ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากสุดในโซเชียลมีเดียในรอบสัปดาห์ 3–10 พ.ย. 2555
สัปดาห์นี้มีเรื่องที่เป็นความภาคภูมิใจของคนไทย หลายคนโพสต์รูปและข้อความผ่านเฟซบุ๊ก, ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรมส่วนตัว ถึงความงดงามของขบวนเรือพยุหยาตราทางชลมารค ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ ไปทรงปฏิบัติหน้าที่แทนพระองค์ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน และประทับเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ โดยขบวนเรือพยุหยาตราออกจากท่าวาสุกรีไปตามชลวิถีท้องน้ำเจ้าพระยา เริ่มขบวนบริเวณสะพานพระราม 8 จนไปถึงวัดอรุณราชวรารามฯ
ทั้งนี้ขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ประกอบด้วย 5 ริ้วขบวน จำนวน 52 ลำ ได้แก่ เรือพระที่นั่ง 4 ลำ ซึ่งประกอบด้วย เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช, เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์, เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 และเรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ อีกทั้งเรือรูปสัตว์ 8 ลำ เรือพระราชพิธีอื่นๆ อีก 40 ลำ โดยใช้กำลังพลและฝีพายจากกองทัพเรือ และกำลังพลในส่วนอื่นๆ กว่า 2,300 นาย
สำหรับกาพย์เห่เรือ ได้ทำการประพันธ์ขึ้นมาใหม่ในชื่อ “กาพย์เห่เรือเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554″ ประพันธ์โดย นาวาเอกทองย้อย แสงสินชัย ข้าราชการบำนาญกองทัพเรือ มีทั้งสิ้น 3 บท ได้แก่ บทสรรเสริญพระบารมี บทชมเรือขบวน และบทชมเมือง โดยมีนาวาโทณัฐวัฏ อร่ามเกลื้อ เป็นพนักงานเห่
และมี 5 จุดหลัก ที่เปิดให้ประชาชนเข้าชมได้ฟรี ได้แก่ สวนหลวงพระราม 8 (เชิงสะพานพระราม 8 ฝั่งธนบุรี), สวนสันติชัยปราการ (ถนนพระอาทิตย์), สถานีรถไฟธนบุรี (เดิม), สวนนาคราภิรมย์ (ท่าเตียน) และ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
มาที่ เรื่องแรก กับคดีลอบสังหารที่เป็นหลายคนสงสัยว่าจริงหรือหลอกจนเป็นข่าวคึกโครม เมื่อนายโอ๊ค พานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กของตนว่า มีบุคคลพยายามจะทำการลอบสังหารบิดาของตน ณ จังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า ช่วงสุดสัปดาห์นี้ อีกทั้งยังบอกอีกว่าผู้สั่งการอยู่เบื้องหลังเป็นบุคคลเดิม โดยเป็นการเชื่อมโยงจากกรณีมีการจับกุมชนกลุ่มน้อย และพบอาวุธสงครามจำนวนมาก ตามที่เคยเป็นข่าวมาแล้ว อีกทั้ง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ก็ออกมายืนยันว่า มีการลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณในประเทศพม่าจริง โดยรายละเอียดของข้อความที่โอ๊คได้เขียนไว้มีดังนี้
“คุณพ่อผมเป็นคนที่ไม่เคยกลัวตายครับ”
