ThaiPublica > เกาะกระแส > เสียงกระซิบหลังเวทีพันธมิตร US “สนธิ” ระเบิดใส่ “ประยุทธ์” ก่อนจบวิวาทะ “ห่วย-ห่วย”

เสียงกระซิบหลังเวทีพันธมิตร US “สนธิ” ระเบิดใส่ “ประยุทธ์” ก่อนจบวิวาทะ “ห่วย-ห่วย”

15 มกราคม 2013


รายงานโดย หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ

ในที่สุดวิวาทะ “ห่วย-ห่วย” ก็จบลงด้วยการที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นฝ่ายเอ่ยคำขอโทษสังคมและสื่อมวลชน กรณีใช้คำพูดรุนแรง-แสดงกิริยาหงุดหงิด หลังหลุดปากบริภาษสื่อกลางวงสื่อว่า “ไอ้ผู้จัดการมันห่วย”

เป็นผลให้ “เอเอสทีวี ผู้จัดการออนไลน์” พาดหัวข่าวทันควันว่า “ไอ้ผู้จัดการมันห่วย หรือ ผบ.ทบ. ห่วยกันแน่” ตามคำบงการข้ามทวีปของ “สนธิ ลิ้มทองกุล” เจ้าของหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ และแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

ร้อนถึง “บริวารในเครื่องแบบ” ต้องตบเท้าแสดงพลังปกป้อง ผบ.ทบ. หน้าสำนักงานหนังสือพิมพ์ผู้จัดการถึง 2 หน

หนแรกในวันที่ 10 มกราคม และอีกหนในวันที่ 12 มกราคม

เกิดการปะทะทางความคิด-คารมระหว่าง “คนชุดพราง” กับ “คนเสื้อเหลือง” หลายระลอก

แต่แล้ว อาการ “เลือดขึ้นหน้า” ของทั้งสองฝ่ายคล้ายสงบลง เมื่อ “พล.อ.ประยุทธ์” กล่าวระหว่างเป็นประธานงานวันสถาปนากองทัพภาคที่ 1 ครบรอบ 103 ปี เมื่อวันที่ 14 มกราคม ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยยืนยันว่าไม่มีเจตนาคุกคามสื่อ และไม่มีการทะเลาะกับใคร

“คนไทยด้วยกันทั้งนั้น ถ้าคิดว่าเหยียดหยามดูถูก ผมก็ขอโทษ” ผบ.ทบ. กล่าวทั้งที่ยอมรับว่ายังรู้สึกโกรธและเสียกำลังใจ

เมื่อคอลัมน์ “เกาะกระแส” ในเว็บไซต์เอเอสทีวี ผู้จัดการ ขึ้นพาดหัวว่า “จบแบบลูกผู้ชาย!!” พร้อมตอบรับไมตรีด้วยคำขอบคุณ

"สนธิ ลิ้มทองกุล" เจ้าของหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ และแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
“สนธิ ลิ้มทองกุล” เจ้าของหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ และแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

หนึ่งวันก่อนสงบศึก “สนธิ ลิ้มทองกุล” ขึ้นกล่าวปราศรัยต่อหน้าแนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยราว 500 คน ในงาน “รวมพลคนรักชาติ ครั้งที่ 15” ที่อาคาร แดนซ์ รีโวลูชัน นครลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา

หน้าเวที…บทเพลงพระราชนิพนธ์ “ความฝันอันสูงสุด” ถูกศิลปินเสื้อเหลืองอัญเชิญมาขับกล่อมพันธมิตรฯ พร้อมประกาศจุดประสงค์เพื่อเตือนความจำทหารถึงบทบาท-หน้าที่

หลังเวที… มีเสียงกระซิบแบบปากต่อปากจากกรุงเทพฯ ถึงสหรัฐฯ เกี่ยวกับเบื้องลึก-เบื้องหลังที่ทำให้ “ชายชาติทหารสิ้นลาย?”

