เหว่ยเฉียง
หากใครเคยชินว่าสารคดีจะต้องจวกไม่ยั้งกัดไม่ปล่อย ประมาณหนังไมเคิล มัวร์ (Fahrenheit 9/11, Capitalism: A Love Story) หรือเมื่อเห็นว่าหนัง North Korea, a Day in the Life เรื่องนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับเกาหลีเหนือ ก็คงคาดกันว่าคงจะแอบถ่ายกันลับๆ ล่อๆ อย่าง DPRK: The Land of Whispers ไม่ก็อาจจะมีเสียงบรรยายคอยอธิบายให้ข้อมูลอย่างสารคดีทีวีที่เราเห็นกันดกดื่นทั่วไป
แต่ North Korea, a Day in the Life 2004 เป็นสารคดีแสนจะธรรมด๊าธรรมดา ถ่ายทอดเรื่องราวของชาวบ้านเกาหลีเหนือครอบครัวหนึ่งภายในวันเดียว ชีวิตประจำวันที่ไม่มีอะไรหวือหวา ตื่นเช้า กินข้าว แต่งตัว ส่งลูกสาวไปโรงเรียน เข้าห้องเรียน แม่ไปทำงานในโรงงานทอผ้า ส่วนลูกชายอีกคนก็ไปเรียนภาษาอังกฤษในมหาวิทยาลัย ฯลฯ
ชีวิตดูดีมีสุข ผู้คนยิ้มแย้ม รถราไม่ติด ถนนหนทางแสนสะอาดและโล่งโจ้ง ท่ามกลางความธรรมดาและมีสุขราวภาพฝัน แต่ระหว่างทางหนังกลับแทรกช็อตสั้นๆ มากมายที่ตั้งคำถามว่านี่มันสวรรค์หรือนรกกันแน่ เริ่มตั้งแต่ภารกิจแรกที่ลูกชายตื่นมาทำคือการเช็ดรูปท่านผู้นำที่แขวนประดับบ้านราวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก่อนที่ตัวแม่จะเดินไปส่งลูกสาวที่โรงเรียนประถม เธอก็พลางร้องเพลงปลุกใจสอนลูกร้องตามด้วยว่า “กองทัพของชาติเรายิ่งใหญ่เกรียงไกร เขย่าได้ทั้งโลกและฟ้าสวรรค์ พวกอเมริกันที่น่าสมเพช ต้องคุกเข่ายอมจำนน วิงวอนขอความเมตตา…”
และท่ามกลางถนนสะอาดสะอ้าน รถราไม่ติด ผู้คนแสนจะเป็นระเบียบ หนังก็มักจะเหลือบไปเห็นรูปท่านผู้นำหรือป้ายโฆษณาชวนเชื่อขนาดเขื่องแขวนประดับตามถนนหนทางอยู่เสมอๆ ไม่ว่าจะในห้องเรียน ห้องโถงโรงเรียน ในโรงงาน หรือแม้แต่ในตู้รถไฟใต้ดิน
ส่วนทุกจุดในที่สาธารณะก็จะมีเจ้าหน้าที่ทำหน้านิ่งขึงขังคอยยืนยามตรวจค้นสอดส่องผู้คนที่ผ่านไปผ่านมา และหากสังเกตดีดีจะพบว่าแทบไม่มีใครซุบซิบคุยกันอย่างปกติมนุษย์เขาทำกัน หรือถ้าคุย พวกเขาก็จะมีบทสนทนาดูดี๊ดูดี เช่น เด็กมหาลัยกลุ่มหนึ่งคุยกันว่า
“เมื่อคืนได้ดูทีวีหรือเปล่าครับ” “ไม่ได้ดูครับเพราะผมต้องมัวแต่ทำการบ้าน” “มีเด็กคนนึงมาแสดงในรายการนั้นด้วยนะ” “หรือครับ เด็กคนนั้นเรียนเก่งหรือเปล่า?”