หลายครั้งที่คุณพ่อผมอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลม เวลามีคนทักด้วยความเป็นห่วง คุณพ่อมักจะบอกว่า “ไม่ต้องห่วง ผมมีพระดี” แล้วก็เปิดคอเสื้อให้ดูพร้อมกับบอกว่านี่ไง “หลวงพ่อหนัง” (คือหนังล้วนๆ ไม่มีอะไรแขวนคอเลยครับ) การจะไปท่าขี้เหล็กครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน คุณพ่อผมก็ไม่กลัวเหมือนเช่นเคย จากข้อมูลจริงในพื้นที่, สมมุติฐานที่สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวใน กทม. และข้อมูลจากการลอบสังหารในอดีต ซึ่งผมได้ลงในโพสต์ที่แล้ว พื้นที่นี้ยังเป็นพื้นที่ ที่ทาง ปปส. กำหนดให้เป็นสีแดง มีชนกลุ่มน้อยกลุ่มต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด และผู้ค้ายาของไทยที่มีคดีติดตัว หลบหนีไปอยู่เป็นจำนวนมาก และก็สืบเนื่องมาจากสมัยที่คุณพ่อผมเป็นนายกฯ ได้กดดันและปราบปรามผู้ค้ายาเสพติด จนกระทั่งแทบจะหมดไปจากผืนแผ่นดินไทย ซึ่งแน่นอนว่าคนกลุ่มนี้ย่อมเสียผลประโยชน์ และก็จัดอยู่ในกลุ่มที่เป็นปฏิปักษ์กับคุณพ่อผม และเป็นอีกกลุ่มที่มีอิทธิพลในพื้นที่มากพอที่จะปฏิบัติการโดยใช้ความรุนแรงได้
จากข้อมูลเหล่านี้ ทั้งขาเก่าเจ้าประจำ กลุ่มค้ายา และธุรกิจผิดกฎหมายต่างๆ นี่คือที่มาของโพสต์ที่แล้วตามที่สื่อนำไปพาดหัวว่า “โอ๊คของขึ้นโพสต์แฉแหลก” แต่จริงๆ แล้วมันเป็นอีกความรู้สึกนึงครับ สิ่งที่ผมอยากจะพูดก็คือ “ผมอยากจะบอกว่า ถึงพ่อจะไม่กลัว แต่ลูกๆ ของพ่อทั้ง 3 คน กลัวพ่อจะเป็นอันตรายครับ” จนถึงตอนนี้ คุณพ่อผมยังบอกว่าไม่เคยกลัว และยืนยันที่จะไปอยู่เลยครับ แต่เมื่อผมพูดว่า ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น มันไม่ใช่พ่อคนเดียว พี่น้องประชาชนที่มาพบกับพ่อจะพลอยถูกลูกหลงไปด้วย ผมสังเกตว่าท่านเริ่มลังเลใจ และอาจเปลี่ยนใจครับ
แต่ตอนนี้ผมทราบว่าท่านเกรงใจคนที่เตรียมงาน เกรงใจพี่น้องจากทุกจังหวัดที่ได้ข่าวว่าพ่อจะมา และได้เตรียมตัวเตรียมใจที่จะพบกับคุณพ่อ และที่สำคัญตัวคุณพ่อผมเอง ก็คิดถึงและอยากเจอกับ พ่อแม่พี่น้องมวลชนคนเสื้อแดงทุกท่านครับ
ผมต้องขอกราบเรียนทีมงาน และพี่น้องเสื้อแดงที่รักทุกท่านครับ ทุกท่านให้ความรักความศรัทธากับคุณพ่อผม ทุกท่านมีบุญคุณกับผมและครอบครัว ผมไม่มีวันลืมบุญคุณทุกๆ ท่าน ผมทราบดีครับว่า ทุกๆ ท่านอยากเจอคุณพ่อผมตัวเป็นๆ มากกว่าการ โฟนอิน หรือ วีดีโอลิ๊งค์ แต่ในเมื่อการมาเจอกันครั้งนี้อาจเป็นการเจอแบบมีของแถม คือเจอตัวและก็แถม RPG ให้ด้วย ผมเกรงว่ามันจะไม่ใช่ “ตัวเป็นๆ” อย่างที่คิดไว้สิครับ ผมว่าเราใจเย็นๆ กันก่อน ถ้าครั้งนี้สถานการณ์และสถานที่มันไม่เอื้ออำนวย เราไว้ค่อยเจอกันใหม่ในสถานที่ที่ปลอดภัยกว่านี้ ผมว่าเราจะได้เจอกันอย่างสบายใจกว่าครับ
ครั้งนี้นึกว่าเป็นคำขอจากลูกๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นะครับ ช่วยกันบอกคุณพ่อผมว่า อย่ามาเลยท่าขี้เหล็ก ยิ่งบอกกันเยอะๆ ยิ่งดี ให้ท่านรู้ว่าพวกเราเป็นห่วงในความปลอดภัย แล้วหาโอกาสดีๆ สถานที่เหมาะๆ แล้วค่อยเจอกันใหม่ ปลอดภัยกันทุกคน จะเจอกัน 3 วัน 3 คืนก็ยังได้
หากคุณพ่อยังยืนยันว่าจะมาอีก โอ๊ค, เอม, อิ๊งค์ จะใช้ไม้ตายครับ เราจะบอกพ่อว่า “ถ้าพ่อคิดว่ามันปลอดภัยจริง โอ๊ค+เอม+อิ๊งค์ ก็จะไปกับพ่อด้วย” ครับ