ส่วนเนื้อหาหลักบนเวที หนีไม่พ้นการโจมตี “คู่กรณีตัวเอ้” ในเมืองไทย…

“สนธิ” เล่าว่า ทันทีที่เดินทางถึงซานฟรานซิสโกในวันที่ 11 มกราคม เขาได้รับข่าวจาก “นักข่าว” วรรคทองของ “พล.อ.ประยุทธ์” ถูกถ่ายทอดทุกถ้อยคำ

สิ่งแรกที่เขาทำคือ ต่อสายถึงนักข่าวหญิงเครือเอเอสทีวี ผู้จัดการ หลายคน เพื่อถามคำถามเดียวกัน “คุณจะเอาด้วยไหม?”

“ผมจะสู้กับมันถึงไหนถึงกัน ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติหน้า ที่โทรศัพท์มาก็เพื่อจะถามใจพวกคุณว่าจะเอาด้วยไหม ถ้าไม่เอา ผมก็สู้ของผมคนเดียว แล้วพวกคุณยืนข้างหลังผม ปรากฏว่าคำตอบก็เป็นอย่างที่รู้ๆ กัน พอวันเสาร์ (12 มกราคม 2556) มีการเอาทหารประทวนที่กำลังจะติดยศร้อยตรี สั่งให้ไปล้อมหน้าเอเอสทีวี 50 คน พอพันธมิตรฯ รู้เรื่องก็เหมารถไป ก็ระดมคนสู้”

“สมัยก่อน เวลาทหารจะตบเท้าต้องเป็นเรื่องใหญ่ๆ และทหารที่ออกมาจะเป็นพลเอกพลโท แต่เดี๋ยวนี้ตบเท้าปกป้องพ่อ แล้วเอาไอ้เณรออกมา มีใหญ่หน่อยก็ พ.ต.นนท์ จุลานนท์ ลูกชาย พล.อ. สุรยุทธ์ (จุลานนท์ องคมนตรี) ซึ่งเขาเป็นเพื่อนเรียนรุ่นเดียวกับลูกชายผม (นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ผู้อำนวยการเว็บไซต์เอเอสทีวี) ก็ไปเดินอยู่แถวนั้น พอลูกผมรู้เรื่องก็โทรไปหาเลย ถามว่า เฮ้ย! อยากตายหรือ ระวังหาศพไม่เจอนะ ปรากฏว่าหายวับไปเลย วันนี้ทหารเป็นที่ตลกขบขัน ถูกเสื้อแดงเอาเท้าลูบหน้า เสื้อแดงไม่เอา และวันนี้ผมกล้าพูดได้ว่าพันธมิตรฯ ก็ไม่เอา ชีวิตมันโดดเดี่ยวเดียวดาย”

“เคยได้ยินไหม What goes around comes around ทำอย่างไหนได้อย่างนั้น” เขาโยนสุภาษิตอเมริกันขึ้นกลางเวที เพื่อสื่อสารนัยบางประการถึง “แม่ทัพบก” ก่อนแปลงกายเป็น “พ่อหมอ” อ่านชะตา “คู่กรณี”

“ขอให้เชื่อผม คนเราเวลาดวงตกมันตกจริงๆ ใครเชื่อพ่อหมอคนนี้บ้าง ไม่เกินปีนี้ พล.อ.ประยุทธ์จะไม่ได้เป็น ผบ.ทบ. ซึ่งมันมี 2 ทางสำหรับเขา 1. ถูกย้ายไปประจำกระทวงกลาโหม หรือ 2. ถูกปลดออกจากราชการ และถูกตรวจสอบทรัพย์สินที่มีมากขึ้นมหาศาล”

