ประเด็นที่พูดถึงมากสุดในโซเชียลมีเดียในรอบสัปดาห์ 30 ธ.ค. 2555–5 ม.ค. 2556
“สวัสดีปีใหม่” ปีงูเล็ก 2556 พร้อมสายลมหนาว ที่สร้างความเบิกบานใจในวันหยุดพักผ่อนยาวของคนไทย หลังผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มากมายมาตลอดปี 2555 ขอให้ผู้อ่าน “ไทยพับลิก้า” มีความสุขสันต์ หรรษา ร่าเริง ตลอดปี 2556
เรื่องฮอตในโลกโซเชียลมีเดียตั้งแต่เริ่มปีพุทธศักราช 2556 มีคำอวยพรส่งความสุขกัน ภาพการท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดยาว ความสวยงามของธรรมชาติ และที่แชร์ต่อกันมากก็คือคำอวยพรของ “พ่อหลวง” ของคนไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระราชทานพระราชดำรัสในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 1 มกราคม 2556 ให้พรคนไทยทั้งประเทศโดยมีความว่า
“ประชาชนชาวไทยทั้งหลาย บัดนี้ถึงวาระจะขึ้นปีใหม่ ข้าพเจ้าขอส่งมอบความปรารถนาดีมาอวยพรแก่ท่านทุกคนให้มีความสุข มีความเจริญ และความสำเร็จสมประสงค์ในสิ่งที่ปรารถนา ข้าพเจ้าขอขอบใจท่านเป็นอย่างมากที่พรั่งพร้อมกันมาให้กำลังใจแก่ข้าพเจ้าในคราววันเกิด ด้วยความหวังดีจากใจจริง น้ำใจไมตรีจิตที่ทุกคนทุกฝ่ายแสดงออกในวันนั้นยังประทับอยู่ในความทรงจำของข้าพเจ้าไม่รู้ลืม
ในปีใหม่นี้ ข้าพเจ้ายังปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเห็นคนไทยได้ทำจิตทำใจให้มั่นคงอยู่ในความเมตตาและหวังดีต่อกัน ดูแลเอาใจใส่กัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ให้กำลังใจแก่กันและกัน ผูกพันกันไว้อย่างญาติและฉันมิตร ทุกคนทุกฝ่าย ก็ได้ร่วมมือกันสร้างสรรค์ความสุขความเจริญมั่นคงให้แก่ตนและชาติได้ดั่งที่ตั้งใจปรารถนา ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงคุ้มครองรักษาท่านทุกคนให้ปราศจากทุกข์ ปราศจากโรคภัย ให้มีความสุขกาย สุขใจ ตลอดศกหน้านี้โดยทั่วกัน”
นอกจากนี้ กระแสที่ชาวออนไลน์พูดถึงต้อนรับปีงูเล็กอย่างต่อเนื่อง ยังคงเป็นเรื่องที่สืบต่อจากเหตุการณ์ในปีที่ผ่านมา และช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่
เรื่องแรก สร้างความฮือฮาให้กับสาวก iPhone ต้อนรับปีใหม่กันเลยทีเดียว เมื่อประเทศจีนซึ่งขึ้นชื่อเรื่องของการลอกเลียนแบบ ให้ของขวัญปีใหม่ผู้ชื่นชอบการใช้งานโทรศัพท์ iPhone 5 แต่งบประมาณน้อยนิด ด้วยการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุด หน้าตาคล้ายกับ iPhone 5 จนแทบจะแยกกันไม่ออก โดยใช้ชื่อว่า ZoPhone i5 ( โซโฟนไอ 5 ) ซึ่งตัวเครื่องมีขนาดและรูปร่างเหมือนกับ iPhone 5 ทุกประการ ยกเว้นแต่ชื่อแบรนด์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน เพราะมีตัวอักษร ZO ตัวใหญ่ แทนสัญลักษณ์รูป Apple ของ iPhone
