจากการพัฒนาทั้งหลาย” นั้น อีกครั้งหนึ่ง สปป.ลาวกำลังละเมิดการปฏิบัติตามข้อตกลงแม่น้ำโขงปี พ.ศ. 2538 ในการตระหนักถึงความสำคัญของการปรึกษาหารืออย่างถี่ถ้วนในโครงการใดๆ ที่ประสงค์จะสร้างบนแม่น้ำโขงสายหลัก

เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยทำการแทรกแซงเพื่อระงับเขื่อนดอนสะโฮงนี้โดยเร่งด่วนที่สุด เนื่องจากหาก สปป. ลาวยังคงดำเนินการตามแผนที่จะสร้างเขื่อนดอนสะโฮงในเดือนหน้า(พฤศจิกายน)ตามที่ประกาศไว้ พื้นที่ “สีพันดอน” และลุ่มแม่น้ำโขงจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่สามารถย้อนกลับคืนมาได้ เขื่อนจะสร้างพนังกั้นลำน้ำตรงช่อง “ฮูสะโฮง” บริเวณซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านประมงมองว่าเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในการสร้างเขื่อน เนื่องจากเป็นจุดที่มีความหนาแน่นสูงสุดของการอพยพย้ายถิ่นของปลาในแม่น้ำโขงซึ่งเป็นแหล่งประมงน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุดของโลก นั่นหมายถึงว่า เขื่อนดอนสะโฮงจะส่งผลกระทบเชิงลบอย่างรุนแรงต่อการประมง วิถีชีวิต วัฒนธรรม น้ำ และความมั่นคงทางอาหาร รวมถึงโภชนาการของประชากรหลายแสนหรือหลายล้านคนในลาวและประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา ไทย และเวียดนาม

หากมีการสร้างเขื่อนดังกล่าว ความพยายามในการพัฒนาภูมิภาคแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืนก็จะถูกทำลายเพราะเขื่อนดอนสะโฮงไม่สอดคล้องกับการทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป้าหมายข้อที่ 1 เพื่อกำจัดความหิวโหยและความยากจน และเป้าหมายข้อที่ 7 เพื่อประกันความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม ภัยคุกคามต่อความมั่นคงของภูมิภาคจะถูกขยายกลายเป็นความตึงเครียดซึ่งเกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน

ไม่มีเทคโนโลยีใดที่พิสูจน์ได้ว่า ผลกระทบจากเขื่อนดอนสะโฮงต่อการประมงในแม่น้ำโขงจะสามารถบรรเทาลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นที่ชัดเจนว่าทางเดียวที่จะช่วยไม่ให้เกิดผลกระทบเหล่านี้ก็คือการปล่อยให้แม่น้ำไหลอย่างอิสระ

ด้วยเหตุนี้ เครือข่ายสภาองค์กรชุมชนลุ่มน้ำโขง 7 จังหวัดภาคอีสาน (คสข.) จึงเรียกร้องให้ ฯพณฯ เข้าแทรกแซงโดยด่วนที่สุด โดยการเรียกร้องให้ยกเลิกเขื่อนดอนสะโฮงเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมของประชาชนทั่วทั้งลุ่มแม่น้ำโขง

กระบวนการขั้นตอนก่อนที่เขื่อนไซยะบุรีจะเริ่มต้นทำการสร้าง เป็นไปโดยที่ประชาชนไทยริมแม่น้ำโขงไม่ได้รับรู้และไม่เห็นด้วย กระบวนการปรึกษาหารือในประเทศไทยของกรมทรัพยากรน้ำ ในฐานะคณะกรรมการแม่น้ำโขงระดับชาติของไทย ไม่ได้รับการยอมรับ ทั้งในเรื่องของความโปร่งใส และประสิทธิผลในการรับฟังความเห็นของประชาชน จากความล้มเหลวและความเสียหายที่เกิดขึ้นจากเขื่อนไซยะบุรี หาก สปป.ลาวยังคงเร่งดำเนินแผนการในการสร้างเขื่อนดอนสะโฮง ก็จะเป็นการซ้ำรอยการสร้างความเสียหายที่ไม่สามารถยอมรับได้