“สนธิ” ยังระบุอีกว่า หลังจากนี้ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่รู้ว่าชาติบ้านเมืองไปอย่างนี้ต่อไปไม่ได้ และเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงต้องมีแต่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มองว่าการเปลี่ยนแปลงต้องเกิดจากการที่ทหารออกมา แต่ขณะนี้ทหารเป็นทหารผลประโยชน์ ไม่เคยรบกับอริราชศัตรูที่ไหน รบแต่กับเพื่อนร่วมรุ่นเพื่อชิงดีชิงเด่นกันเอง เป็นทหารที่ปกป้องผลประโยชน์ตัวเอง ดังนั้น พ.ต.ท. ทักษิณอ่านเกมขาด ฝ่ายการเมืองจึงยึดอำนาจกองทัพด้วยการตัดงบประมาณของทหาร

“สิ่งสำคัญที่สุดของ พ.ต.ท.ทักษิณ คือ การประคองน้องสาว (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) เป็นนายกรัฐมนตรีไปอีก 2-3 ปี เพราะในเดือนพฤษภาคม สภาก็จะโหวต พ.ร.บ.กู้เงิน 2.2 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นงบก้อนมหาศาล ดังนั้น ยุทธศาสตร์ของรัฐบาลเพื่อไทย (พท.) หลังจากนี้คือ อะไรที่จะก่อให้เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองเขาจะไม่ทำ ไม่เสี่ยง เพราะเขาซื้อเวลาทำมาหากิน เขาต้องการชนะด้วยวัยวุฒิ ด้วยอายุรัฐบาล ขณะเดียวกันก็จะเร่งเสริมความแข็งแกร่งด้วยการวางคนของตนลงหน่วยงานต่างๆ”

สนธิ ลิ้มทองกุล ขณะถ่ายรูปกับพันธมิตรยูเอสเอ
สนธิ ลิ้มทองกุล ขณะถ่ายรูปกับพันธมิตรยูเอสเอ

ถึงตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าอนาคต “นายกฯ หญิง” และ “ผบ.ทบ.” จะเป็นไปตามคำทนายของ “โหรธิ” หรือไม่ ใครจะอยู่ ใครจะไป ทว่า การจะกลับมาบนพื้นที่ถนนของ “ม็อบเสื้อเหลือง” ถูก “5 แกนนำ” ขีดเส้นไว้ที่ 3 เงื่อนไข

หนึ่ง มีการแก้กฎหมายเพื่อช่วยให้ พ.ต.ท.ทักษิณพ้นผิดคดีความต่างๆ
สอง มีการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
สาม มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณพ้นผิด

“วันนี้ ถ้าจะร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ไม่เป็นไร แต่เมื่อไรแก้ให้ พ.ต.ท.ทักษิณพ้นผิด เมื่อนั้นมึงเจอกู ถ้าเจอ 3 ข้อนี้ มึงเจอกู ขณะนี้ถ้าจะมีอีกข้อก็คือเรื่องเขาพระวิหาร…เราสรุปแล้วว่าถ้าจะชุมนุมมีเงื่อนไข 3 ข้อนี้ เพราะเราจะชุมนุมทุกเรื่องไม่ได้ ดังนั้น เราเอาเรื่องใหญ่ๆ แตกหักกันไปเลย ซึ่งก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วในวันที่ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ปรองดองเข้าสภา”

“ถึงวันนี้เชื่อว่าพันธมิตรฯ เริ่มเข้าใจหลายเรื่อง เริ่มไอเดนทิฟาย (แยกแยะ) ของปลอมได้ ขอให้เชื่อว่า ถ้าเราจะประท้วงอีกครั้ง การจัดการจะดีกว่า เสธ.อ้าย (พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม ที่นัดชุมนุมใหญ่ขับไล่รัฐบาลเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2555) เพราะในประเทศไทยไม่มีใครจัดม็อบได้เก่งกว่าเราอีกแล้ว” เขาปลุกใจพันธมิตรฯ ต่างแดนเป็นการทิ้งท้าย

รายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” จบลงในเวลา 2 ชั่วโมง ทว่าวงสนทนาการเมืองล่างเวทีเพิ่งเริ่มต้นขึ้น

บางเสียงถามถึงฉากต่อไปของ “ใครบางคน” หลังเกิดวิวาทะห่วย-ห่วย

เสียงหนึ่งตอบแผ่วเบา ด้วยการปล่อยชื่อ “บุคคลสำคัญ” ที่เอ่ยออกมาเพียงหนึ่งพยางค์

บุคคลที่เชื่อว่าเป็นคนสั่ง “คัท” กำกับเรื่องราวให้จบลงที่คำ “ขอโทษ” และ “ขอบคุณ”!!!