ซึ่งเมื่อข้อความดังกล่าวโด่งดังจนเป็นข่าวใหญ่ บุคคลหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า เรื่องนี้อาจจะเป็นเพียงการกุเรื่องขึ้นมาเรียกคะแนนความสงสารมากกว่า เพราะทางการพม่ามีความเข้มงวดเป็นอย่างมากที่จะนำอาวุธเข้าไป คนไทยจะนำอาวุธข้ามไป จังหวัดท่าขี้เหล็กได้อย่างไร เพราะฉะนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่ขบวนการลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณจากเมืองไทยจะเกิดขึ้นในพม่า
อีกทั้งหลังจากเป็นข่าว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยกเลิกภารกิจไปจังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า โดยนายพานทองแท้ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า “ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสครับ ทันทีที่ยกเลิกภารกิจท่าขี้เหล็กได้สำเร็จ ผมและน้องๆ ขออนุญาตโดดงาน มาเยี่ยมคุณพ่อ แทนพ่อแม่พี่น้องทุกท่านที่ฮ่องกงครับ”
นายพานทองแท้ ระบุว่า “โตมาผมไม่ค่อยได้กอดพ่อ เหมือนกับเอม-อิ๊งค์ครับ แต่มาคราวนี้พอเจอพ่อ ผมและน้องๆ เเย่งกันรุมกอดพ่อแบบ Big Hug กันใหญ่ ภาพออกมาอย่างที่เห็นนี้ครับ พวกเราทั้ง 3 คนรู้ดีว่า เราทำให้คุณพ่อผิดหวัง ที่ไม่ได้ไปท่าขี้เหล็ก และพ่อแม่พี่น้องทุกท่านก็คงรู้สึกผิดหวัง ที่ไม่ได้เจอกับ พ.ต.ท.ทักษิณฯ เช่นเดียวกัน โอ๊ค เอม อิ๊งค์ ถือว่าครั้งนี้เราติดหนี้พ่อแม่พี่น้องครับ เย็นนี้เราจะคุยกับพ่อว่า จะมีสถานที่และเวลาใด ที่คุณพ่อจะสะดวกมาพบปะกับพ่อแม่พี่น้อง เพื่อเป็นการชดเชยการพลาดโอกาสในครั้งนี้ได้บ้าง แล้วจะแจ้งให้ทราบอีกที โชคดีทุกท่านครับ”
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทางด้านสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีการให้ข้อมูลในเบื้องต้นว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่พบข้อมูลว่ามีการจับอาวุธสงครามใดๆ แต่ได้มีการสั่งการให้ตำรวจสันติบาล และตำรวจภูธรภาค 5 ตรวจสอบ อีกทั้งทางภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นของชาติ หรือ ภตช. ก็ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนเพื่อให้ตรวจสอบ พร้อมให้เหตุผลว่า ที่ผ่านมา รัฐบาลทหารพม่ายังไม่เคยออกมาแถลงการณ์ใดๆ เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น ดังนั้น คำกล่าวอ้างของบุคคลทั้งโอ๊ค พานทองแท้ และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อาจเป็นต้นเหตุให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและพม่ามีปัญหาได้ รวมถึงอาจเข้าข่ายความผิดต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2551 มาตรา 120
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยังคงไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัด เพราะทาง ร.ต.อ.เฉลิมก็มีทีท่าพยายามหนีการชี้แจงต่อสภาผู้แทนราษฎร ทำให้ภายในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเองก็ยังขอเลื่อนออกไปเป็นสัปดาห์หน้า และจะตั้งเป็นข้อกระทู้แรกให้ตอบคำถาม เพราะเห็นว่าเรื่องนี้ต้องชี้แจงข้อเท็จจริงให้ประชาชนได้รับทราบ เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ
“เข้าใจและเห็นใจ หัวอกพ่อกับลูก นะ ขอแนะนำดังนี้ 1. ร่วมกันยื่นคำขาดให้พ่อแม้ว กลับมาอยู่บ้าน แล้วเคลียปัญหาที่ทำไว้ให้เสร็จสิ้น และเลิกการเมือง หรือ 2. ยกครอบครัวไปอยู่กับพ่อแม้วที่ดูไบ ทั้งหมด จะได้ไม่ต้อง กลัว ห่วงกันอีกต่อไป บอกตรง ๆ เป็นห่วงพ่อโอ๊คที่ต้องเดินทางบ่อย ไม่รู้เครื่องมันจะขัดข้องวันเวลาไหนจริงๆ”
“ระบอบทักษิณคงทำให้พวกค้ายาเสพติด หวยใต้ดิน ค้าของเถื่อน เสียผลประโยชน์จำนวนมาก คาดว่าคงอีกนาน ที่พวกนี้จะวางมือง่ายๆ ไม่ทักษิณตาย ก็คนพวกนี้ตายก่อนแน่ๆ เอาใจช่วยให้รัฐบาลปราบพวกนี้ให้สิ้นซากโดยเร็วที่สุด ยาบ้าเริ่มห่างหายไปบ้างแล้วครับ ตอนนี้ช่วยจับยาบ้าให้ได้มากที่สุด ปล่อยปะละเลยมานานแล้ว”
“ผมว่าคนที่ทำให้ยาเสพติดราคาสูงขึ้นก็เพราะทักษิน พ่อค้ายารวยขึ้น ต้นทุนยาเท่าเดิม และมันก็ไม่ได้หมดไปจากสังคมไทยเลยแม้แต่น้อย สองพันกว่าศพที่ได้ทำการฆ่าตัดตอนไปนับว่า ศูนย์เปล่า มียังไงก็อย่างนั้น ไม่ได้ลดหรือหายไป คนได้ประโยชน์จากการที่ยาบ้าราคาแพงขึ้นก็คิดเอาเองละกัน ว่าใคร รวยขึ้นทันตา”
“ผมไม่เชื่อข่าวลอบสังหารเป็นจริงเลยครับ ถ้าเขาจะทำจริงๆ เขาคงทำไปนานแล้ว ไม่ให้มาป่วนประเทศอยู่แบบนี้อยู่ตั้งนานหรอก แต่จะว่าไป ควรจะโดนบ้างก็ดีนะ จะได้เลิกก่อกวนประเทศสักที”
“คนอะไร ขนาดพระยังไม่ห้อย ไม่นับถือ จ้องจะทำลายแต่สิ่งที่สูงส่ง เป็นที่เคารพของบุคคลที่มีจิตใจสูงส่ง ไม่ใครสักคนคิดจะฆ่าคนแบบดีให้หมดไปได้ คงดีต่อประเทศ ต่อโลกเราไม่น้อยเลย”
“ถ้าน้องโอ๊ค+เอม+อิ๊งค์ รักพ่อแม้วจริงก็ควรไปกราบเท้าพ่อ แล้วบอกท่านว่า หยุดได้แล้วพ่อ เลิกทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำ แล้วหันหน้าเข้าหาพระธรรม ทรัพย์สมบัติทุกอย่างตายแล้วเอาไปไม่ได้ ตายแล้วจะได้ไม่มีคนสาบแช่ง”
เรื่องที่สอง เป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อความรู้สึกระหว่างประเทศเพื่อนบ้านทั้ง 2 ประเทศ คือ ประเทศลาวและประเทศไทย จากคำติดปากที่คนไทยเราชอบพูดว่า “ลาว” แต่ความหมายของคำนี้กลับเป็นความหมายที่แสดงออกในแง่ลบ ซึ่งก็สร้างความขุ่นข้องหมองใจให้ผู้ฟังที่เป็นเพื่อนบ้านเชื้อสายลาวเป็นอันมาก จากประเด็นที่นักร้องสาวดูโอ โฟร์ ศกลรัตน์ พลั้งปากพูดคำว่า “ลาว” ออกมาในงานหนึ่ง ขณะที่มีเพื่อนร่วมวงการเดินผ่านมาพอดี และเพื่อนคนนั้นก็คือ แอปเปิ้ล สีสะเหงียน สาวเชื้อชาติลาวที่มาโด่งดังอยู่ในวงการบันเทิงไทยด้วย
โดยเรื่องนี้มีอยู่ว่า ดาราสาวชาวลาวได้โพสต์ข้อความว่า “วันนี้ แอปเปิ้ลกำลังจะเข้าไปดูละครเวที JUMP ที่เซ็นทรัลเวิลด์ เผอิญเจอนักร้องคนหนึ่งเดินถือดอกไม้เข้างานมาคนเดียว จากนั้นเราก็เข้างานพร้อมๆ กันกับคนอื่น แต่คนอื่นไม่ได้มีดอกไม้ติดมือมาด้วยเลย แล้วจู่ๆ นักร้องคนนั้นก็พูดขึ้นมาเสียงดังว่า “สรุปให้ชั้นถือดอกไม้มาคนเดียวเหรอ ลาวมาก!” (ด้วยสีหน้าแย่ๆ) แอปเปิ้ลเลยหันไปถามกลับว่า “ลาวแล้วทำไม!?” นักร้องคนนั้นก็พูดขอโทษๆ แล้วขำกลบเกลื่อน จบ. หลังจากนั้นแอปเปิ้ลเลยไม่ดูแล้วเดินออกมาเลย โกรธมากถึงมากที่สุด เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นักร้องคนนี้ใช้คำว่าลาวในการดูถูกคนอื่น คนลาวก็เป็นคนเหมือนกัน และแอปเปิ้ลก็เป็นคนลาวคนหนึ่ง ฝากถึงนักร้องที่แอปเปิ้ลพูดถึงด้วย คุณโฟร์ ศกลรัตน์ พูดขอโทษแล้วมันไม่หายหรอกนะ ทางที่ดีเลิกใช้คำว่าลาวดูถูกคนอื่นเถอะ”