แล้วทันทีที่แม่ของครอบครัวนี้เข้าไปในโรงงาน ก็จะพบเห็นผู้คนยืนสงบนิ่งฟังสุนทรพจน์ยามเช้า “นี่คือเวลาอันยากลำบาก…แต่ด้วยความยิ่งใหญ่ของท่านคิมจองอิล …พวกเราจักต้องพร้อมยามศึกสงคราม…” ไปพร้อมๆ กับป้ายโฆษณาชวนเชื่อประดับปลุกใจจนแทบจะเต็มพื้นที่นั้น
ส่วนในชั้นเรียนภาษาอังกฤษที่คุณครูสอนด้วยสำเนียงชัดแจ๋ว แต่ผู้เรียนกลับโต้ตอบบทสนทนาแสนง่ายกันอย่างผิดๆ ถูกๆ และดูเหมือนว่าคนเรียนจะอายุเยอะเกินกว่าจะเป็นแค่เด็กมหาลัย จนระหว่างที่ดูก็ไม่แน่ใจจริงๆ ว่าตกลงผู้ชายจากครอบครัวที่หนังกำลังเล่าอยู่นี่ เป็นลูกชายคนโตหรือเป็นสามีกันแน่
ส่วนในชั้นเรียนของลูกสาวก็สอนเพลงพื้นบ้านประกอบเพลงสรรเสริญท่านผู้นำ เด็กๆ ต่างพร้อมเพรียงกันเซื่องซึมไม่ซุกซนนั่งอยู่ภายใต้ผลงานภาพวาดฝีมือเด็กนักเรียนเองที่ดูจะคล้ายๆ ภาพโฆษณาชวนเชื่อเสียมากกว่า และแน่นอนว่าทุกๆ ที่ที่สมาชิกในครอบครัวนี้ผ่านไปมาหรือทำกิจกรรมใดใด ทุกวินาทีจะเต็มไปด้วยมโหรีเพลงปลุกใจ, สุนทรพจน์คำสอนอันดีงามของท่านผู้นำ, หรือไม่ก็คำขวัญปลุกใจให้พร้อมศึก ฯลฯ
นี่คือหนังชนะรางวัล Amnesty International Award ในเทศกาล Indie Lisboa เมื่อปี 2005 ฝีมือผู้กำกับชาวดัทช์ ปิเอเตอร์ ฟลอยรี ที่ลงทุนทำหนังเองทั้งหมดด้วยการเข้าไปติดต่อกับทางการเกาหลีเหนือโดยตรง จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมหนังเรื่องนี้ไม่มีฉากแอบถ่ายลับๆ ล่อๆ อย่างสารคดีต่างชาติเรื่องอื่นๆ ที่เข้าไปซุ่มถ่ายทำกันที่นั่น หนำซ้ำชาติโสมแดงเขายังแสนจะภูมิใจ๊ภูมิใจที่หนังเรื่องนี้ถ่ายทอดภาพครอบครัวแสนสุขอบอุ่นออกมาให้ชาวโลกได้ประจักษ์กันว่าพวกเขามีชีวิตสุขสบายดีกันเยี่ยงไร
จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมหนังเรื่องนี้จึงถูกนำมาเผยแพร่ได้ทั้งเรื่อง ในช่องยูทูบของ Korean Friendship Association (KFA, www.kfausa.org) หน่วยงานที่ร่วมกันระหว่างทีมงานชาวสเปนกับทางการเกาหลีเหนือเอง ในการเผยแพร่ข่าวสารภาคภาษาอังกฤษจากเกาหลีเหนือให้โลกรู้ (ในช่องยูทูบ หน่วยงานนี้แจ้งด้วยว่าพวกเขามีออฟฟิศอยู่ในเกาหลีเหนือ, สเปน, นอร์เวย์ และประเทศไทย)
และแม้ว่านี่จะเป็นหนังปี 2004 แต่ก็ยังสะท้อนภาพสังคมเกาหลีเหนือใน ค.ศ. นี้ได้อย่างชัดเจน ที่แม้ว่าปัจจุบันจะเปลี่ยนยุคสมัยจากท่านผู้นำคิมจองอิลมาเป็นท่านคิมจองอึนแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงสุขสบายดีไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงดังเช่นเวลานั้น