ซีรีส์ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น ที่จบไปไม่นานนัก ดูจะเป็นเรื่องราวที่สะท้อนความเป็นจริงของวัยรุ่นไทยในยุคนี้อย่างแท้จริง และสอดรับกับตัวเลข “แม่วัยใส” ของไทยที่ตัวเลขพุ่งขึ้นจนเป็นอันดับหนึ่งของเอเชียไปแล้ว โดยตัวเลขจากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า คนท้อง 1,000 คน เป็นแม่วัยใสที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ถึง 53 คน หากเทียบตัวเลขขององค์การอนามัยโลกที่ระบุว่าต้องไม่เกิน 10 คน ต่อ1,000 คน ข้อมูลสถิติและรายงานวิจัยชี้ว่าวัยรุ่นไทยมีเพศสัมพันธ์อายุเฉลี่ยลดลงอย่างต่อเนื่องจากปี 2539 จากอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 18-19 ปี ปี 2547 ลดลงมาอยู่ที่ 15-16 ปี
เรื่องนี้อาจจะไม่ต้องนำมาพูด และต้องหามาตรการแก้ไขและป้องกัน หากไม่เป็นเพราะโครงสร้างประชากรไทยที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเร็วขึ้น สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ซึ่งเผยแพร่เมื่อกุมภาพันธ์ 2556 ระบุว่าอัตราการเพิ่มประชากร เมื่อ 50 ปีก่อน เคยสูงมากเกิน 3% ต่อปี แต่ปัจจุบันลดลงเหลือ 0.5% ต่อปี และแนวโน้มจะลดต่ำลงและมีอัตราเข้าใกล้ศูนย์ หรืออาจจะติดลบหลังปี 2569
ข้อมูลขององค์การสหประชาชาติ ประเมินจำนวนการเกิดของปี 2553 ว่าไม่เกิน 800,000 ราย และคาดว่าจะลดลงไปเรื่อยๆจนเหลือน้อยกว่า 500,000 รายต่อปีในช่วงปี 2558-2593 หรือในอีก 30 ปีข้างหน้า
![ที่มาภาพ : มหิดลโมเดล มหาวิทยาลัยมหิดล](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2013/09/แม่วัยรุ่น-620x399.jpg)
ขณะที่ประเทศไทยพัฒนามา 50 ปี แต่ไทยก็ยังเป็นประเทศกำลังพัฒนา และอยู่ในกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลาง หรือ middle income trap เรายังก้าวไม่ข้ามกับดักนี้ จึงทำให้มองว่าประเทศไทยกำลังเข้าสู่ภาวะ “แก่ก่อนรวย”
มากไปกว่านั้น ภาวะที่เด็กเกิดน้อย แต่มีอัตราของแม่วัยใสมากขึ้น เพราะ “เด็ก” ที่อายุไม่เกิน 18 ปี แม้สภาพร่างกายจะพร้อมรับการมีเพศสัมพันธ์ แต่รายงานวิจัยส่วนมากยืนยันว่ายังเป็นช่วงที่ไม่พร้อมสำหรับการตั้งครรภ์และการเป็นแม่ ไม่ว่าจะผ่านการแต่งงานหรือตั้งใจตั้งครรภ์ก็ตาม
ยิ่งวัฒนธรรมประเพณีของไทย สังคมไม่ยอมรับเด็กวัยรุ่นท้องก่อนแต่งงาน ท้องในวัยเรียน ทำให้ถูกสังคมตีตรา ถูกกันออกจากระบบการศึกษา ระบบสาธารณสุข และการช่วยเหลืออื่นๆ ทำให้แม่วัยใสและลูก “ขาดโอกาสการเข้าถึงการมีชีวิตที่มีคุณภาพที่ดี”
ด้วยเหตุนี้ ผู้เกี่ยวข้องที่เล็งเห็นปัญหานี้จึงเป็นห่วงว่า หากปล่อยให้สภาวะนี้ดำเนินต่อไปโดยไม่ลงมือแก้ไขและป้องกัน ก็จะยิ่งเข้าสู่ภาวะการเกิดน้อยด้อยคุณภาพมากขึ้น แล้วอนาคตประเทศไทยจะเป็นอย่างไร
รศ.พญ.สุวรรณา เรืองกาญจนเศรษฐ์ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวไทยพับลิก้าเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นว่า ในเรื่องนี้เป็นนโยบายของอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดลที่จะให้เอาความเข้มแข็งของ “มหิดล” 7 คณะ ที่ทำเรื่องนี้อยู่แล้วรวมเป็นคลัสเตอร์ มาทำงานวิจัยและทำงานร่วมกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ จึงเกิดเป็นกลุ่มภารกิจเรื่องการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น และการดูแลแม่วัยใส ซึ่งเราเรียกว่า “มหิดลโมเดล”
ด้วยมหาวิทยาลัยมหิดลมีหลายคณะ หลายส่วนงานที่มีความเข้มแข็งเรื่องการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นมานานแล้ว โดยเฉพาะที่คณะแพทยศาสตร์ รามาธิบดี ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มตั้งคลินิกวัยรุ่นในโรงพยาบาลรามาฯ ตอนนั้นได้ทุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และทำคลินิกวัยรุ่นในโรงเรียน ในช่วงที่มีปัญหาวัยรุ่นมากๆ เมื่อประมาณ 12 ปีที่แล้ว