กงสุล “เจษฎา” ขอตาบอดสี หนี “สนธิ” กู้ชาติที่ US

“…พอผมลงเครื่องที่แอลเอปั๊บ ผมตาบอดสีเลย…” คือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับ “เจษฎา กตเวทิน” หลังได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่ นครลอสแอนเจลิส เมื่อ 10 เดือนก่อน

หากย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น เขาคือ “รองอธิบดีกรมสารนิเทศ-รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ” รับหน้าเสื่อแทนรัฐบาล “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ออกเดินสายทั่วราชอาณาจักร เพื่อชี้แจงแนวทางการต่อสู้คดีเขาพระวิหาร

แทบทุกครั้ง เขาถูก “ฝ่ายกู้ชาติ” ชี้หน้าด่าว่า “ขายชาติ”

วันนี้เขากลายเป็นทั้ง “ผู้ปกครอง” และ “ปากเสียง” คนไทยใน 13 รัฐของประเทศสหรัฐอเมริกา

โดยเฉพาะแอลเอ ดินแดนที่คนไทยมากหน้า-หลากสีไม่แพ้ในประเทศไทย

“ตัวเลขทางการที่มีผู้ลงทะเบียนสำมะโนเอาไว้อยู่ที่ 6.7 หมื่นคน แต่ตัวเลขจริงๆ ที่พูดกันก็อย่างน้อย 1.5-2 แสนคน ผมไม่รู้หรอกว่าแต่ละสีมีเท่าไร ขนาดจำนวนคนแน่ๆ ยังไม่ทราบเลย แต่ก็เยอะล่ะ ทั้ง 2 สี ผมถึงบอกชัดเจนว่า พอผมลงเครื่องที่แอลเอปั๊บ ผมตาบอดสี อันนี้คือข้อเท็จจริงนะ ไม่ใช่มาเล่นลิ้น คือเราไม่สามารถเลือกให้บริการสีใดสีหนึ่งได้ เพราะทุกสีคือลูกค้าเราหมด คือคนไทย บางทีการเป็นราชการอาจจะทำยากกว่าสื่อด้วยซ้ำ สื่ออาจจะชัดเจนว่าสีนั้นสีนี้ มีท่าทีที่ชัดเจนได้ แต่เราต้องมีท่าทีที่ชัดเจนว่าไม่มีสี”

นายเจษฎา กตเวทิน
นายเจษฎา กตเวทิน

เจษฎาเปิดฉากพูดถึง “จุดยืน” ในสถานะ “กงสุล” ก่อนยกเรื่อง “ขั้วการเมืองในอเมริกา” เทียบเคียงกับปัญหา “พลเมืองเลือกข้าง” ในอีกซีกโลก

“ที่สหรัฐฯ ก็มี 2 พรรค เขาจะเป็นสีแดงกับสีน้ำเงิน เป็นรีพับลิกันกับเดโมแครต ดังนั้น การเมืองที่คองเกรสผลักดันไม่ค่อยไป ก็เพราะมันการเมือง ทุกอย่างจะเอาเป็นประเด็นทางการเมืองไปหมด อันนี้เป็นตัวอย่างที่เราน่าจะดูไปบ้างว่าประเทศไทยจะเอาอย่างไร ในเมื่อเลือกทางที่จะให้มี 2 พรรคใหญ่ นี่อาจเป็นจุดด้อยที่เราเห็น คนอเมริกันก็ด่ารัฐบาล ด่านักการเมืองว่ายิ่งกว่ารถใช้แล้ว เซลล์แมนอีกนะ ไม่มีใครเชื่อถือ เพราะทุกอย่างเอาเป็นประเด็นการเมืองไปหมด อันนี้คือตัวฉุด ของเราถ้าจะมองประชาธิปไตย เราก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเขาหรอก เราก็มี 2 ขั้ว แต่ถ้าจะผลักดันอะไร ทั้ง 2 ขั้วก็ต้องร่วมกัน หากเป็นวาระของประเทศ ซึ่งสิ่งที่จะเป็นวาระของประเทศไทยเวลานี้คือปราสาทพระวิหาร หากยังมาแบ่งสีแบ่งอะไรนี่ ยุ่งแน่”