สำหรับสเปคของเครื่อง ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 4.0, ระบบประมวลผลแบบ MTK MT 6577 1 GHz dual-core ความเร็ว 1 GHz, RAM 1GB, หน่วยความจำภายใน 4 GB ตัวเครื่องมีช่องใส่การ์ด MicroSD รองรับความจุ 4–32 GB, รองรับ 3G, Wi-Fi, Bluetooth, GPS, กล้องหลังความละเอียด 8 ล้านพิกเซล, กล้องหน้าความละเอียด 3 แสนพิกเซล, ขนาดหน้าจอ 4 นิ้ว ความละเอียด 1136 × 640 พิกเซล, แบตเตอรี่มีความจุ 1,400 mAh
สำหรับราคาของ ZoPhone i5 ถูกตั้งไว้ที่ 230 เหรียญ ซึ่งคิดเป็นเงินไทยก็อยู่ที่ประมาณ 7,130 บาท เท่านั้นเอง
“มีข้อสงสัยว่า ทำไมแอปเปิ้ลไม่ฟ้องจีนบ้าง ทั้งๆ ที่ผ่านมาจีนทำของเลียนแบบสินค้าของแอปเปิ้ลเยอะมาก ตั้งแต่ไอพอด ไอแพด ไอโฟน แถมก็อปแบบเหมือนมากๆ เหมือนกว่าของซัมซุงอีก แต่แอปเปิ้ลกลับฟ้องแต่ซัมซุง ไม่เคยฟ้องจีน อันนี้สงสัยจัง”
“สงสัยไอโฟนต้องพึ่งกำลังการผลิตจากจีนเลยไม่ได้ฟ้องจีนมั้ง”
“เค้าขายคนละตลาดกันคะ บ้านเค้ายังใช้ชื่อสินค้าอื่น แต่คุณรู้มั้ยคะ ว่าไทยก็ ก็อบ เก่งติดอันดับโลกเหมือนกัน เหมือนของแท้ด้วยน่ะคะ ทั้งชื่อยังไม่ผิดเพี้ยน”
“คงเป็นเพราะที่ Apple ไม่ฟ้อง Zophone ก็เพราะว่ายอดขายของ Zophone ไม่ได้มีผลกระทบกับบริษัท Apple เท่าไหร่ ผิดกับ Sumsung ที่สามารถตีตลาดและเป็นคู่แข่งตัวสำคัญของ Apple ได้มากกว่า”
“เค้าก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ทำไมต้องไอโฟน แค่ 5000 ก็ใช้ได้เหมือนๆกัน จำเป็นอะไรต้องไปเสียเงินถึง 20000 ใช้แล้วทิ้ง โทรศัพท์นะสัก 2-3 ปีเปลี่ยนที ไม่ได้ใช้จนพังคามือ เพราะฉะนั้นเงิน 20000 ที่จะต้องไปเสียให้ไอโฟนก็คงไม่จำเป็น”
“คนส่วนใหญ่จะดูถูกจีนว่าไม่ดี อย่างนั้นอย่างนี้ แต่ผมซึ่งปัจจุบันทำงานในสายงานก่อสร้าง คุณจะรู้ว่าสินค้าเกือบทุกอย่าง มีฐานผลิตในจีนทั้งนั้น สินค้าบางตัวอ้างว่ามาจากยุโรป ญี่ปุ่น จริงๆ แล้วก็ผลิตมาจากจีน แล้วมาตีตรา ตั้งแต่ลิฟต์โดยสาร หม้อแปลง คอมพิวเตอร์ สายไฟ โทรศัพท์ฯลฯ ทุกวันนี้จีนไปไกลมาก ระบบอุตสาหกรรมน่าจะใหญ่ที่สุดในโลก เพียงแต่จีนยังไม่สามารถสร้างยี่ห้อของตัวเองได้เท่านั้น ซึ่งน่าจะอยู่ในช่วงการพัฒนาคนและคุณภาพสินค้า (เหมือนญี่ปุ่นในช่วงแรกๆ ที่ก็อปแหลกแล้วพัฒนาในภายหลัง) แต่คงอีกไม่เกินสี่ห้าปีหรอก ที่จะได้เห็นแบรนด์เทียบเท่า”
