ThaiPublica > เกาะกระแส > “หัสวุฒิ” น้อมรับพระบรมราชโองการ ปลดพ้น “ปธ.ศาลปกครองสูงสุด” เชื่อแจงคดี “ยกฉัตร-รถหลวง” ต่อ ก.ศป. ได้

“หัสวุฒิ” น้อมรับพระบรมราชโองการ ปลดพ้น “ปธ.ศาลปกครองสูงสุด” เชื่อแจงคดี “ยกฉัตร-รถหลวง” ต่อ ก.ศป. ได้

12 มกราคม 2016


นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล อดีตประธานศาลปกครองสูงสุด
นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล อดีตประธานศาลปกครองสูงสุด

เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2559 นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล อดีตประธานศาลปกครองสูงสุด ได้เดินทางไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร ซึ่งถือเป็นการปรากฏตัวต่อสาธารณชนครั้งแรก หลังจากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พ้นจากตำแหน่งประธานศาลปกครองสูงสุด เนื่องจากถูกลงโทษให้ออกจากราชการ เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2559 ที่ผ่านมา

โดยนายหัสวุฒิได้อ่านแถลงการณ์ซึ่งมีเนื้อหาระบุว่า ตามที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พ้นจากตำแหน่งประธานศาลปกครองสูงสุดแล้ว ซึ่งข้าพเจ้าน้อมรับด้วยเกล้า ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่ชาวไทยหลายสาขาอาชีพให้กับตน ยืนยันว่าตนได้ปฏิบัติหน้าที่ตุลาการศาลปกครองสูงสุดและประธานศาลปกครองสูงสุดอย่างเต็มกำลังความสามารถด้วยความซื่อสัตย์สุจริตมาโดยตลอด และไม่เคยหวั่นเกรงต่อภัยหรือสถานการณ์ที่พยายามกดดัน มีการทำคดีอย่างตรงไปตรงมา ทำให้ตนถูกคุกคามหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยย่อท้อหรือหนีเอาตัวรอดจากอันตราย เพราะตนยึดมั่นในอุดมการณ์ความถูกต้องและความยุติธรรม

“ผมขอยืนยันในความบริสุทธิ์ของผม และขอฝากให้คนไทยจับตาดูความเป็นไปของศาลปกครองในคดีสำคัญๆ ของประเทศด้วย” แถลงการณ์ของนายหัสวุฒิระบุ

สำหรับนายหัสวุฒิ ถูกมติคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง (ก.ศป.) ลงโทษให้ออกจากราชการ เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2558 จากกรณีจดหมายน้อยแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ โดยระบุว่า นายหัสวุฒิรู้เห็นเป็นใจและรับทราบว่านายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม เลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง (ในขณะนั้น) ส่งจดหมายน้อยถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้พิจารณาเลื่อนตำแหน่งนายตำรวจยศ “พันตำรวจโท” คนหนึ่งให้สูงขึ้น

นายหัสวุฒิยังกล่าวว่า ปัจจุบัน มีเรื่องที่ตนถูกกล่าวหา อยู่ระหว่างการพิจารณาของ ก.ศป. อีก 2 เรื่อง ได้แก่ 1. กรณีเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปเป็นประธานพิธีอัญเชิญยอดฉัตรทองคำลูกแก้วมงคลนิมิต ประดิษฐานบนพระธาตุเจ้าจอมล้านนา วัดพิพัฒน์มงคล ต.ทุ่งเสลี่ยม อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย ในช่วงเวลาเดียวกับการไปปฏิบัติราชการที่ จ.พิษณุโลก ซึ่งอยู่ห่างกันไม่ต่ำกว่า 60 กิโลเมตร และ 2. กรณีนำรถยนต์ส่วนกลางไปใช้งานทั้งที่มีรถยนต์ประจำตำแหน่งอยู่แล้ว ซึ่งเชื่อว่าตนไม่ได้ทำผิดอะไร สามารถชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาได้ทั้ง 2 เรื่อง

“โดยเฉพาะกรณีไปอัญเชิญยอดฉัตรที่วัดพิพิฒน์มงคล จ.สุโขทัย เนื่องจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เคยระบุว่า ตนได้รับเชิญไปในฐานะประธานศาลปกครองสูงสุด ไม่ได้รับเชิญไปในฐานะส่วนตัว ดังนั้นการเบิกจ่ายงบประมาณดังกล่าวจึงสามารถทำได้ ขณะที่การไปปฏิบัติราชการที่ จ.พิษณุโลก ซึ่งเป็นการไปตรวจราชการ ยอมรับว่ามีปัญหาบางอย่าง แต่ในวันนั้นก็ไปพบกับอธิบดีศาลปกครอง จ.พิษณุโลก รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องแล้ว ไม่มีอะไรที่ปิดบัง สตง. เคยยืนยันว่าไม่มีอะไรผิด และไม่จำเป็นต้องเรียกเงินคืน”

ส่วนกรณีนำรถยนต์ส่วนกลางไปใช้งาน นายหัสวุฒิ กล่าวว่า ตนเชื่อว่าไม่ได้ทำผิดอะไร เพราะรถยนต์ส่วนกลางที่มีอยู่ ตั้งแต่สมัยประธานศาลปกครองสูงสุดคนก่อนๆ ก็เคยนำไปใช้ในกิจการของส่วนกลางมาก่อน ซึ่งตนก็นำไปใช้ในกิจการของศาลปกครองเช่นเดียวกัน ไม่เคยนำไปใช้ส่วนตัว แม้นอกเวลาราชการก็ไปในภารกิจของประธานศาลปกครอง นอกจากนี้ บางงานจำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่ไปด้วยหลายคน แค่รถยนต์ประจำตำแหน่งคันเดียวไม่สามารถรับคนไปได้ทั้งหมด อีกทั้งยังมีเรื่องความปลอดภัยสมัยที่ตนดำรงตำแหน่งประธานศาลปกครองสูงสุด ที่ถูกข่มขู่และขู่ฆ่าอยู่ตลอด จึงจำเป็นต้องใช้รถยนต์ส่วนกลางในบางกรณี

“แต่ยืนยันว่าไม่เคยนำรถหลวงไปใช้ส่วนตัว ใช้ในงานที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งหน้าที่ทั้งสิ้น” นายหัสวุฒิกล่าว

วันเดียวกัน มีประชาชนจำนวนหนึ่งนำดอกไม้มาให้กำลังใจนายหัสวุฒิ พร้อมเรียกร้องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เร่งตรวจสอบการทำงานของ ก.ศป. ตามที่นายหัสวุฒิได้ไปยื่นคำร้องไว้เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2558 กรณีลงมติให้นายหัสวุฒิออกจากราชการ เพราะเป็นการลงมติโดยไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอ เพราะแม้นายหัสวุฒิจะพ้นจากตำแหน่งประธานศาลปกครองไปแล้ว แต่หาก ป.ป.ช. ชี้มาว่า ก.ศป. กระทำผิด ก็จะมีวิธีในการเยียวยานายหัสวุฒิ ที่พวกตนเชื่อว่าเป็นผู้บริสุทธิ์มาตลอดเวลาได้