คำยืนยันของ “อดีตทีมโทรโข่งบัวแก้ว” ต่อสารพัดข้อเสนอที่ถูกโยนขึ้นมา โดยหมายปลุกวิญญาณคนรักชาติ ก่อนมีคำตัดสินของศาลโลกในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2556 คือ ไม่อาจสนองตอบได้

ทั้งเรื่องการปฏิเสธคำตัดสินของศาล กรณีผลออกมาในทางลบ เนื่องจากไทยเคยรับอำนาจศาลไปแล้ว

ทั้งเรื่องสิทธิในการขอรื้อคดี เพราะทั้งไทย-กัมพูชาไม่ได้ยื่นหลักฐานใหม่ที่มีน้ำหนัก หรืออาจนำไปสู่การหักล้างคำตัดสินเดิมภายในเวลา 10 ปี

ทุกความเห็น-ทุกข้อเรียกร้อง จึงเป็นเรื่องที่มาช้าเกินไปเพราะทุกอย่างจบแล้ว สิ่งที่ไทยทำได้จึงเป็นการสู้เพื่อ “เจ๊า” เท่านั้น!

“เรื่องที่พูดกันอยู่ตอนนี้คือ การตีความคำตัดสินของศาลเมื่อปี 2505 ไม่ใช่คดีใหม่ สิ่งที่ไทยยืนยันมาตลอดคือศาลไม่ควรจะรับเรื่องนี้ เพราะมันจบไปหมดแล้ว ศาลตัดสินแล้ว และเราได้ส่งข้อมูลให้ศาลดูว่าสิ่งที่เราทำตามคำตัดสินของศาลทั้งหมดคือแบบนี้ ดังนั้นไม่มีอะไรต้องตีความอีก การตีความตามที่ฝ่ายกัมพูชาต้องการคือการตีความนอกเหนือคำพิพากษาของศาล ซึ่งศาลไม่มีอำนาจ นั่นคือท่าทีเราที่สู้ออกไป”

“การใช้ศาลโลกคือกระบวนการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศโดยสันติวิธี และเราต้องยอมรับอำนาจศาล ถ้าศาลบอกอย่างไรก็ต้องทำตามนั้น ไม่ใช่บอกว่าให้ศาลตัดสิน ถ้าชนะ ฉันรับ ถ้าแพ้ ฉันไม่เอา ไอ้อย่างนี้ก็เกเร นี่คือสิ่งที่รัฐบาลพยายามอธิบายประชาชน ในกรณีนี้ก็มีคนบอกว่าไม่ต้องรับคำตัดสินอันนี้ได้ไหม อันนี้มันไม่ใช่คำตัดสิน มันคือการตีความคำตัดสิน และมันผูกพันกับเราอยู่แล้ว ซึ่งถ้าเราไม่เข้าไปในกระบวนการแปลว่าอะไร ศาลเขาก็ไม่มีทางอื่น เขาก็ต้องรับข้อมูลจากกัมพูชาฝ่ายเดียว ถูกไหม ในเมื่อไทยบอกว่าฉันไม่เอา พอศาลตัดสินมา เราก็ต้องไปแก้ตัวกับประชาคมโลก ฉันไม่รู้ ฉันไม่เอา ถามว่าทำได้ไหม ก็อาจจะทำได้ หากเราเป็นอย่างสหรัฐฯ”