เรื่องที่สอง เรื่องราวสะเทือนใจที่เกิดขึ้นในกรุงเดลี ประเทศอินเดีย เมื่อนักศึกษาแพทย์ชาวอินเดีย วัย 23 ปี ผู้เคราะห์ร้ายถูกกระทำทารุณจากชาย 6 คน ที่รุมข่มขืนและทำร้ายร่างกายบนรถโดยสารประจำทางเป็นเวลานานกว่า 1 ชั่วโมง ก่อนโยนตัวหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายลงจากรถเมล์ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2555 ที่ผ่านมา จนนักศึกษาสาวรายนี้อาการสาหัส อวัยวะภายในล้มเหลว ร่างกายและสมองได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก ต้องส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลเมาท์ เอลิซาเบธ ประเทศสิงคโปร์ ก่อนจะเสียชีวิตในวันที่ 29 ธันวาคม 2555
เรื่องนี้สร้างความสลดใจให้ผู้คนในประเทศอินเดียเป็นจำนวนมาก จนมีการรวมตัวกันประท้วงเรียกร้องให้มีการลงโทษผู้ก่อเหตุอย่างหนัก รวมทั้งร่วมกันจุดเทียนไว้อาลัยให้นักศึกษาแพทย์รายนี้ อีกทั้งยังมีการรวมตัวกันของกลุ่มต่อต้านการข่มขืนในอินเดียซึ่งใช้ชื่อว่า “American Playwright” ออกมาเรียกร้องและต่อต้านการก่ออาชญากรรมทางเพศไม่เพียงแต่ในอินเดียเท่านั้น แต่ยังเรียกร้องให้ทั่วโลกออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ และทางด้านหญิงสาวในอินเดียที่เกิดความตื่นกลัว ก็ได้รวมตัวกันเพื่อยื่นขอใบอนุญาตพกพาอาวุธปืนและซื้อปืน ไว้เพื่อป้องกันตัวอีกด้วย
ตามรายงานข่าวกล่าวว่า นายกรัฐมนตรี มานโมฮัน ซิงห์ ของอินเดีย ได้กล่าวแสดงความเสียใจและโศกเศร้ากับการจากไปของนักศึกษาแพทย์คนดังกล่าว พร้อมให้คำมั่นสัญญาว่าจะสร้างความปลอดภัยให้กับสตรีในอินเดีย หลังเกิดการประท้วงและพยายามบุกเข้าไปในทำเนียบขาวด้วยความไม่พอใจจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บนับร้อยคน พร้อมยังระบุว่าจะดำเนินมาตรการขั้นเด็ดขาดกับผู้ที่ก่ออาชญากรรมทางเพศ
อย่างไรก็ตาม คนร้ายทั้ง 6 คนที่ก่อเหตุถูกจับกุมตัวได้แล้ว และอยู่ในขั้นตอนกระบวนการตัดสินของศาล และหนึ่งในนั้นเป็นผู้ต้องหาที่มีอายุเพียง 17 ปีเท่านั้น ซึ่งตามขั้นตอนตามกฎหมาย โทษสูงสุดของผู้ต้องหาทั้ง 6 คนนี้คือ ประหารชีวิตตามข้อหา ข่มขืน ลักพาตัว และฆาตกรรมผู้อื่น
“ขอแสดงความเสียใจกับทางครอบครัวผู้เสียชีวิต แต่มองในอีกมุม คุณจะเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญของประเทศ คุณอาจคือคนที่จะพลิกชะตาชีวิต ของผู้หญิงทั้งประเทศก็เป็นไปได้ ขอให้คุณไปอย่างสงบ”
