ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ – “คลิปไตรภาค “อำนาจอยู่เหนือสิ่งใด” จบด้วยขอโทษ” และ “ความเข้าใจคลาดเคลื่อนแม่คลอดเองที่บ้านจนเด็กเสียชีวิต”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ – “คลิปไตรภาค “อำนาจอยู่เหนือสิ่งใด” จบด้วยขอโทษ” และ “ความเข้าใจคลาดเคลื่อนแม่คลอดเองที่บ้านจนเด็กเสียชีวิต”

19 ตุลาคม 2013


คลิป ไตรภาค “อำนาจอยู่เหนือสิ่งใด” จบลงด้วยการขอโทษ

โซเชียลแชร์ เหตุสลดความเข้าใจคลาดเคลื่อน โรงพยาบาลไม่ทำคลอด แม่เด็กไปคลอดเองที่บ้านจนเด็กเสียชีวิต

ลือ สพฐ. ยกเลิกวิชานาฏศิลป์ไทย

ตำรวจตามทวิตเตอร์-อินสตาแกรม ริฮานนา จับเซ็กส์โชว์ที่ภูเก็ต

ชาวเน็ตร่วมไว้อาลัย เครื่องบิน ‘ลาวแอร์ไลน์’ ตก คาดเสียชีวิตทั้งลำ
อ่านรายละเอียด ………….

ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากสุดในโซเชียลมีเดียในรอบสัปดาห์ 13-19 ต.ค. 2556

เรื่องแรก มีคลิปวิดีโอดังที่แชร์ต่อกันมากในโลกโซเชียลมีเดีย ที่มีชื่อว่า “อำนาจอยู่เหนือสิ่งใด” โพสต์โดยผู้ใช้เว็บไซต์ยูทูบที่ใช้ชื่อว่า Neung Soda ซึ่งใต้คลิปวิดีโอมีการระบุข้อความว่า “โดนคนขับรถบีบแตรไล่ แล้วผมชี้หน้า เขาเล่นยกตำรวจมาทั้งโรงพักเลย ยังล้วงมือเข้ามาจะเอากุญแจอีก ทำอย่างนี้ได้ด้วย ลักทรัพย์ซึ่งหน้าครับ พอบอกไปเขานิ่ง เสียดายถ่ายวิดีโอตอนนั้นไม่ทัน มีแต่รูปนิ่ง ดูคนมียศใหญ่โตทำอย่างนี้ เด็กๆ อย่าเอาเป็นแบบอย่างนะครับ เดี๋ยวนี้อำนาจใหญ่คับฟ้าจริงๆ เหนื่อยกับคนที่เรียกว่า “ที่พึ่งของประชาชน”

ส่งผลให้คลิปนี้ มีผู้แชร์ต่อและพูดถึงอย่างมาก เพราะหากฟังข้อมูลจากทางคลิป มองว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังใช้อำนาจในการรังแกประชาชน อีกทั้งภาพที่มีการโยนของใส่ในรถ ก็คล้ายกับกำลังพยายามยัดข้อหาให้ด้วย โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจนายดังกล่าว ได้มีการอธิบายถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า พยายามบีบแตรไม่ให้รถคู่กรณีปาดมาชน ทั้งยังบอกว่าถูกคู่กรณีชูนิ้วกลางใส่ จึงเรียกให้จอดรถและโทรเรียกลูกน้องมาควบคุมตัวไปโรงพัก

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ปล่อยคลิปออกมาให้เป็นที่พูดถึงในโซเชียลอยู่นาน หนุ่มคนดังกล่าวก็ได้โพสต์คลิปวิดีโออีกหนึ่งชุด โดยใช้ชื่อว่า “ออกขอโทษ คลิปอำนาจอยู่เหนือสิ่งใด” พร้อมระบุข้อความว่า “สวัสดีครับ ผมเป็นเจ้าของคลิป อำนาจอยู่เหนือสิ่งใด ทีตอนนี้กำลังแพร่ไปทั่วในโลกออนไลน์ วันนี้ผมจะออกมาชี้แจง แล้วก็ขอโทษเรื่องที่เกิดขึ้น โดยเหตุการณ์ในวันนั้น มันเป็นเรื่องของคนสองคน ที่ขับรถแล้วมีการกระทบกระทั่งกัน ต่างคนต่างรีบ ผมก็รีบท่านก็รีบ มันเป็นความใจร้อนของผมเอง ที่ท่านบีบแตรให้ผม แล้วผมก็ยกมือชี้หน้าท่าน มันไม่น่าเกิดขึ้นครับ ผมต้องขอโทษในกรณีนี้ด้วยกันนะครับ ที่ผมทำคลิปนี้คือมาเพื่อที่ผมจะขอโทษท่านในกรณีที่ผมทำกิริยาที่ไม่เหมาะสมกับท่าน ผมก็ขอโทษท่านด้วยละกัน ขอโทษครับ”