ขณะที่ด้านสาวโฟร์ก็ได้มีโพสต์ข้อความกลับมาในอินสตาแกรมว่า “ขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนะคะ ยืนยันว่าไม่ได้ว่าใครค่ะ เป็นคำพูดที่หลุดปากออกไปโดยไม่คิด แต่ถ้าบางคำมีผลกระทบกับความรู้สึกของเพื่อน โฟร์ก็ยินดีขอโทษอีกครั้งค่ะ ด้วยความเต็มใจและเข้าใจ อยากให้รู้ว่าไม่ได้มีเจตนา ไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษจริงๆ และเสียใจจริงๆ ทำให้รู้สึกไม่ดีคะ แล้วก็ขอโทษทุกคนด้วยค่ะ”
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์มากมายในโซเชียลมีเดีย ทั้งมีการแสดงความเข้าใจความรู้สึกของสาวโฟร์เพราะคำพูดนี้ก็กลายเป็นคำพูดติดปากคนไทยกันมานานโดยไม่ได้ตั้งใจ อีกทั้งฝ่ายที่เข้าใจสาวแอปเปิ้ลก็มีมาก เพราะเรื่องนี้ดูเข้าข่ายการเหยียดเชื้อชาติ เฉกเช่นที่ผ่านมามีข่าวลือว่า ทางฟิลิปปินส์เคยใช้คำว่า “ไทย” ไปเป็นคำพูดในเชิงลบมาแล้ว หรือแม้กระทั่งการใช้คำพูดแทนคนผิวดำว่า “นิโกร” จนสร้างความแตกแยก และเป็นปัญหาของโลกกันไปเลยทีเดียว
“เราเข้าใจนะว่าไม่ได้มีเจตนาเหยียดหยามคนลาว แต่การใช้คำว่า ลาว ซึ่งเป็นชาติพันธ์มาใช้ในลักษณะดูถูก มันเป็นการเหยียดเชื้อชาติแบบไม่รู้ตัว คำภาษาอังกฤษคือ Racism ประเด็นนี้ทั่วโลกเขารณรงค์กันนะคะ โฟร์ไปพูดแบบนี้ที่ประเทศอื่นแถวยุโรปอาจโดนหนักกว่านี้ โดนสังคมประณามได้ เหมือนคนในวงการฟุตบอล วงการแฟชั่นโลกก็โดนกันมาแล้ว แม้จะพูดกันเป็นส่วนตัว แต่ถ้ามีคนรู้เห็น แล้วมีการเอามาพูดต่อ คุณก็โดนเหมือนกัน และจะอ้างว่าไม่รู้หรือไม่ตั้งใจไม่ได้นะ”
“ไม่มีประเทศไหนด้อยกว่าใครนะคะ ทุกประเทศ ทุกเชื้อชาติเผ่าพันธ์ต่างมีจุดอ่อนด้อย หรือมีจุดที่เข้มแข็งต่างกัน ตามแต่ประวัติศาสตร์ ประสบการณ์ที่ได้พบเจอมาต่างกัน คนไทยและประเทศไทยก็เหมือนกัน เรามีจุดดีมีความสามารถมากมาย แต่เรื่องอัปลักษณ์เราก็มีมากมายเช่นกัน สิ่งสำคัญคือ เราเรียนรู้ข้ออ่อนของเราไหม ยอมรับได้ไหมว่าเรายังมีจุดอ่อนตรงนี้ (ซึ่งบางท่านอาจไม่เห็นด้วยว่าเป็นจุดอ่อนก็ไม่ว่ากันค่ะ)แล้วช่วยกันแก้ไข ส่วนจุดแข็งก็เสริมให้มันดีขึ้น แค่นั้นเอง”
“ไทยยังจัดการเรื่อง 3G ไม่สำเร็จเลย ลาว เขาไปไหนต่อไหนแล้ว 4G ก็มี เล่นได้ง่ายสบายมาก อีกทั้งบ้านเมืองก็สะอาดสาวงาม คงวัฒนธรรมที่ดีไว้ได้อย่างดี คนไทยหลายคนยังชอบไปท่องเที่ยวที่ลาวเลยนะ”
“ซักวัน ถ้าลาวเค้าพัฒนาไปกว่าเรา ทันสมัยกว่าเรา แล้วเค้าอุทานคนที่เฉิ่มๆ เชยๆ ว่า เมิงไทยว่ะ, แกไทยมาก, ใส่ชุดอารัยไทยว่ะแก อายเค้า เราคงเริ่มรู้สึก เท่าที่รับรู้มา คนส่วนใหญ่ในวงการดารา วงสังคมไฮโซบ้านเรา วงการศึกษาโดยเฉพาะสถาบันการศึกษาชื่อดังทั้งหลาย ยังมีทัศนคติแบบนี้อยู่เต็มเปี่ยม นั้นหมายถึง ณ ขณะนี้มันคือรากลึกที่เสมือนถูกปลูกขึ้นมาแบบนั้น ฉะนั้นเริ่มต้นปรับที่ตัวเราเอง และคอยเตือนคนรอบๆ ข้าง ลูกหลานเรา เพื่อเค้าจะได้มีทัศคติที่ดี ฝากถึงกระทรวงวัฒนธรรม นี่เป็นเรื่องสำคัญ ที่วันนี้เราคงต้องเร่งส่งเสริมกันให้มากขึ้นครับ ขอเพิ่มเติมคำเรียก ฝรั่งผิวสี ด้วยนะครับ กรุณาอย่าเรียกเค้าว่า “นิโกร” หรือ “ไอ้ดำ” โปรดเรียกเค้าด้วยคำสุภาพแบบที่ “คุณอยากได้ยินคนเรียกคุณ””