เขาย้ำว่า เรื่องการต่างประเทศต้องไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ต้องพูดเป็นเสียงเดียวกัน ที่สำคัญ ปมเขาพระวิหารเป็นประเด็นเทคนิคสูงมาก ไม่ใช่ใครๆ จะมีความเห็นได้ รวมถึงตัวเขาด้วย

“วันนี้มันเหมือนกับเขาวินิจฉัยโรคขึ้นมาอันหนึ่ง เราไม่ได้เป็นหมอ เราเป็นกองเชียร์ ก็บอกอันนี้มันน่าจะเป็นสาเหตุ ทุกคนก็จะมีความเห็นไปกันหมด แต่ที่สุดแล้วมันต้องฟังคนที่เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่เรื่องนี้มันก็ 2 ด้าน มันเกี่ยวกับทุกคน ทุกคนย่อมอยากจะมีสิทธิ มีเสียง มีความเห็น แต่มันเป็นเรื่องเทคนิคมาก และเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ก็ต้องฟังนักกฎหมายระหว่างประเทศผู้เชี่ยวชาญด้านเขตแดนด้วยนะ ไม่ใช่นักกฎหมายระหว่างประเทศที่เชี่ยวชาญด้านอื่น”

“บังเอิญก่อนหน้านี้ผมมีหน้าที่ต้องเดินสายทั่วประเทศไทยในการไปอธิบายประชาชน ไอ้ช่วงที่กระทรวงการต่างประเทศโดนชี้หน้าว่าขายชาติ ผมไปนี่ผมโดนหมดเลยนะ แต่เราก็…ไม่รู้จะทำอย่างไร เราไปก็เอาความจริงไปอธิบาย”

ถือเป็นบทบาทที่มาพร้อมประสบการณ์ด้านมืดในทุกขณะจิต และทำให้ “นักการทูต” ตระหนักว่าการเจรจากับคนในยากกว่าการตกลง-ต่อรองระดับสากล

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันเหมือนกับเราจัดทีมทนายขึ้นมาเพื่อสู้คดีให้ประเทศ แต่คนไทยเรากลับตีหัวทนายทุกวัน แทนที่จะช่วยกันจับตาดูว่าฝ่ายตรงข้ามทำอะไร และหลายเรื่องพอหยิบขึ้นมาพูดกัน มาโจมตีกัน เราก็ต้องชี้แจงกับคนไทยด้วยกันเองก่อน ทุกข้อมูลจึงถูกเปิดออกหมด ทางกัมพูชาเขาดูทีวีไทยเขาก็รู้หมดสิ ถึงเวลาเลยไม่มีข้อมูลที่จะไปต่อสู้ไปอะไรได้ ผมว่าอันนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องคิดให้มาก อย่างที่ผมบอก เรื่องการต่างประเทศมันแบ่งฝักแบ่งฝ่ายไม่ได้”

บทสนทนาทั้งหมดนี้เกิดขึ้น ณ สถานกงสุลใหญ่นครลอสแอนเจลิสสองวันก่อนที่ “สนธิ ลิ้มทองกุล” แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะเดินทางมาแอลเอเพื่อเปิดปราศรัย-ปลุกใจ “พลพรรคกู้ชาติ” จึงน่าสนใจว่า “เจษฎา” เตรียมดับไฟอย่างไร หลัง “เครือข่ายพันธมิตรฯ” จุดกระแสเขาพระวิหารจากเมืองไทยตั้งแต่สัปดาห์ก่อน?

“ไม่ทราบ แต่ถ้าเขาพูดมา เราก็ฟัง ถ้ามีการถาม เราก็จัดการ อันนั้นไม่เป็นไร”

ถือเป็นคำทิ้งท้ายของบุรุษผู้ประกาศตนขอเป็นคน “ตาบอดสี” ทว่าไม่ยอมพ่วงอาการหูดับ

เพราะบางเรื่องแม้ไม่อยากเห็น แต่จำเป็นต้องได้ยิน!!!