นอกจากนี้ยังมีอีก 1 คลิป ที่ถือได้ว่าเป็นภาคสุดท้าย และเป็นตอนจบของเรื่องราวดังกล่าว กับคลิปที่มีภาพแสดงให้เห็นหนุ่มคู่กรณีและนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ เข้าพบพนักงานสอบสวนที่สถานีตำรวจ เพื่อทำการขอโทษและพูดคุยในกรณีที่เกิดขึ้น ทำให้กรณีดังกล่าวจบลงด้วยดี หนุ่มคนขับรถซึ่งเป็นผู้โพสต์คลิป ก็ยกมือไหว้ขอโทษนายตำรวจยศผู้กำกับการฯ ทั้งยังยอมรับว่า วันที่เกิดเหตุเป็นเพราะความใจร้อน ต้องรีบขับรถไปทำงาน แต่เมื่อถูกบีบแตรไล่ก็เกิดอารมณ์โมโห ยกมือชูนิ้วกลางให้ พร้อมกับแสดงกิริยาที่ไม่เหมาะสม ซึ่งก็เกิดจากอารมณ์โมโหชั่ววูบเท่านั้น

ที่มาภาพ : http://www.idomodern.comnews75948
ที่มาภาพ: http://www.idomodern.comnews75948

สำหรับทางด้านนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่มียศผู้กำกับการฯ ก็ยินดียกโทษให้ พร้อมกล่าวขอโทษคู่กรณีที่บีบแตรไล่ ส่วนภาพที่เห็นว่าโยนของบางอย่างใส่ลงไปในรถนั้นคือพวงกุญแจรถของหนุ่มคู่กรณี ที่ได้มีการยื้อแย่งกันก่อนหน้านี้ และจะโยนใส่รถเพื่อคืนให้ โดยพนักงานสอบสวนสรุปได้ว่า กรณีดังกล่าวเป็นการทำความผิดซึ่งหน้า ถือว่าดูหมิ่นผู้อื่นและเจ้าพนักงาน แต่สามารถเจรจาตกลงกันได้ จึงทำให้เรื่องนี้จบลงในชั้นสอบสวนด้วยดี(ชมคลิป)

“ได้ดูทุกคลิปแล้ว ถ้าเจ้าของคลิป พูดจาสุภาพเหมือนคลิปที่ 2 ก็คงไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ฉะนั้นอย่าให้คำพูดเป็นนายเรานะคะ”

“เขาบีบแตร เพราะกลัวอุบัติเหตุแล้วไป ชี้หน้าเขาทำไม แตรเขามีไว้ให้บีบป้องกันอุบัติเหตุนะ”

“หงุดหงิด เพราะอารมณ์เสีย ใช้อารมณ์เป็นใหญ่ แล้วมาขอโทษที่หลัง ปล่อยผู้ที่ถูกกล่าวหา เขากลายเป็นคนไม่ได้ ในสายตาคนอื่นตั้งนาน”

“ก่อนจะว่าใครดูคลิปให้จบหาข้อมูลดีๆ นะคะ บางทีคนขับก็กวนใช่ย่อย จะให้ว่าตำรวจก็ต้องดูเป็นกรณีไปคะ แต่กรณีในคลิปนี้ขอว่าคนขับรถคะ ชื่นชมคุณตำรวจพูดจาดีคะ”

“ผู้กำกับเขาก็พูดดีนะครับ แต่คนขับรถแสดงกริยาไม่เหมาะสม ทำเป็นเก่ง เอาไปโรงพัก สอบประวัติ ลงบัญชีดำก็ดีแล้ว”

“ถ้ายอมๆ กันคุยกันดีๆ ปัญหาก็ไม่เกิด ไม่เสียเวลา ปรับก็ปรับไป (ถ้าผิดจริง) เดี๋ยวก็ไปจ่าย สน.เอง”

เรื่องที่สอง เป็นอีกเหตุการณ์สุดสลด เมื่อตามหน้าเฟซบุ๊กต่างมีการพูดถึงกรณีที่คุณแม่เจ็บท้องหนักจะคลอด แต่ไม่ได้คลอดที่โรงพยาบาล โดยมีการรายงานว่าถูกปฏิเสธการทำคลอด เนื่องจากการใช้สิทธิประกันสังคมหมดอายุ ต้องมีเงินมาจ่ายค่าทำคลอดประมาณ 18,000 บาท ทำให้ต้องกลับไปคลอดเองที่บ้าน จนลูกที่เกิดมาเสียชีวิตในที่สุด

กลายเป็นข่าวดังคึกโครม สืบเนื่องจากช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็มีข่าวการถูกปฏิเสธทำคลอดจากโรงพยาบาลในเม็กซิโก เนื่องจากโรงพยาบาลเห็นว่ายังไม่ถึงกำหนดคลอด แต่คุณแม่ท้องแก่ ไม่ค่อยเข้าใจภาษาสเปน รู้แต่เพียงว่าพยาบาลยังไม่ทำคลอด แต่เมื่อเวลาผ่านไป 1 ชั่วโมง คุณแม่ท้องแก่ชาวเม็กซิโกก็เกิดปวดท้องหนัก และโชคดีที่คลอดลูกออกมาที่หน้าสนามหญ้าอย่างปลอดภัย