“ทำไมไม่คุยกันตรงๆแล้วให้จบตรงนั้น เช่น “โฟร์ เราไม่ชอบเลยนะที่เธอพูดแบบนั้น ขอร้องล่ะอย่าพูดอีก เพราะเราในฐานะคนลาวคนนึงฟังแล้วมันรู้สึกแย่” อะไรทำนองนี้ จะมาโพสลง IG ให้เป็นข่าวทำไม เราเข้าใจความรุ้สึกแอปเปิ้ลดีนะ เพราะเราเป็นคนอุบลราชธานี แต่ชอบมีคนมาพูดให้ได้ยินว่า..ลาวมาก…ลาวอย่างโน้น ลาวอย่างนี้..เอิ่มทั้งๆที่ อุบลราชธานีก็คือจังหวัดหนึ่งในเมืองไทย แต่เราก็เลือกที่จะเคลียร์ตรงนั้นให้จบ แอปเปิ้ลทำอย่างนี้เหมือนนิสัยเด็กยังไม่โตอ่ะ อีกอย่าง เห็นบอกว่าโฟร์ขอโทษแล้วไม่ใช่เหรอ ปล.ไม่ใช่แฟนคลับโฟร์นะ แต่มีความเห็น ไม่อยากให้ทะเลาะกัน”
เรื่องที่สาม การเปลี่ยนแปลงของวงการน้ำดำที่อยู่คู่คนไทยมานาน ด้วยรสชาติและคุณสมบัติของการดับกระหายความร้อนได้ดี จนหลายคนหลงรักและติดใจกับน้ำอัดลมยี่ห้อ “เป๊ปซี่” อย่างมาก หลังจากที่มีการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นรายใหญ่ไปแล้ว ในเดือนนี้จะเห็นได้ชัดว่า เราหาเป๊ปซี่ดื่มแทบไม่ได้แล้ว แต่กลับมีเครื่องดื่มน้ำดำยี่ห้อใหม่ว่า “est Cola” เข้ามาแทนที่ โดยทางด้านบริษัทเสริมสุขก็ยังมีการออกมาเปิดเผยว่า ตั้งแต่ “est Cola” วางขาย ก็ทำสถิติยอดขายไปแล้ว 1 ล้านลังภายใน 5 วัน ซึ่งถือว่าเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของเสริมสุข
ทำให้ตอนนี้แฟนคลับเป๊ปซี่หลายคนสับสนมากๆ ว่า “เป๊ปซี่” จะมีขายต่อไปหรือไม่ หรือจะเลิกผลิตไปเลย เพราะตอนนี้เป๊ปซี่แทบไม่มีขาย รถที่เคยส่งเป๊ปซี่ก็ไม่มีเป๊ปซี่มาส่ง อีกทั้งทาง “เป๊ปซี่” ก็ไม่ได้มีการออกมาชี้แจงใดๆ ในช่วงแรก ทำให้คนตีความ คิดกันไปเองจากข่าวที่ว่าเสริมสุขจะเลิกผลิตและเลิกส่งเป๊ปซี่ ซึ่งก็มีแต่คำชี้แจงเพียงเล็กน้อยจากทางเป๊ปซี่ว่า “ประเทศไทยเป็นตลาดที่มีการเติบโตเป็นอันดับต้นๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เป๊ปซี่โคจึงเดินหน้าพร้อมลงทุน เพื่อสนองตอบความไว้วางใจของผู้บริโภค”
ขณะที่เวลานี้ “est Cola” ถือเป็นเครื่องดื่มน้องใหม่ และกำลังรอการเปิดใจยอมรับจากผู้บริโภครายเดิม ที่เคยติดใจความซาบซ่าของเป๊ปซี่ แต่ดูจากกระแสตอบรับผ่านคอมเมนต์ต่างๆ ในโซเชียลมีเดียแล้ว ผู้บริโภคส่วนใหญ่ต่างให้ความเห็นว่า เรื่องของรสชาตินั้นยังคงน่าเป็นห่วงอยู่
“ขอแนะนำว่าควรปรับปรุงรสชาติอย่างแรง เหมือนกิน โซดา หรือไม่ก็ กินแป๊บซี่ที่น้ำแข็งละลายแล้ว”
“อร่อยตรงไหน Pepsi ดีที่สุดตามสโลแกน นั่นแหละคร้าบ”
“ลำบากแน่ ลูกค้าเกิดการเปรียบเทียบแน่ๆ แถมรสชาติ ไม่ซ่าเลย เหมือนที่คิดเลย วันนั้นผมไปกินข้าวมันไก่ร้านเดิม ที่เคยสั่งเปปซี่ พอมาอีกวัน กินข้าวมันไก่ร้านเดิมเปลี่ยนเอส ไม่อยากจะพูด มันแตกต่างมากๆ ปรับปรุงด่วน”
“เวลาดื่มเข้าไปแล้ว มันเหมือนขาดอะไรไปอย่างนึง รสชาติมันแปลกอ่ะค่ะ ว่าไหม เหมือนกับว่ามีส่วนผสมอยู่ 5 ส่วน ใส่ไปแค่ 4 ส่วน ไรแบบนี้ ไม่อร่อยยย แต่บางทีก็เลือกไม่ได้เพราะร้านบางร้านลงแต่ est.”