“ถ้าไม่เจอกับคนในครอบครัวไม่รู้สึกหรอก กับคนที่เข้าข้างคนผิดส่วนเราแค่เห็นข่าวพวกนี้แล้วมันเศร้าอ่ะ คนทำสมควรตายสถานเดียวเพราะทำให้น้องเขาตายอย่างทรมานมันก็ควรตายอย่างทรมานกว่าหลายเท่า”
“ทำผิดแบบไหน ก็ลงโทษแบบนั้น ข่มขืนเค้าจนตาย ก็ต้องโดนข่มขืนบ้างจนกว่าจะตาย ให้ได้รู้สึกถึงความรู้สึกนั้นบ้าง”
“ทุกคนมีชีวิตจิตใจ คุณระบายอารมณ์ของคุณเพียงครั้งเดียว ก็อาจทำให้คนๆ หนึ่งตายได้ทั้งชีวิต แม้ผู้หญิงต่างชาติ อาจจะนอนกับผู้ชายได้เป็นสิบ แต่ถ้าโดนขมขื่นถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะว่ามันทำร้ายจิตใจของคนๆนั้น เพราะผู้หญิงไม่ใช่ผู้หญิงขายตัวทุกคนที่จะนอนกะใครก็ได้โดยไม่มีความรู้สึก ผู้หญิงขายตัวบางคนก็ยังทำเพราะความจำเป็นแต่จริงๆแล้วอาจขยะแขยงก็ได้”
“อยากให้เปลี่ยนกฏหมายทั่วโลก “คดีข่มขืนให้ ประหารผู้ร่วมก่อเหตุ ” เพราะอะไรถึงต้องประหาร การข่มขืนคือการ ที่บังคับ ขืนใจ ผู้อื่นโดยเจตนา ผู้ที่ถูกคนอื่น สร้างความอับอาย และเสื่อมเสียแก่ผู้นั้นไปชั่วชีวิต ไม่มีทางนำกลับมาได้ดังเดิม บางรายอาจเสียสติ บางรายถึงขั้นเสียชีวิต ถึงผู้ก่อเหตุจะขอโทษสิ่งที่ทำมาก็ไม่ได้หมายความว่า จะนำสิ่งที่เสียไปแล้วกลับมาได้ และไม่มีการรับผิดชอบทุกอย่าง โทษประหาร เหมาะสมกับ บุคคลเหล่านี้แล้ว เหตุที่ว่าทำกฏหมายแบบนี้ไม่ได้เพราะ คนออกกฏหมาย ทำเพื่อพวกพองของตัวเอง ถ้าเป็นลูกหลานคนใหญ่คนโต โทษประหาร จะรุนแรงไป จึงลดโทษ กึ่งนึง หรือแค่ปรับ จำคุก แต่กฏหมายก็คือกฏหมาย มีศาลเท่านั้นที่กุมอำนาจทั้งหมดไว้ ถ้าเป็นประเทศที่เคร่งศาสนา ก็โดนประหารไปละ”
เรื่องที่สาม กลายเป็นเรื่องราวให้พูดถึงกันตั้งแต่ต้นปี เมื่อมีกระแสพูดถึง “วัฒนธรรมโซตัส” (SOTUS) หรือการเคารพรุ่นพี่ในรั้วมหาวิทยาลัยไทย ที่ปฏิบัติสืบต่อกันมายาวนาน จากแฟนเพจเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า ASEAN Community ที่บอกว่าว่าโซตัสเป็นวัฒนธรรมที่ป่าเถื่อน ล้าหลัง และไม่ได้ช่วยพัฒนาความคิดให้แก่เด็กไทย
อย่างไรก็ตาม ตามความเชื่อที่มีมานาน วัฒนธรรมโซตัสนี้เป็นวัฒนธรรมการฝึกนักศึกษาที่พบในสถาบันอุดมศึกษาบางแห่ง มีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักศึกษาที่เข้าใหม่รู้จักเคารพรุ่นพี่และอาจารย์ รวมถึงสร้างจิตสำนึกในการรักสถาบัน และสาขาวิชาที่เรียน เพื่อความสามัคคีในหมู่คณะ