บวกกับการโพสต์ข้อความของพระเอกหนุ่มจิตอาสา บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ที่มักจะเข้าไปช่วยเหลือ หรือรวบรวมสมทบทุน ให้ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลืออยู่เสมอ ก็ทำให้ชาวเน็ตต่างวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากมาย ถึงการกระทำของโรงพยาบาลที่ไม่รับการทำคลอด จนกลายเป็นประเด็นให้โต้เถียงกันไปมา โดยข้อความที่ บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ได้โพสต์ไว้ มีดังนี้

“สวัสดีครับเพื่อนๆ…ผมขอชี้แจงกับสิ่งเกิดขึ้นกับครอบครัวผู้สูญเสียในความเป็นจริงที่สุด ผมเป็นคนจริงและมีความเป็นคนครับ สิ่งที่ผมนำเสนอข้อมูลผมมีความรับผิดชอบอยู่แล้วครับ ตอนนี้ผมอยู่กับญาติของผู้เสียหายและมีคนหนึ่งซี่งอยู่ในเหตุการณ์ในวันนั้น เขายังงงว่าวันนั้นในเมื่อรู้ว่าคนป่วยใกล้คลอดแล้วทำไมไล่เขาไป รพ. อื่น แล้วยังบอกว่าให้รีบไป อย่าแวะที่ไหนเพราะเด็กจะใกล้คลอดแล้ว รถแท๊กซี่ก็ยังงงว่าทำไมไม่ทำคลอดที่นี่ คนไข้บอกต้องใช้เงิน 18,000 บาท พยาบาลท่านนั้นรีบให้คนไข้ขึ้นรถแท๊กซี่โดยไม่ให้เอกสารอะไรเลยบอกแต่เพียงไป รพ. รัฐค่าใช้จ่ายจะถูกกว่าหมื่นเศษๆ จนคนไข้ขอกลับบ้านเพราะไม่มีเงิน

คุณบุญสืบที่พาคนไข้ไปคลอดก็เลยไปส่งคนไข้ที่บ้าน เวลาผ่านไป 2 ชั่วโมงคุณบุญสืบได้กลับไปหาคนไข้ ปรากฎว่าคนไข้ได้คลอดลูกแล้ว คนไข้บอกว่าเด็กเสียชีวิตแล้ว คุณบุญสืบก็เลยโทรแจ้งเจ้าหน้าเพื่อมารับคนไข้เพราะตอนนั้นคนไข้อาการไม่ดีเสียเลือดมาก ทางเจ้าหน้าที่ก็นำส่ง รพ. หลายแหล่งแต่ปฏิเสธในการรับคนไข้ เพราะเป็นคดีความ เลยแนะนำไปส่งที่ รพ.รามาฯ ซึ่งก็ได้รับตัวคนไข้เอาไว้ และได้ซักประวัติจึงรู้ว่ามีประกันสังคมอยู่ที่ รพ.แห่งหนึ่ง จึงบอกกับญาติให้รักษาตัวที่ต้นสังกัดดีกว่าเพราะไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ทางคนไข้ไม่อยากไปที่นั้น เพราะได้รับการปฏิเสธมาตั้งแต่แรก

ทาง รพ.รามาฯ จึงโทรแจ้ง รพ.ต้นสังกัดมารับตัวคนไข้ไปรักษาตัวต่อที่ รพ. แต่ครั้งแรกปฏิเสธ คนไข้ยังบอกอีกว่าเมื่อเช้ากับตอนเย็นพูดคนละอย่างเลย (หลังจากที่มีข่าวได้ออกไป) บอกจะจ่ายให้ทุกอย่างและนำข้อมูลในการให้คำของคนไข้ออกมาพูดเพื่อปกป้องตัวเอง..มาถึงตรงนี้แล้วผมถามหน่อยนะครับว่า ทำไมรู้ว่าคนไข้จะคลอดแล้วจะให้เขาไปที่อื่นทำไม? แล้วตอนนี้ไปรับตัวคนไข้มารักษาที่ รพ.ต้นสังกัด ในเมื่อตอนแรกปฏิเสธในการทำคลอด ถ้าไม่ใช่เพราะเงิน?

อย่าบังคับให้เขาพูดแล้วพวกคุณจะพ้นความผิดหรือ การที่เอาคนไข้มารักษาตัวที่ รพ.ต้นสังกัดแค่นี้ญาติก็งงหมดแล้วครับ ผมไม่โกรธนะครับใครจะว่าอะไรผม เชิญตามสบาย ความจริงก็คือความจริง ผมก็ยังจะนำเสนอสิ่งที่อยากให้สังคมรับรู้จะได้ช่วยกันทำให้สังคมน่าอยู่ขึ้น ผมไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ผมไม่มีอคติกับใคร แต่ผมคิดว่าสิ่งที่ผมนำเสนอน่าจะเป็นอุทาหรณ์รายต่อไปครับ ถ้าสนใจหรือสอบถามกับญาติคนไข้เลยครับ คุณบุญสืบ พูดจริงทุกประเด็น ไม่มีแอบแฝง”

