ThaiPublica > คอลัมน์ > ถ้าฉันมีอำนาจ…

ถ้าฉันมีอำนาจ…

31 มีนาคม 2013


สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์

ถ้ามีเทวดามาบอกว่าจะให้อำนาจสามประการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย คุณจะขออะไร?

พรสามประการต้องตั้งสติคิดดีๆ มันต้องเป็นปัญหารากฐานที่โยงใยเป็นลูกโซ่ไปสู่ปัญหาสลับซับซ้อนอื่นๆ จะใช้อารมณ์ขอให้คู่อรินักอนุรักษ์ตลอดกาลอย่างคุณปลอดประสพ สุรัสวดี หายแวบไปเฉยๆ เหมือนกับพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา ขอให้คนที่อึดอัดกับมาตรา 112 หายไปจากประเทศก็คงไม่มีประสิทธิภาพเท่าไหร่ เพราะคงมีปลอดประสีโผล่ขึ้นมาแทนที่

อันดับแรก ฉันจึงกะจะขอนโยบายเกษตรอินทรีย์และเกษตรธรรมชาติทั้งประเทศ

อุตสาหกรรมเกษตรเคมีเป็นตัวทำลายสิ่งแวดล้อมโลกอันดับต้นๆ น้ำมันที่เราขุดเจาะขึ้นมา 30 เปอร์เซ็นต์ ถูกนำไปใช้ผลิตปุ๋ยเคมีที่ใส่ลงไปในดินก็ทำให้ดินตาย ตามปกติในธรรมชาตินั้นพืชและจุลินทรีย์กับราในดินจะเลี้ยงอาหารกันและกัน พืชให้พลังงานในรูปแบบน้ำตาลที่มันปรุงจากคาร์บอนไดออกไซด์ แลกเปลี่ยนกับไนเตรเจนที่จุลินทรีย์และราดึงมาจากอากาศแล้วแปรเป็นรูปแบบละลายน้ำได้ให้พืชดูดขึ้นไปใช้สร้างโปรตีน เป็นเอนไซม์ดำเนินกระบวนการต่างๆ ในชีวิต แต่เมื่อพืชได้ไนโตรเจนมาม่าจากปุ๋ยเคมีมันก็ไม่ต้องพึ่งจุลินทรีย์และราในดินอีกต่อไป ก็เลิกให้อาหารเพื่อน เพื่อนก็หายไป ชีวิตอื่นๆ ในดินก็พลอยหายตามไปด้วย ทั้งหนอนไส้เดือนต่างๆ ที่ช่วยพรวนดินก็ด้วย เพราะจุลินทรีย์และราเป็นอาหารพื้นฐานของสังคมชีวิตในดิน

อย่าได้คิดว่าพวกมันเป็นสังคมสัตว์สกปรกจิ๊บๆ ไม่สลักสำคัญ ครึ่งหนึ่งของชีวิตในโลกอยู่ตรงนี้ ทำหน้าที่ย่อยสลายหมุนเวียนแร่ธาตุ แปรเปลี่ยนขี้เยี่ยวซากศพกลับมาเป็นธาตุอาหารบำรุงชีวิตอีกครึ่งบนบกที่เรามองเห็น พวกมันเป็นทั้งเทศบาล สัปเหร่อ ธนาคาร การประปา ฯลฯ ที่ขับเคลื่อนระบบสาธารณูปโภคทั้งหลายทั้งปวง

เมื่อไม่มีชีวิตในดิน โครงสร้างของดินก็เริ่มเสีย จับตัวแข็ง สูญเสียความสามารถในการดูดซับน้ำ น้ำในดินก็ลดลง น้ำบ่าไหลมาก็ท่วมง่าย ปุ๋ยเคมีที่พืชซดไม่หมดจดและไม่มีจุลินทรีย์เก็บกวาด ส่วนหนึ่งก็ระเหยขึ้นไปเป็นก๊าซเรือนกระจกไนตรัสออกไซด์ มีคุณสมบัติก่อภาวะเรือนกระจกมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ 300+ เท่า อีกส่วนก็ไหลไปกับน้ำ กลายไปเป็นมลภาวะในแม่น้ำจนถึงทะเล เป็นตัวการสำคัญที่ฆ่าความหลากหลายของสายพันธุ์ชีวิตในทะเล