โดยจากแฟนเพจเฟซบุ๊ก ASEAN Community มีการโพสต์เรื่องราวเกี่ยวกับการบูม หรือการร้องเพลงเชียร์ให้กับบัณฑิตของนักศึกษา ก็ทำให้ชาวเน็ตต่างชาติบางส่วนได้แสดงความคิดเห็นในแง่ลบต่อระบบดังกล่าว ที่บ้างก็มองว่า วัฒนธรรม SOTUS นั้นล้าหลัง ลดทอนความเป็นมนุษย์ ไม่ได้ก่อให้เกิดการพัฒนาการศึกษาและความคิด หรือเด็กไทยไม่ได้ถูกกระตุ้นให้คิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking) หรือ เด็กไทยยังไม่ได้รับอนุญาตให้ตัดสินใจเลยว่าควรจะแต่งตัวไปเรียนแบบไหน เพราะมีชุดนักศึกษาที่เป็นรูปแบบเดียวกันหมด
“ระบบโซตัสทำให้นักศึกษามหาวิทยามีความรักสถานบัน และมีความเคารพต่อบุคคลที่มีอายุมากกว่าและที่สำคัญทำให้มีความสามัคคีไม่เห็นจะป่าเถื่อนตรงไหน ระบบโซตัสไม่มีการทำร้ายรุ่นน้อง ถือว่าไม่ป่าเถื่อนนะ”
“ผมไม่ตามกระแสครับ เพราะผมคนนึ่งที่ต่อต้าน sotus สมัยเรียน ผมต่อต้านอย่างแรงไม่ร่วมการกระทำแบบนั้น ผมก็เคารพในรุ่นพี่และอาจารย์ ผมก็ยังเรียนจบ มีงานทำที่ดีๆ และเป็นคนดีของสังคมได้เลย”
“ตามข่าวที่เคยเห็น รุ่นน้องหลายคน ก็ต้องเจ็บตัว และเสียชีวิตจากวัฒนธรรมนี้มาแล้วนะ แต่ทำไมยังไม่มีการปรับปรุง ยังคงปฏิบัติจนเป็นที่วิจารณ์กันอย่างต่อเนื่องแบบนี้”
“ถึงระบบนี้ในมุมมองคนไทยอาจจะไม่ป่าเถื่อน ถ้าไม่ทำร้ายรุ่นน้อง แต่เราไม่มีกฏระเบียบไปบังคับไม่ให้เขาทำร้ายรุ่นน้องได้ และถ้าเขาจะทำร้ายเราก็ไม่รู้และเราก็ห้ามเขาไม่ได้เพราะเราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ดังนั้นเมื่อมีคนวิจารณ์ เราก็ควรนำมาคิดปรับปรุงเพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้น ไม่ใช้ให้มันเกิดเรื่องแย่ๆขึ้นแล้วมาแก้ทีหลัง”
“ไม่ได้ตามประแส แต่แอบคิดมานานแล้วว่าการทำแบบนี้ มันทำให้รุ่นพี่ที่ดีหรือไม่ดีก็แล้วแต่ บ้าอำนาจ พอน้องๆ ร้อมลอบบูม ก็รู้สึกเหมือนตัวเองใหญ่ มีการทำร้ายร่างกายหรือไม่นั้น เราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่ดูจากเทคนิค เทคโน ต่างๆ ก็น่าจะรู้กันอยู่”
“ถ้าวันนึงคุณเรียนจบแล้ว วันที่คุณรับปริญญา มีรุ่นน้องมาแสดงความดีใจด้วยการบูมให้ แล้วคุณจะรู้ว่ามันรู้สึกดีแค่ไหน ผมเองขนลุกทั้งตัว มันเป็นอะไรที่สุดยอดมาครับ ที่ต่างชาติมันว่าเรา เพราะมันไม่มีอะไรดีๆ แบบเรามันเลยไม่เคยรู้ แต่ถ้าเรื่องที่ว่ามันรุนแรง มันไม่เกี่ยวกับระบบหรอก มันเกี่ยวกับคนมากกว่า ผมไม่เห็นว่าระบบ SOTUS มันเป็นการให้ใช้ความรุนแรงเลย”
เรื่องที่สี่ ถือเป็นภาพความประทับใจที่มหัศจรรย์ต้อนรับปี 2556 เมื่อสังคมออนไลน์ มีการแชร์ภาพทารกน้อยที่แอบจับมือคุณหมอขณะกำลังผ่าคลอดให้กับคุณแม่รายหนึ่งในสหรัฐอเมริกา โดยผู้เป็นคุณพ่อสามารถจับภาพไว้ได้