อย่างไรก็ตาม ทางแพทย์ที่อยู่ในเหตุการณ์ ก็ได้มีการโพสต์ชี้แจงต่อเรื่องที่เกิดขึ้นเช่นกัน

“เรื่องที่เกิดขึ้น คิดว่าทุก ๆ คนคงได้อ่านจากทางฝั่งของคุณบิณฑ์กันมาแล้วเลยอยากจะเล่าเรื่องจากทางอีกฝั่งบ้าง……

08.00 น. เคสนี้ผู้ป่วยมา รพ. ด้วยเรื่อง “มีเลือดออกทางช่องคลอด” ไม่มีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย ทางแพทย์จึงได้ทำการซักประวัติและตรวจร่างกายเบื้องต้นพบว่า หน้าท้องมีขนาดโตขึ้นมาเหนือระดับสะดือพอสมควร นั่นแสดงถึงว่าผู้ป่วยตั้งครรภ์มากกว่า 5 เดือนแล้ว แต่ผู้ป่วยให้ประวัติว่าประจำเดือนขาดมา 2 เดือน… ผู้ป่วยไม่เคยฝากครรภ์และครั้งนี้เป็นการท้องครั้งที่ 4

หลังจากปรึกษาสูติแพทย์แล้ว ได้ทำการตรวจภายในและอัลตราซาวน์พบว่าหัวใจเด็กยังเต้นปกติดีอยู่ ปากมดลูกเปิด 8 เซนติเมตร…. จึงได้ให้ผู้ป่วยเข้ารับการคลอด

เนื่องจากการใช้สิทธิ์ประกันสังคมเพื่อคลอดนั้น กำหนดไว้ว่าผู้ที่เข้ามารับบริการต้องสำรองเงินจ่ายไปก่อนแล้วมาทำเรื่องเบิกคืนทีหลัง ทาง จนท. จึงได้แจ้งแก่ผู้ป่วยและญาติเรื่องค่าใช้จ่ายแต่ทางผู้ป่วยกับญาติบอกว่าไม่มีเงินจึงขอกลับบ้าน จนท. เลยบอกให้ญาติพาไปคลอดที่ รพ. ของรัฐใกล้ ๆ กัน ก่อนที่ผู้ป่วยจะขึ้น taxi ออกจาก รพ. สูติแพทย์เป็นคนไปบอกและกำชับคนขับ taxi ให้ไปส่งที่ รพ. ด้วยตัวเอง

14.00 น. ญาติผู้ป่วยไปพบห่อผ้าสองห่อในห้องผู้ป่วยโดยห่อหนึ่งเป็นเด็กอีกห่อเป็นรก สอบถามผู้ป่วยจึงได้ความว่าคลอดเองประมาณเที่ยง ๆ จึงได้ทำการแจ้งตำรวจเพื่อเป็นหลักฐานเพราะจะนำศพไปเผาที่วัด
หลังจากแจ้งความแล้วตำรวจได้โทรเรียกรถร่วมให้ไปรับศพ และก็เป็นข่าวอย่างที่เห็นที่แชร์กัน…

ป.ล. ญาติผู้ป่วยเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดี และไม่มีปัญหาใด ๆ กับการดูแลรักษา

ป.ล. 2 นี่เป็นอีกครั้งที่แสดงให้เห็นว่าภาครัฐขาดการประชาสัมพันธ์ที่ดีแก่ประชาชน ขนาดเกิดกรณีแบบนี้ขึ้นหลายต่อหลายครั้ง มี รพ. จนท. หมอ พยาบาล มาให้ข้อมูลก็เยอะแต่ทำไมคนไทยยังไม่เข้าใจเรื่องสิทธิ์ประกันสังคมหรือบัตรทองของตัวเองเลย

ป.ล. 3 คุณบิณฑ์คงแค่ฟังเค้าเล่ามานะครับ เพราะญาติบอกว่าไม่ได้รับการติดต่อจากคุณเลย

ป.ล. 4 แม่สบายดีนะครับ ไม่มีภาวะแทรกซ้อนอะไร

ป.ล. 5 ที่ไม่ไปชี้แจงในเพจพี่บิณฑ์เพราะเชื่อว่าคอมเม้นท์นี้คงจะหายวับภายในไม่กี่วินาที เพราะตอนนี้จะสองหมื่นคอมเม้นท์ละ คงไม่มีใครอ่าน….”