การที่ทาง สปป.ลาวเลือกการ “แจ้งให้ทราบล่วงหน้า” แทนการ “ปรึกษาหารือล่วงหน้า” กับประเทศอื่นๆ ในแม่น้ำโขงในเรื่องเขื่อนดอนสะโฮง แสดงการละเมิดหลักการที่เป็นหัวใจของการอยู่ร่วมกันของแต่ละประเทศ อีกทั้งยังอนุญาตอย่างโจ่งแจ้งให้บริษัทเอกชนเข้าดำเนินการสร้างความเสียหายให้กับประชาชนหลายล้านคนซึ่งพึ่งพาแม่น้ำโขง โดยไม่สนใจปัญหาการร่วมมือข้ามพรมแดนระหว่างกันในอนาคต หรือผลกระทบต่อการไหลของน้ำและปัญหาข้ามพรมแดนอื่นๆ ทั้งนี้ กระบวนการภายใต้การร่วมมือกันในฐานะสมาชิกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงยังคงล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในการเจรจาถึงปัญหานี้

เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทย เรียกร้องให้สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เคารพสิ่งที่เป็นจิตสำนึกหลักของข้อตกลงแม่น้ำโขงปี พ.ศ. 2538 ในเรื่องการใช้แม่น้ำโขงร่วมกันอย่างยุติธรรมและยั่งยืน กระบวนการขั้นตอน การพิจารณาทั้งหลายที่เกี่ยวกับเขื่อนดอนสะโฮงและเขื่อนอื่นๆ บนแม่น้ำโขงสายหลักจะต้องระงับไว้ก่อน และอย่างทันที จนกว่าจะมีเวทีเพื่อทบทวน ชี้แจง และแก้ไขปัญหา เพื่อทำให้การตัดสินใจในระดับภูมิภาคในเรื่องการจัดการแม่น้ำโขงเป็นไปอย่างเข้มแข็งและอยู่บนพื้นฐานของกระบวนการความโปร่งใส ความมีส่วนร่วม และการปรึกษาหารืออย่างแท้จริงของกลุ่มต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคประชาชน การศึกษาข้ามพรมแดนรวมทั้งการศึกษาซึ่งได้รับการยอมรับแล้วจากกรรมาธิการแม่น้ำโขงเอง และการประเมินผลกระทบข้ามพรมแดนที่กำลังมีการทำอยู่โดยฝ่ายต่างๆ รวมทั้งของภาคประชาชน ของโครงการทั้งหมดบนแม่น้ำโขงสายหลักต้องถูกนำมาใช้ข้อมูลในการเจรจากันอย่างแท้จริง

ถึงเวลาแล้ว ที่ความร่วมมือระดับภูมิภาคเกี่ยวกับแม่น้ำโขงจะต้องมีประชาชนมีส่วนร่วม ประชาชนลุ่มแม่น้ำโขงผู้ซึ่งพึ่งพาแม่น้ำ จะต้องมีสิทธิอย่างเท่าเทียมกัน และสามารถมีส่วนร่วมในการตัดสินใจซึ่งจะส่งผลต่อชุมชน ประเทศ และภูมิภาคของตน พวกเรามีความเชื่ออย่างชัดเจนว่า การปล่อยให้แม่น้ำไหลอย่างอิสระคือความยั่งยืนที่แท้จริง และเป็นผลประโยชน์สูงสุดของประชาชนทั้งลุ่มน้ำและทั้งโลก

ไม่มีแม่น้ำสายไหนในโลกนี้เหมาะสำหรับสร้างเขื่อนอีกต่อไป และสิทธิในการปกป้องทรัพยากรและแม่น้ำเป็นสิทธิพื้นฐานของคนท้องถิ่นที่ต้องได้รับการยอมรับ รวมทั้งเปิดโอกาสให้พวกเราได้ทำงานเพื่อปกป้องแม่น้ำโขงอันยิ่งใหญ่ และหาทางเลือกในการผลิตไฟฟ้าและการจัดการทรัพยากรน้ำที่ยั่งยืนอย่างแท้จริงร่วมกัน