ตามรายงานข่าว คุณพ่อลูกสามรายนี้เล่าให้ฟังถึงภาพเหตุการณ์มหัศจรรย์อันเป็นความประทับใจแห่งชีวิตนี้ด้วยความตื่นเต้นว่า ขณะทำการผ่าตัดทำคลอด คุณหมอที่ผ่าคลอดได้บอกกับตนเองว่าลูกสาวยื่นมือมาจับนิ้วคุณหมอไว้ คุณพ่อจึงรีบวิ่งไปหยิบกล้องและถ่ายภาพไว้ทันที และได้นำภาพไปโพสต์ในเฟซบุ๊กของตนเอง ส่งผลให้มีผู้ที่ชื่นชอบมากดไลค์เป็นพันครั้ง และบางคนก็ได้ติดต่อขอซื้อภาพนี้ไว้ โดยตนเองคาดว่าจะนำภาพนี้ไปให้องค์กรที่ต่อต้านการทำแท้งเพื่อเป็นจุดหนึ่งในการสร้างความงดงาม และเห็นความสำคัญของการให้กำเนิด การให้ชีวิต สิ่งมหัศจรรย์ที่สร้างความปลาบปลื้มใจบนโลกใบนี้
โดยทางเว็บไซต์สปริงนิวส์ได้มีการรายงานข่าวและนำบทสัมภาษณ์ของคุณพ่อคุณแม่คู่นี้มาออกอากาศไว้ด้วย
“แค่เห็นภาพ น้ำตาก็จะไหลแล้ว ประทับใจมากจริงๆ”
“เด็กคือผ้าขาว บริสุทธิ์และไร้เดียงสามากๆ ที่สำคัญลูกคือจุดเปลี่ยนชีวิต พ่อแม่ ให้มีคุณค่าขึ้นมา นับตั้งแต่วินาทีแรก ที่เขามาอยู่ในท้อง”
“รูปน่ารักมาก บอกได้คำเดียวว่าน่ารัก”
“เห็นภาพแบบนี้แล้วรักแม่ขึ้นมาทันทีเลย”
“นู๋น้อยคงดีใจ ที่คุณหมอผู้ใจดี มาช่วยให้เขาได้ออกมาพบพ่อแม่ของเขาไวไว”
เรื่องที่ห้า เป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก เมื่อละครโทรทัศน์ของสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 เรื่อง “เหนือเมฆ 2 ตอน มือปราบจอมขมังเวทย์” ที่ออกอากาศในคืนวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ เวลา 20.30-22.45 น. และมีแฟนละครที่ติดตามกันอย่างมาก แต่อยู่ๆ ก็ถูกถอดออกแม้จะยังไม่จบ และมีละครใหม่เรื่อง “แรงปรารถนา” ออกอากาศแทนในคืนวันศุกร์ที่ 4 มกราคม จากเดิมที่มีกำหนดจะออกอากาศตอนจบในวันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม 2556 ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 แจ้งแฟนละครล่วงหน้าเพียงไม่นาน โดยมีการประกาศแจ้งเป็นข้อความและตัววิ่งระบุว่า “งดออกอากาศละคร “เหนือเมฆ 2″ เนื่องจากมีเนื้อหาในบางตอนที่ไม่เหมาะสม และนำละครเรื่องใหม่มาออกอากาศแทน”
หลายสำนักตีข่าวกันว่า มีนักการเมืองรายใหญ่เป็นผู้สั่งให้ยุติการออกอากาศ สาเหตุเพราะเนื้อหาของละครมีเค้าโครงที่ระบุพาดพิงถึงเรื่องการเมืองและการคอร์รัปชัน บางฉากบางตอนมีการระบุพฤติกรรมของนักการเมืองในเชิงลบ อาทิ กรณีที่ไปเกี่ยวข้องกับสัมปทานดาวเทียม
อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นของสัปดาห์ ทางด้านนางเอกของเรื่อง มิ้นต์ ชาลิดา วิจิตรวงศ์ทอง ได้มีการโพสต์ข้อความลงในแฟนเพจเฟซบุ๊กของตนที่ใช้ชื่อว่า “Mint Chalida Vijitvongthong” โดยมีเนื้อหาว่า “สวัสดีคะ เหนือเมฆต้องจบภายในวันศุกร์นี้นะคะ เพราะเนื้อเรื่องเกี่ยวกับนักการเมือง คะ :(”