ทางด้าน ชาวโซเชียลเน็ตเวิร์ก ก็มีการแสดงความคิดเห็นต่างๆ กันไป ดังนี้

“เราไม่ได้เข้าข้างใครนะแต่ลองฟัง แล้วใช้สติคิดดูซิ มันอาจจะเป็นเรื่องเข้าใจคนล่ะความหมายกันหรือเปล่า ความคิดเราน่ะ เราว่าหมอน่าจะบอกผู้หญิงคนนั้นว่า บัตรประกันสังคมอ่ะหมดอายุแล้ว ถ้าจะคลอดต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 18,000 บาท เขาคิดไปเองว่าหมอคงไม่ให้คลอดเลยกลับบ้านหรือป่าว หมอทุกคนมีจรรยาบรรณกันทั้งนั้นแหละ”

“ตามข่าวนะครับ หมอบอกว่าไม่ได้ปฏิเสธการทำคลอดให้ เพียงแต่ให้คนไข้สำรองจ่ายไปก่อน แล้วค่อยไปเบิกเอาคืนทีหลัง พอคนไข้ไม่มีเงิน จึงกำชับให้ไปโรงพยาบาลอื่นแทน ผมสงสัยว่า ทำไมต้องให้ไปโรงพยาบาลอื่นแทน หมอก็เรียนวิชาแพทย์มา ก็น่าจะรู้ว่า เมื่อห่างมือหมอไปแล้วอาจเกิดอันตรายขึ้นก็ได้ ดังนั้น ที่ว่า หมอให้ไปที่อื่นนี่จริงสิครับ ตัวหมอเองก็ยอมรับ ถ้าโรงพยาบาลนี้ไม่รับแล้วโรงพยาบาลอื่นจะรับหรือครับ แปลกไหม น่าจะลองฟ้องดูนะครับ แจ้งความก็ได้ ฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาละเว้น”

“คำว่ามนุษยธรรม ไม่มีอยู่ในจิตใจของหมอกับพยาบาลก็จบกันล่ะ”

“หมอก็รู้ว่าใกล้คลอด ทำไมไม่ทำ ล่ะ เงินเดือนหมอก็เยอะช่วยบ้างก็ได้ ให้ทุกคนปลอดภัยก่อนหนี้ที่เกิดขึ้น ค่อยว่ากันทีหลัง คนไทยไม่ไร้น้ำใจ แต่ทำไมหมอรู้อยู่แล้วปล่อยไปได้ไง ออก”

“ประกันสังคมครอบคลุมถึงท้องสองค่ะ เด็กคนนี้ลูกคนที่สี่ แม่ขาดส่งประกันสังคมเจ็ดเดือนด้วย บางครั้งอย่าอยู่ข้างความถูกต้อง แต่ให้อยู่ข้างความจริงด้วย”

“ทั้งหมดทั้งมวลไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิทธิหรือกรอบข้อบังคับอะไรก็ตาม มันมาจบตรงที่ว่าถ้าเป็นเหตุฉุกเฉินให้รักษาแล้วค่อยมาเบิกคืนจากรัฐในภายหลัง กฏหมายก็ออกมาแล้ว คนจะคลอดลูกอยู่แล้วแนะให้ไปโรงพยาบาลอื่นเนี่ยไม่ถูกแต่แรกอยู่แล้วครับ ไม่มีประกันสังคมก็ยังมีสิทธิเหตุฉุกเฉิน และประกันสังคมเนี่ยส่งไปแล้วการรักษาส้นตีนมากไม่รู้จะส่งไปเพื่ออะไรแถมสิทธิยังน้อยกว่าบัตรทองอีก ค่าคลอดต้องสำรองจ่ายแล้วค่อยเบิกคืน ไหนๆก็ต้องจ่ายทำไมไม่ทำให้โรงบาลเบิกได้เลย เป็นคนจนไม่มีใครเห็นใจหรอก ผมสงสารเด็กจริงๆ ที่จริง ธุรกิจโรงบาลเนี่ยควรมีข้อบังคับเรื่องห้ามปฏิเสธการรักษาเลยและใครมีเงินจะเอาบริการดีค่อบเปิดแผนกพิเศษเอา แต่ก็นะใครจะทำได้ในประเทศเรามันดันเป็นธุรกิจ”

เรื่องที่สาม เป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ กับข่าวที่สำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จะไม่นำวิชานาฏศิลป์ไทยใส่ลงไปในร่างหลักสูตรการศึกษาพื้นฐานฉบับใหม่ เพราะอยากให้เด็กได้สนใจวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ เพื่อยกระดับให้เด็กไทยมีคะแนนในวิชานี้ให้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับประเทศอื่น เนื่องจากเหตุผลที่ว่า การที่คุณภาพการศึกษาไทยตกต่ำ ส่วนหนึ่งพิจารณาจากคะแนนโครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ (PISA) ซึ่งเป็นโครงการประเมินผลการศึกษาของประเทศสมาชิกองค์การ เพื่อความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ พบว่าเด็กไทยมีความสามารถด้านการอ่าน วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ อยู่ในอันดับ 50 จาก 65 ประเทศทั่วโลก