“ถือเป็นเรื่องปกติในการเปิดตัวสินค้าใหม่บนฐานเก่า ถ้าของเดิมในตลาดมีอยู่ 1 ล้านลัง เปลี่ยนของใหม่เข้าไปถ้าได้ 1 ลัง ก็ถือว่าเสมอตัว ต้องรอดูอีก 2-3 อาทิตย์ ว่ายอดเติมสินค้าจะมาก หรือน้อยกว่าตอนเป็น Pepsi แค่ไหน ถ้ายอดต่ำกว่าตอนเป็น Pepsi มาก เสริมสุขต้องทำการบ้านให้หนักขึ้น”
“ไม่อร่อย มันหวานลึกเหมือนบิ๊กโคล่าอ่ะ แต่ไม่แน่เดี๋ยวรสชาติก็คงติดปากคนไทยเพราะเค้าส่งสินค้าได้ทั่วถึงมาก”
เรื่องที่สี่ โด่งดังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จนเป็นที่เม้าท์มอยใปทั่วอินเทอร์เน็ต หลังจากที่หมอดูชื่อดัง “กฤษณ์ คอนเฟิร์ม” เคยไปนั่งพูดคุยให้สัมภาษณ์ในรายการ “วู้ดดี้” เกิดมาคุย โดยในเทปดังกล่าว หมอกฤษณ์อ้างถึง “วิชาปริเฉทเจ็ดดารา” ของตนว่ามีความแม่นยำมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์
อีกทั้งพิธีกรวู้ดดี้ได้ตั้งคำถามให้หมอกฤษณ์ คอนเฟิร์ม ทำนายทายทักเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งมีหนึ่งคำถามที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ในปี 2555 ว่านายบารัก โอบามา จะพ่ายแพ้ต่อการเลือกตั้ง และเมื่อผลการเลือกตั้งสรุปล่าสุด เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา นายบารัก โอบามา ยังคงได้ครองตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเป็นสมัยที่ 2 ชาวโซเชียลมือดีก็ได้นำคลิปสัมภาษณ์หมอดูคนดังในครั้งนั้นมาเผยแพร่ต่อ เกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในตัวหมอกฤษณ์กันอย่างมากจนกลายเป็นทอลคออฟเดอะทาวน์ และมีการทำภาพใส่ข้อความล้อเลียน และแชร์ต่อกันในเฟซบุ๊กและอินสตาแกรม เป็นจำนวนมาก
โดยล่าสุด หมอกฤษณ์ คอนเฟิร์ม ออกมายอมรับว่า ตนทำนายผิดพลาดจริง แต่ก็ทำนายมา 100 ครั้ง ย่อมมีผิดพลาดบ้างสัก 10 ครั้ง ก็เป็นแค่ 10% เรื่องที่ทำนายถูกก็มี เช่น ภราดร-นาตาลี เลิกกัน, เป้ย ปานวาด แต่งงานสายฟ้าแลบ, วุ้นเส้น-ชาคริต ที่ตนทายถูกว่าจะแต่งงานกัน, อั้ม พัชราภา เลิกกับ โน้ต วิเศษ, หนุ่ม กรรชัย และ เมย์ เฟื่องอารมย์ จะยังไม่ได้แต่งงานกันในปี 2555 แต่ก็ไม่มีใครออกมาพูดถึงความแม่นยำเลย แต่กลับนำคำทำนายของหมอดูท่านอื่นมาแย้งและบอกว่าการทำนายของตนผิด
สำหรับการที่มีข่าวว่า ตนจะทำการฟ้องร้องเว็บไซต์ที่นำมาเผยแพร่นั้น โดยส่วนตัวยังไม่รู้เรื่อง และไม่มีความคิดจะฟ้องร้อง แต่ในเมื่อกระแสข่าวมีมาก ก็อาจจะฟ้องจริงๆ ก็เป็นได้
“ถ้าทายผิดเรื่องเล็กๆ เรื่องชาวบ้าน คงไม่ว่าครับ แต่คุณทายผิดเรื่องใหญ่ ประธานาธิปดี สหรัฐ อันนี้มันชื่อเสียงประเทศชาตินะครับ”
“คุณ กฤษณ์ไม่ต้องกลัว… มีคนให้คนดูดวงอีกมาก อาชีพหมอดู ก็ยังมีคนต้องการ ( กำลังใจจากเพื่อนร่วมอาชีพครับ )”
“เดาถูก 10% อีก 90% ทายผิดทั้งนั้น เลยขอทำนายว่า งานนี้ชื่อเสียงนายดับ 90% 10% คือยังดื้อดึงต่อไป”