แต่หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นจำนวนมากจากบรรดาแฟนคลับ บนหน้าแฟนเพจเฟซบุ๊กของสาวมิ้นต์ก็มีข้อความต่อมาว่า “สวัสดีคะ เมื่อเย็นนี้ทางเราบอกไปว่า เหนือเมฆ 2 จบวันศุกร์ แล้วมีคนนำข้อความในเพจไปวิจารณ์ในหลายๆ ที่ ซึ่งทางเราขอชี้แจงว่า ทางเราได้ยินมาจากรายการ “ครอบครัวบันเทิง” ซึ่งพี่เบนซ์พูดว่าละครแรงปรารถนา จะมาออนแอร์ภายในอาทิตย์นี้ เราก็เลยคาดเดาว่าเหนือเมฆ 2 จบวันศุกร์นี้ ซึ่งสาเหตุที่จบทางเราคาดว่าเพราะมีเนื้อหาด้านการเมือง ก็เลยเป็นมีคนนำข้อความไปพาดพิงถึงเรื่องการเมืองใหญ่โต จริงแล้วคือการคาดเดาแค่นั้นเอง ขอบคุณมากค่ะ #admin”
ข้อความในแฟนเพจของสาวมิ้นต์ ได้สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์เบาๆ เพราะยังไม่มีมูลความจริงมากนัก แต่เมื่อพอถึงคืนวันศุกร์ ความแน่ชัดของกระแสข่าวลือว่าละครมีเนื้อหาที่พาดพิงการเมืองจนนักการเมืองรับไม่ได้นั้นยิ่งชัดเจน เพราะมีการสั่งงดออกอากาศ และนำเรื่องใหม่มาออกอากาศแทนทันที
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวหลายสำนักพยายามติดต่อไปยังผู้ผลิตละคร คือ “ฉัตรชัย เปล่งพานิช” แต่ก็ยังไม่มีสื่อใดสามารถติดต่อได้ มีแต่เพียงการโพสต์ข้อความผ่านอินสตาแกรม ของนางเอกคู่ขวัญในชีวิตจริงอย่าง “นก-สินจัย เปล่งพานิช” ซึ่งเป็นหนึ่งในนักแสดงของเรื่องว่า “อย่ากลัวที่จะเป็นคนดี อย่าอายที่จะทำดี เป็นกำลังใจให้ทีมงาน ละครเหนือเมฆ 2 และเป็นที่แน่นอนแล้วว่า ละครเหนือเมฆ 2 จะจบในวันศุกร์นี้ “ฉันเชื่อและศรัทธาในความดี.. อย่ากลัวที่จะเป็นคนดี อย่าอายที่จะทำดี” #นภา#เหนือเมฆ2”
อีกทั้งยังมีโพสต์ข้อความต่ออีกว่า “ไม่สำคัญว่าเกิดอะไรขึ้น สำคัญที่คุณคิดอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น..ขอบคุณทุกกำลังใจค่ะ”
และทางด้านพระเอกของเรื่อง หมาก ปริญ สุภารัตน์ โพสต์เพียงข้อความสั้นๆ ในอินสตาแกรมของตนเองว่า “ไม่เป็นไร”
อีกทั้งทางด้านเว็บไซต์มติชนออนไลน์ ยังมีการสัมภาษณ์นายบริสุทธิ์ บูรณะสัมฤทธิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินงานสถานีโทรทัศน์ไทยช่อง 3 โดยนายบริสุทธิ์ ให้สัมภาษณ์ว่า ยังไม่ทราบเรื่อง อย่างไรก็ตาม “เหนือเมฆ 2” เป็นละครภาคต่อ ตอนทำภาคแรกออกอากาศปี พ.ศ. 2553 ก็มีเนื้อหาเกี่ยวกับนักการเมืองเช่นกัน แต่ครั้งนั้นกลับไม่มีปัญหา อีกทั้งภาคนี้ตัวละครส่วนมากก็มาจากภาคก่อน อย่างไรก็ตาม ต้องรอความชัดเจนจากผู้บริหารอีกครั้ง