จึงมีการปรับลดรายวิชาจาก 8 กลุ่มวิชา คือ ภาษาไทย, คณิตศาสตร์, วิทยาศาสตร์, สังคมศาสนาและวัฒนธรรม, สุขศึกษาและพละศึกษา, ศิลปะ, การงานอาชีพและเทคโนโลยี, และภาษาต่างประเทศ ในร่างหลักสูตรการศึกษาพื้นฐานฉบับใหม่ ให้เหลือ 6 กลุ่มวิชา คือ ภาษาและวัฒนธรรม, วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและคณิตศาสตร์, การดำรงชีวิตและโลกของงาน, ทักษะสื่อสารและการสื่อสาร, สังคมและความเป็นมนุษย์, และอาเซียนภูมิภาคและโลก ซึ่งวิชานาฏศิลป์ก็ถูกจัดเข้าไปอยู่ในกลุ่มสังคมและความเป็นมนุษย์เหมือนวิชาศิลปะ

โดยที่เรื่องนี้ เหมือนจะเป็นเสียงลือเสียงเล่าอ้าง ที่เมื่อชาวโซเชียล รวมทั้งคนในวงการบันเทิง หรือแม้แต่วงการการศึกษา หรือนาฏศิลป์ไทย ได้ยินได้ฟังก็เกิดความไม่ค่อยพอใจ ซึ่งก็ได้มีการแสดงความเห็นกันอย่างมากมาย อีกทั้งยังมีการแชร์ข้อความ คำพูดเพื่อคัดค้านการถอดวิชานาฏศิลป์ออกจากการเรียนศิลปะ ที่ระบุว่า “กูเรียนรำ หนึ่งในรากเหง้าของวัฒนธรรม ขอคัดค้านการถอดวิชานาฏศิลป์ออกจากการเรียนศิลปะ”

ที่มาภาพ : http://news.sanook.com1263721
ที่มาภาพ: http://news.sanook.com1263721

อย่างไรก็ตาม นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้มีการออกมาให้ความกระจ่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อสื่อแล้วว่า สำหรับตนเอง ยังไม่เคยได้ยินเรื่องการตัดวิชานาฏศิลป์ออกจากหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานฉบับใหม่ และจากการหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องก็ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ โดยจากการสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานก็พบว่า ข้อความหรือข่าวที่ส่งกันไปในโซเชียลมีเดีย ไม่ตรงกับความเป็นจริง เพราะหลักสูตรใหม่ไม่ได้มีการตัดวิชานาฏศิลป์ออก แต่เป็นการปรับหลักสูตร ที่มีการจัดกลุ่มสาระการเรียนรู้กันใหม่ จาก 8 กลุ่มสาระ เป็น 6 กลุ่มความรู้ และวิชานาฏศิลป์ก็ถูกบรรจุอยู่ในกลุ่มความรู้สังคมและความเป็นมนุษย์ สำหรับนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษา และในระดับมัธยมศึกษาจะอยู่ในระบบวิชาเลือก

จึงทำให้กระแสร้อนเกี่ยวกับการตัดวิชานาฏศิลป์ไทยจบลงและคลายข้อข้องใจจากทุกฝ่าย แต่ก็ลองมาดูความคิดเห็นของชาวโซเชียลมีเดีย ก่อนที่ท่านรัฐมนตรีจะออกมาพูด ว่าชาวโซเชียลเขามีความคิดเห็นกันไปอย่างไร

“ต้องไปเช็คคนปล่อยข่าวคนแรกว่าไปเอามาจากไหน เพราะการร่างหลักสูตรก็ใช้อาจารย์เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาวิชาหลายคน ต้องดูว่าคนแรกที่ปล่อยข่าวมีตัวตนหรือไม่กับไปเห็นมากับตาหรือไม่ว่านาฏศิลป์ถูกถอดออกจากหลักสูตร นี่เป็นสิ่งยืนยันเรื่องสังคมตื่นตูมแบบไทยๆ ได้เป็นอย่างดี ถ้าข่าวลือนั้นตรงกับที่ตัวเองชอบหรือเกลียดจะมีปฏิกิริยาตอบโต้รุนแรงมาก โดยไม่มีการตรวจสอบกลับว่าจริงหรือไม่จริง”

“เป็นแบบนั้นก็ดีอยู่แล้ว เป็นวิชาเลือกในมัธยมปลาย เราก็ไม่เห็นหลานๆ เราเรียน แต่เรียนเต้นรำบอลลูมกันนานมาแล้ว แค่รำวงก็เป็นกันทุกคน จะให้รำแบบโชว์ก็ต้องฝึกเป็นงานๆไปสำหรับพวกไม่ได้เรียนมาทางนี้ และเราก็ไม่เห็นอยากดูพวกที่รำเฉพาะงานไม่เห็นสวยชอบดูพวกที่เรียนนาฏศิลป์โดยตรง หรือจะโชว์ตามงานก็ต้องเป็นพวกที่เรียนมาโดยตรงอยู่แล้ว”