ปุ๋ยเคมีจึงทำลายชีวิตและระบบนิเวศครบวงจร จากบก สู่แหล่งน้ำจืด สู่ทะเลและมหาสมุทร และส่งตรงขึ้นอากาศทำให้โลกร้อน

คุณภาพผลผลิตจากพืชขึ้นอยู่กับคุณภาพของดิน ซึ่งมีความละเอียดซับซ้อนมากกว่าการชั่งตวงวัดป้อนไนโตรเจน โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส ตามสูตรเกษตรสมัยใหม่ แม้ว่าร่างกายเราจะประกอบด้วยแร่ธาตุหลักๆ ไม่กี่ชนิด แต่ร่างกายที่มีสุขภาพดีต้องการแร่ธาตุถึง 60 กว่าชนิด ซึ่งเราได้จากดินเป็นจำนวนไม่น้อยโดยผ่านกระบวนการย่อยสลายของสิ่งมีชีวิตในดิน ส่งต่อไปยังพืชที่เรากิน และสัตว์กินพืชที่เรากินอีกต่อหนึ่ง

อุตสาหกรรมเกษตรเคมีจึงเชื่อมโยงกับปัญหาสุขภาพของเราอย่างจัง โดยยังไม่ต้องคิดรวมไปถึงสารพิษจากยาฆ่าพืชฆ่าแมลง

ส่วนปัญหาเศรษฐกิจไม่ต้องพูดถึง เราพูดกันมาเยอะแล้ว คนที่ได้รับประโยชน์ร่ำรวยที่สุดจากอุตสาหกรรมนี้ ได้แก่ บริษัทผลิตปุ๋ย เคมีการเกษตร และเมล็ดพันธุ์ที่พึ่งสารเคมีของเขา ส่วนเกษตรกรกลับเจอหนี้สินรุงรัง

ที่มาภาพ : http://www.greenafricadirectory.org/
ที่มาภาพ: http://www.greenafricadirectory.org/

ตราบใดที่เรายังเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่ามนุษย์ เราก็ต้องดื่มดินกินแดดผ่านพืช พระเจ้าในไบเบิลก็ปั้นอดัมขึ้นมาจากดิน ดินเป็นร่างกายของเรา เราจึงต้องใส่ใจดิน

คนรุ่นใหม่โตมากับผลผลิตจากดินตาย อาจไม่รับรู้ความแตกต่างของรสชาติพืชผักผลไม้และเนื้อสัตว์เมื่อเทียบกับผลผลิตอาหารจากดินดี แต่นักกินรุ่นเก่าจะสัมผัสได้ ใบโหระพาพันธุ์เดียวกันปลูกบนดินต่างท้องถิ่นจะมีรสต่างกัน ความแตกต่างเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงรายละเอียดที่ทำให้ชีวิตสนุกดี แต่มันแฝงมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจถ้าเรารู้จักทำการตลาดให้กับเอกลักษณ์ธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่น ไม่ต่างจากที่คนฝรั่งเศสขายไวน์และเนยแข็งจนมีชื่อกระฉ่อนโลก

ในระยะยาว ปริมาณผลผลิตจากระบบเกษตรอินทรีย์และเกษตรธรรมชาติก็ยั่งยืนกว่า และมีกรณีตัวอย่างอยู่ไม่น้อยที่สามารถให้ผลผลิตสูงกว่าเกษตรเคมีเสียอีก องค์การอาหารโลก FAO ก็ยอมรับแล้วว่าเกษตรอินทรีย์และเกษตรธรรมชาติสามารถให้ผลผลิตพอเพียงเลี้ยงมนุษย์โลกได้ ข้ออ้างเดิมๆ ว่าต้องใช้เคมีหรือแม้แต่จีเอ็มโอสร้างผลผลิตปริมาณมหาศาลถึงขั้นกินทิ้งกินขว้างนับวันยิ่งฟังไม่ขึ้น