“แค่คิดๆ เฉยๆ นะครับ การที่มาพูดเรื่องดารา ผมว่าบางทีถ้ารู้จักคนในหรือซื้อข่าวก่อน ก็น่าจะเดาทางได้ว่าเรื่องอะไรเกิดขึ้น เพราะที่เห็นส่วนใหญ่คุณมักจะทายเรื่องดาราได้ถูก (คนขายข่าวดาราเยอะ) แต่เรื่องอื่นๆ….ถูกหรือเปล่าไม่รู้ (คิดเอง) แค่ความเห็นส่วนตัวนะครับ ไม่ได้พาดพิง แค่คิดเล่นๆว่า การที่ทายถูก น่าจะใช้หลักการแบบนี้ซะมากกว่า”
“ผมว่าใช้วิจารณญานเอาแล้วกันครับ หมอดูไม่ว่าหมอไหน สุดท้ายก็แค่คาดคะเนเหตุการณ์ในอนาคตล่วงหน้า จะถูกหรือผิดไม่มีใครตรัสรู้หรอกครับ คนที่เจริญแล้วคงไม่มาเสียเวลาหมกหมุ่นกับเรื่องพวกนี้หรอก”
“เกิดเหตุการณ์แบบนี้ก็ดีน่ะ ทำให้คนที่เชื่อเรื่องหมอดูทั้งหลายได้ฉุกคิดนิดหนึ่งน่ะว่า หมอดูก็ไม่ต่างกับการเดาหรอก เพียงแต่จะเดาถูกหรือผิด ก็ขึ้นอยู่กับข้อมูลว่าหามาแน่นแค่ไหน ส่วนตัวผมแล้ว ผมเชื่อกับการกระทำของตัวเอง ถ้าเราทำดีแล้ว สิ่งรอบๆ ตัวเราจะดีเอง ถ้าใครจะบอกว่า ผมทำดีไม่ได้ดี ผมก็ถามกลับว่า คุณทำดีแล้วจริงหรือยัง”
เรื่องที่ห้า ฮอต!! สาวๆ กรี๊ดกร๊าด จากที่ปกติสาวๆ คงใฝ่ฝันหลงใหล อยากได้หนุ่มในเครื่องแบบมาอิงแอบแนบชิด ทั้งบุคลิกความเป็นผู้นำ ความเท่ห์ของเครื่องแบบที่สวมใส่ หรือจะเป็นการทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติของเหล่าทหารกล้า ซึ่งปัจจุบัน ความฝันของสาวๆ คงไม่ไกลเกินเอื้อม เมื่อล่าสุดมีผู้จัดทำแฟนเพจที่ใช้ชื่อว่า “หนุ่มไฉไล by นายร้อยครับผม” โดยรวบรวมบรรดาหนุ่มในเครื่องแบบทั้ง 4 เหล่าทัพ ทัพบก ทัพเรือ ทัพอากาศ และตำรวจ รวบรวมไว้ด้วยกัน
โดยจะมีการโพสต์ภาพหนุ่มในเครื่องแบบด้วยอิริยาบถต่างๆ ทั้งในเครื่องแบบและกิจกรรมยามว่าง รวมถึงแนะนำชื่อเสียงเรียงนาม การศึกษาและสังกัดเหล่าทัพอย่างเสร็จสรรพ คาดว่าสาวๆ คงตามตัวหนุ่มๆ ในฝันได้ไม่ยาก จนมีจำนวนคนกดไลค์แฟนเพจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นจำนวนมาก หลังเปิดตัวไปได้เพียง 3 เดือน
“ยอมรับกันแบบตรงๆ ผมเป็นผู้ชายเหมือนกัน ก็แอบแอบอิจฉาเล็กๆอยู่เหมือนกัน แต่ก็อย่าเพิ่งรีบค่อนขอดกันลองหาประวัติแต่ล่ะท่านมาอ่านกันดูก่อนแล้วกันพูดได้แค่นี้ล่ะ ก็ถ้ามาด้วยผลงานจริงๆ ก็ถือว่าเป็นข้าราชการที่ก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้เร็วนะ ก็ไม่แปลกเท่าไหร่ หน้าตาดีมีรถขับโทรศัพท์มีกล้อง หน้าที่การงานมั่นคงมียศประดับแถมนี่มันพระเอกหนังไทยชัดๆ สาวส่วนใหญ่ก็คงชอบล่ะนะ ถามว่าอิจฉามั้ยถ้าตอบว่าไม่ก็คงซึนเกิ๊น แต่ถามว่าให้เป็นแบบเค้าเอามั้ยคงไม่ล่ะวิถีของลูกผู้ชายมันเมีเส้นทางกันคนล่ะแบบ ผมขอเป็นตัวเลือกให้กับสาวส่วนน้อยที่ไม่ชอบแนวนี้แล้วกัน555+”
“แต่ละคน นามสกุลดังทั้งนั้นเลยนะเนี่ย”
“อยากเป็นผู้ร้ายเลยคะ ตำรวจหล่อขนาดนี้”
“บอกได้คำเดียวว่า กรี๊ดดดดดดดดดดดด คะ”
“เป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของสาวๆ เค้า แต่เชื่อว่า like จากเกย์ กระเทย จะมากกว่า คนทำเพจก็เข้าใจจับความนิยมได้น่าสนใจดี อย่างไรก็อย่าให้ค่านิยมกับเครื่องแบบมากกว่าผลงาน ไม่อย่างนั้นผู้ชายที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเหน็ดเหนื่อย เหงื่อไหลไคลเปื้อนเครื่องแบบ คงท้อใจทิ้งหน้าที่หันไปศัลยกรรมกันหมด”