แต่อย่างไรก็ตาม ในคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา กระแสละครดัง “เหนือเมฆ 2 ตอน มือปราบจอมขมังเวทย์” ก็เป็นที่หนึ่งของทอล์คออฟเดอะทาวน์บนโลกออนไลน์ไปแล้ว
“ละครเขาก็ขึ้นให้เห็นก่อนเริ่มเรื่องแล้วว่าเป็นเรื่องราวที่สมมุติขึ้น ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับความเป็นจริง แต่ในทางกลับกัน ความเป็นจริง คนบางพวกกลับคิดไปใหญ่โตว่าเค้าสร้างมาให้แสดงถึงนิสัยธาตุแท้ของพวกเขาทั้งๆ ที่ถ้าที่บริสุทธิ์จริง จะแบนทำไมจริงมั๊ย ทำดีแค่บังหน้า แต่แท้ที่จริงข้างในก็ไม่ต่างอะไรกับในหนังเลย”
“แรงเงา ตบตีแย่งผัว ทำไมถึงฉายได้ แถมคุณประวิทย์ยังปลื้มอกปลื้มใจเอามากๆที่เรตติ้งสูงสุดตั้งแต่ทำละครมาและสามารถแซงช่อง7ด้วยซ้ำ แต่พอเหนือเมฆพูดถึงนักการเมืองชั่วที่ทุจริตคอร์รัปชันทำไมถึงกลายเป็นมีเนื้อหาไม่เหมาะสมซะงั๊น ทั้งๆที่สังคมไทยทุกคนก็รู้ว่านักการเมืองที่ทุจริต คอร์รัปชันมีอยู่จริง แล้วเป็นปัญหาเรื้อรังของสังคมไทย หรือช่อง3สนับสนุนเห็นว่าการทุจริตคอร์รัปชันเป็นเรื่องดี!!”
“รัฐบาลไทยหัวใจเปราะบางมาก ละครกระทบหน่อยสั่งปิด ทีคนเผาบ้านเมืองให้บริหารประเทศอยู่ได้!! เอาภาษีของประชาชน ไปนั่งดูละคร และจับผิด เลยไม่มีเวลาพัฒนาประเทศ 3ชายแดนใต้ ตำรวจ ทหาร ครู ตายกันทุกวัน ปากท้องประชาชน ทำไมไม่สนใจ เเต่เอาเถอะ อย่าโทษเค้า เพราะนี่เเหละที่พวกคุณเลือกกันมา!!”
“ดูก็รู้ว่าเขาเสียดสีการเมือง แต่ไม่คิดว่าจะมีคนร้อนตัวได้ขนาดนี้ ยิ่งเขาทำอย่างนี้ ก็เท่ากับให้คนจดจำละครเรื่องนี้มากเท่านั้น และพวกเราก็จะเกลียดรัฐบาลชุดนี้มากขึ้นไปอีก ถึงว่าประเทศจึงมีแต่ถอยหลังเข้าคลอง เผด็จการชัดๆ”
“คุณเหนือเมฆ2 ผิดอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเล่ามา เป็นเรื่องสมมติ เข้าใจป่ะ?? ว่าสมมติ!! เขาไม่ได้พูดว่าว่า เรื่องนี้มีเค้าโครงจากเรื่องจริง มันบังเอิญรึเปล่า??”
“ช่อง 3 ทำแบบนี้ได้ไง ปล่อยการเมืองครอบงำ แบบนี้เห็นได้ชัดเลยว่าเลือกข้างฝั่งไหน ขอเป็นกำลังใจให้ทีมงานละครเหนือเมฆทุกคนค่ะ สู้ต่อไป ไม่เชื่อว่าความดีจะเอาชนะความเลวทรามของการเมืองไม่ได้ ทำแบบนี้ถ้าผู้จัดกลุ่มนี้ถอนตัวออกจากช่อง 3 แล้วจะรู้สึก”
“ยิ่งคุณห้ามไม่ให้ฉายต่อ แล้วคุณคิดว่าประชาชนเค้าจะไม่สงสัยหรือว่าเกิดอะไรขึ้น ต่อให้คุณปฏิเสธว่าไม่รู้ ไม่เห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็เถอะ