เพราะเกษตรอินทรีย์เป็นพื้นฐานสำคัญเหลือเกินต่อความอยู่ดีมีสุขของสังคมมนุษย์ ตลอด 30 กว่าปีที่ผ่านมา กลุ่มคนจำนวนหนึ่ง ทั้งเกษตรกร เอ็นจีโอ ข้าราชการ และนักธุรกิจ จึงร่วมกันทวนกระแสหลัก สนับสนุนให้เกษตรอินทรีย์และเกษตรธรรมชาติฟื้นฟูขึ้นมาและค่อยๆ ขยายตัว มันเป็นงานที่ต้องอาศัยความรู้ ต้องช่างสังเกตธรรมชาติรอบตัว แต่ขณะเดียวกัน ความต้องการของตลาดในยุคนี้ก็มีมากขึ้นด้วย เกษตรอินทรีย์จึงค่อยๆ เบิกบานกลับขึ้นมาได้

แต่แล้วอยู่ๆ จำนวนเกษตรกรเกษตรอินทรีย์ก็ลดหายฮวบฮาบอย่างรวดเร็ว เมื่อรัฐบาลดำเนินนโยบายจำนำข้าวแบบครอบคลุมจักรวาล โดยไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์ของกลไกการตลาดกับคุณภาพผลผลิต

ราคาจำนำข้าวของรัฐที่สูงกว่าราคาตลาดถึง 4,500-5,000 บาท/ตัน ถล่มโรงสีชุมชนและสหกรณ์ให้พังพินาศแทบจะชั่วข้ามคืน

องค์กรเหล่านี้ตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นหลักประกันความยุติธรรมแก่เกษตรกรโดยตรง เพิ่มอำนาจต่อรองให้แก่เกษตรกรกับพ่อค้าคนกลาง เป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเกษตรอินทรีย์ ปกติโรงสีชุมชนจะให้ราคาข้าวหอมมะลิ 17,000-18,000 บาท/ตัน มากกว่าราคาตลาด 15,000 บาท/ตัน ของสมาคมค้าข้าวไทย แต่สู้ราคาจำนำ 20,000 บาท/ตัน ของรัฐไม่ได้ โรงสีชุมชนจึงต้องปิดกิจการกันลงอย่างรวดเร็ว

อาจารย์ประภาส ปิ่นตบแต่ง รายงานในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ว่า แม้แต่ชุมชนกุดชุม จังหวัดยโสธร ที่นับว่าเป็นเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ที่เข้มแข็งที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ก็กำลังล่มสลาย จากเดิมมีสมาชิกเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ 600 คน บัดนี้เหลือเพียง 379 คน เพราะคนอื่นๆ หันกลับไปทำเกษตรเคมี เพื่อเร่งผลผลิต ปลูกบ่อยๆ เก็บเกี่ยวบ่อยๆ ได้เงินเยอะๆ บ่อยๆ

สวนกระแสแนวคิดเศรษฐกิจสีเขียวที่มุ่งผลักดันให้ราคาสินค้าสะท้อนความเป็นจริงในระบบนิเวศ กลับไปอุ้มชูระบบผลิตที่โยนภาระค่าใช้จ่ายทางสุขภาพและสิ่งแวดล้อมไปให้สังคมจ่ายแทน ซึ่งปกติก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่หนนี้อุ้มสุดๆ อย่างไม่ยุติธรรม

ความเท่าเทียมไม่ได้แปลว่าของห่วยของดีควรมีราคาเท่ากัน เช่นเดียวกับที่ความเท่าเทียมไม่ได้แปลว่าคนฆ่าคนตายกับคนทำผิดมาตรา 112 ควรมีโทษเท่ากัน

เมื่อคุณยิ่งลักษณ์มีอำนาจ คุณจึงควรรีบเร่งปรับรายละเอียดนโยบายจำนำข้าวให้เลิกทำร้ายเกษตรอินทรีย์

นี่คือพรที่ขอจากเทวดาข้อแรก อีกสองข้อที่เหลือจะเล่าให้ฟังเดือนหน้า