“การปลูกฝังความเป็นไทย มิใช่แค่เฉพาะเวลาสั้นๆ ควรปลูกฝังตั้งแต่เยาว์วัย และยาวนาน การให้นักเรียนเรียนตามความถนัด เป็นเพียงวิชาเลือก หรือชมรม ซึ่งโรงเรียนไม่เปิดสอนก็ได้ คิดหรือว่าเด็กไทยจะซึมซับความเป็นไทยไว้ได้ ทุกวันนี้เห่อตามอาเซียนและตะวันตก กันหมดแล้ว การสอนนาฏศิลป์ในโรงเรียนมิใช่แค่สอนรำนาฏศิลป์ แต่สอนการมีวัฒนธรรมความเป็นไทย กิริยามารยาท สัมมาคารวะ ความอดทน รวมถึงสมาธิที่จะใช้เป็นพื้นฐานในการเรียนวิชาอื่นด้วย การที่ไม่มีวิชานาฏศิลป์ เท่ากับนักเรียนจะไม่มีอัตลักษณ์ไทย”

“การอ่านข่าวที่โพสต์มาในเฟสบุก คิดแยอะๆ ก่อนจะแสดงความคิดครับ เป็นข่าวที่ไม่ได้กรอง ใครจะเอาอะไรมาลงก็ได้สำหรับผมอ่านผ่านๆ ครับ กลัวหน้าแตกครับหลายคนโดนด่ากลับฟรีๆ เสียค่าโง่ไปมาก ถ้ามีประกาศหรือข่าวที่น่าเชื่อถือ โอเคเลย”

“อันนี้พูดยากต่างคนต่างความคิดพวกนักเรียนสายวิทย์คณิตก็คงบอกไม่จำเป็น ส่วนสายนาฏศิลปก็คงบอกไม่มีไม่ได้ เราค่อยๆ คุยกันได้มั้ยครับ ทศกันจะรบกับพระรามยังคุยกันก่อนเลยใจเย็นๆครับมีเพื่อนดีกว่ามีศัตรูครับ”

เรื่องที่สี่ เป็นเรื่องตั้งแต่ครั้งแอบมาเที่ยวเมืองไทย เมื่อนักร้องซูเปอร์สตาร์สาว ริฮานนา ใช้เวลาว่างมาเที่ยวจังหวัดภูเก็ตในเดือนกันยายนที่ผ่านมา อย่างมีความสุข พร้อมประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวไทยอย่างเสร็จสรรพบนทวิตเตอร์และอินสตาแกรมส่วนตัวของตน ซึ่งมีผู้ติดตามหลายสิบล้านคน โดยที่ริฮานนาเองก็กระหน่ำโพสต์รูปและข้อความที่เธอมาเมืองไทย ทั้งภาพธรรมชาติที่สวยงาม พร้อมข้อความว่า This is paradise #Thailand, ภาพที่หนุ่มชาวไทยนำพวงมาลัยมาคล้องให้ที่มือ และเธอก็ชื่นชอบมากจนไม่ยอมถอด, ภาพกับช้างไทย หรือภาพคู่นางอาย สัตว์ป่าสงวนของไทยจนเป็นข่าว และภาพการแสดงเซ็กส์โชว์ที่ภูเก็ต

ล่าสุด สื่อภาษาอังกฤษชื่อดังของภูเก็ตอย่าง Phuket Gazette ได้มีการรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ป่าตอง ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบบาร์แห่งหนึ่งภายในซอยบางลา ก่อนจะดำเนินการบุกเข้าจับกุมตัวนายวรัญญู จรเมือง เจ้าของบาร์แห่งหนึ่ง ซึ่งเปิดแสดงโชว์ลามกอนาจาร รวมทั้งเปิดสถานบันเทิงโดยไม่มีใบอนุญาต สืบเนื่องจากทวิตเตอร์และอินสตาแกรมของริฮานนาที่เป็นสื่อกลางทำให้ตำรวจ สืบสวนจับกุมเจ้าของเซ็กส์โชว์ที่ภูเก็ตได้ โดยที่ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการจับกุม 2 ผู้ต้องหาที่ลักลอบนำเอาตัว “นางอาย” หรือ “ลิงลม” ซึ่งเป็นสัตว์คุ้มครองที่ริฮานนาถ่ายรูปด้วย โทษฐานที่นำมาหารายได้กับนักท่องเที่ยว

ที่มาภาพ : อินสตาแกรม @badgalriri
ที่มาภาพ: อินสตาแกรม @badgalriri

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้มีผู้แสดงความคิดเห็นกันมากว่า การกระทำของริฮานนานั้นคือผลดีหรือผลเสียกับประเทศไทยกันแน่ และที่สำคัญ สถานที่โชว์และให้บริการเช่นนี้ก็มีมานาน ทำไมเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงเพิ่งจะเร่งทำการตรวจสอบหลังจากที่ริฮานนาเธอโพสต์รูป แต่อย่างไรก็ตาม การมาและการโพสต์ข้อความของริฮานนาครั้งนี้ มีชาวต่างชาติให้ความสนใจในการท่องเที่ยวไทยเป็นอย่างมาก ดูได้จากข้อความที่ตอบกลับต่างก็ให้ความสนใจในความงามและการท่องเที่ยวประเทศไทย แม้แต่ริฮานนาเอง ที่เธอโพสต์ภาพก่อนกลับแสดงความรู้สึกของความชื่นชอบในเมืองไทยอย่างชัดเจน พร้อมข้อความที่ว่า We MOD at the airport! Gonna miss you #thailand

“ก็จริงนะค่ะ เรื่องเซ็กส์โชว์ เรายังไม่เคยรู้ หรือดูอะไรแบบนี้เลย แถมเคยได้ยินเรื่องเหล่านี้จากเพื่อนฝรั่ง เป็นความจริงด้านลบ ที่ยากจะยอมรับของประเทศ ในฐานะผู้หญิงไทยคนนึง”

“ดีนะค่ะ ดูเธอจะหลงรักเมืองไทยเอามากๆ เราเห็นแบบนี้ก้อแอบภูมิใจนะ”

“เราเป็นคนไทย มองภาพที่เอามาโพสต์ เรายังอยากรู้พิกัดเลยอ่ะ สถานที่สวยมาก”

” งง ว่ารีฮานน่าทำผิดตรงไหน แต่ช่างเถอะ เราชอบนางมาก ถือว่าเป็นการประชาสัมพันธ์เมืองไทย”

“บอกตรงไม่เคยชอบรีฮานน่าเลย แต่พอเห็นกระทู้นี้แล้ว ปลื้มรักนางเลย ทุกที่ก็มีทั้งดีไม่ดี ก็แล้วแต่คนน่ะว่าจะเลือกมองมุมไหน อยากสัมผัสแบบไหน”

“ถ้าเราไม่คิดเอาแต่ได้อย่างเดียว และลองมองด้านดีของเรื่องนี้ จะพบว่า ประเทศไทยเรากลายเป็นสถานที่ที่น่าสนใจ สำหรับชาวต่างชาติที่ follow นาง เหมือนที่หลายคนบอกนะครับ ศิลปินระดับโลกโปรโมทให้ฟรีๆ มีที่ไหน ถ้านางไม่รักเมืองไทยจริง”

เรื่องที่ห้า เป็นเหตุสะเทือนขวัญ จากสภาพอากาศ เมื่อเครื่องบินของสายการบิน ‘ลาวแอร์ไลน์’ สายการบิน 4 ดาว จากทั้งหมด 7 ดาว เที่ยวบิน QV 301 เดินทางออกจากสนามบินเวียงจันทน์และกำลังมุ่งหน้าสู่สนามบินปากเซ แขวงจำปาสัก ตกกลางแม่น้ำโขง เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 16 ตุลาคม 2556 ที่ผ่านมา โดยที่ทางสายการบินออกมายอมรับว่าเกิดจากสภาพอากาศที่เลวร้ายเป็นอย่างมาก ซึ่งภายในเครื่องบินลำดังกล่าว มีผู้โดยสารจำนวน 44 คน (เป็นชาวไทย 5 คนไทย) พร้อมลูกเรืออีก 5 คน โดยทางเจ้าหน้าที่กู้ภัย รวมทั้งทหารเรือไทย ซึ่งเป็นเจ้าเหน้าที่ผู้ชำนาญการ ต่างเร่งหาร่างผู้เสียชีวิต แต่พบเพียงแค่ 15 ศพ ซึ่งก็คาดว่าน่าจะเสียชีวิตทั้งหมด 49 คน อย่างไรก็ตามเหตุการณ์นี้ มีผู้ให้การไว้อาลัยกับผู้เสียชีวิตกันอย่างมาก และแม้ยังหาร่างผู้เสียชีวิตได้ไม่ครบทั้งหมด ก็ยังมีหลายคนที่หวังปาฏิหาริย์ ให้มีการรอดชีวิตเกิดขึ้นในเหตุการณครั้งนี้ด้วย

“ขอแสดงความเสียใจ คนลาวทุกคนก็เสียใจกับครอบครัวของทุกท่านที่เสียชิวิตไป มันเป็นเหตุสุดวิสัย จริงๆ ไม่มีใครอยากให้พี่น้องร่วมโลกอันเดียวกัน ต้องเสียใจถ้าเลือกได้ คนลาวทั้งประเทศไม่อยากให้สิ่งๆ นี้เกิดขื้นกับทุกท่าน ทีเสียชีวิตเลย”

“ขอแสดงความเสียใจแด่ผู้ประสบอุบัติเหตุทุกคนทุกท่าน”

“ขอแสดงความเสียใจด้วยครับกับครอบครัวผู้เสียชีวิตครับ”

“ความตายเกิดขึ้นได้ทุกเวลาแม้จะสูงหรือต่ำในน้ำหรือบนบกข้อแสดงความเสียใจด้วยครับ”

“เคยเสียใจกับเพื่อนในเที่ยวบินมาสองสามครั้งล่ะฟังแล้วเศร้าใจมากสะเทือนใจยังไม่หายขอไว้อาลัยกับผู้เสียชีวิตทุกท่านด้วย ขอให้วิญญาณสู่สุขคติคุณมีกรรมกับเครื่องบิน กรรมคุณจบล่ะขอให้ไปสู้สุขคติสู้ภพชาติที่ดี”

“เห็นข่าวแล้วเศร้าใจ ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต และ ขอแสดงความอาลัย แด่ผู้จากไป ครับ”