![รศ.พญ.สุวรรณา เรืองกาญจนเศรษฐ์ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2013/09/พญ.สุวรรณา-620x436.jpg)
นอกจากนี้ก็ไปชวนโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอื่นๆ ให้จัดตั้งคลินิกวัยรุ่น และกระตุ้นให้ราชวิทยาลัยขยายอายุในการดูแลเด็ก ปกติแล้ว “หมอเด็ก” จะดูแลเด็กถึง 15 ปี แต่เนื่องจากวัยรุ่นอายุเกิน 15 ปี และไม่มีคนดูแล ฉะนั้นหมอเด็กก็จะขยายอายุในการดูแลเด็กในช่วงวัยรุ่นด้วย จึงขยายเป็นถึง 18 ปี เพื่อให้การดูแลตรงนี้ดีขึ้น เพราะฉะนั้น คณะแพทยศาสตร์ รามาธิบดี และศิริราชพยาบาล ก็มีความเข้มแข็งในการดูแลเด็กวัยรุ่นในโรงพยาบาล
“เราคิดว่าแค่นั้นไม่พอ เรายังไปสร้างคลินิกวัยรุ่นในโรงเรียน เพราะจริงๆ โรงเรียนจะมีระบบดูแลช่วยเหลือ ระบบคัดกรอง เด็กที่มีภาวะยากลำบาก ได้แก่ เด็กยากจน เด็กที่เรียนไม่ดี เด็กที่มีปัญหาชู้สาว เด็กที่ติดยาเสพติด เด็กที่หนีเรียน ฯลฯ เป็นระบบคัดกรองวัยรุ่นในหลายเรื่อง ไม่เฉพาะเพศสัมพันธ์อย่างเดียว เพื่อไม่ทำให้เด็กรู้สึกมีปมมาก ฉะนั้นหมอเด็กจึงไปช่วยเสริมพลังให้ครูสามารถดูแลปัญหาเบื้องต้น และจะได้ใกล้ชิดกับเด็กดีขึ้น ถ้าจำเป็นก็ส่งต่อมายังคลินิกวัยรุ่นที่โรงพยาบาลได้ เป็นสายด่วน โดยก่อนหน้านี้เด็กก็จะต้องทำเวชระเบียน ไปรอคิวยาว ซึ่งเด็กวัยรุ่นไม่ชอบ ก็จะหนี แต่สายด่วนนี้มาถึงก็ได้ตรวจทันที และมีประวัติการคัดกรองจากโรงเรียนส่งมาให้แล้ว”
ต่อมาก็ขยายเป็นคลินิกพิเศษของวัยรุ่นที่ดูแลเด็กเป็นกลุ่ม เช่น คลินิกคุณแม่วัยใส คลินิกเด็กติดเกม คลินิกเด็กอ้วน คลินิกเด็กที่มีปัญหาทางการเรียน ฉะนั้นก็เป็นเฉพาะกลุ่มมากขึ้น ทำให้เราสามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของเด็กและผู้ปกครอง ซึ่งมีคลิกนิกอยู่ที่ทั้งรามาฯ และศิริราชฯ
ส่วนคณะพยาบาลศาสตร์ก็จะมาช่วยในเรื่องการดูแล เช่น เมื่อคนไข้ “แม่วัยใส” ที่มาคลอด มาอยู่หวอดแล้ว แม่วัยใสที่มาคลอดจริงก็จะได้รับการดูแลต่อเนื่อง เชื่อมโยงไปถึงการเยี่ยมบ้านด้วย
คณะสาธารณสุขศาสตร์ จะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านชุมชนและการสาธารณสุข เพราะฉะนั้นเขาก็จะลงพื้นที่ และมีความรู้เรื่องของพ่อแม่ ครอบครัวศึกษา เรื่องเพศศึกษาในชุมชน
คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์จะดูแลสิทธิสตรี สิทธิการเข้าถึงบริการคนด้อยโอกาส เช่น กลุ่มแรงงาน กลุ่มต่างชาติ ซึ่งจะมีปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นเยอะมาก
คณะประชากรศาสตร์จะดูแลปัจจัยเรื่องครอบครัวเป็นองค์รวม ปัจจัยครอบครัวที่จะส่งเสริมให้เด็กวัยรุ่นมีทัศคติที่ดี การศึกษาพบว่า เด็กวัยรุ่นที่ท้องและไม่ท้อง มีปัจจัยครอบครัวที่ต่างกัน ดังนั้นปัจจัยครอบครัวจึงสำคัญมาก ถ้าพ่อแม่สนใจ ดูแล พูดคุย ให้เวลา เด็กวัยรุ่นจะมีอัตราการท้องที่น้อยกว่าครอบครัวที่ไม่สนใจ เราจึงคิดว่าปัจจัยครอบครัวจึงสำคัญ เรียกว่า Family factor Family matter เป็นโปรแกรมของสถาบันประชากร
นอกจากนี้ก็มีสถาบันอาเซียน เพื่อพัฒนาสุขภาพอาเซียน ซึ่งก่อนหน้านี้ดูแลปฐมภูมิ พวก อสส. อสม. ที่จะไปดูแลสุขภาพขั้นปฐมภูมิ (primary health care) กลุ่มนี้จะดูแลวิธีการให้การดูแลเด็กวัยรุ่น วิธีการป้องกันการตั้งครรภ์ วิธีการเลื่อน (postpone) โอกาสในการการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ในโรงพยาบาลชุมชนตอนนี้เรียกเป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพสต.) เขาก็จะไปเสริมกำลังกลุ่มอาสาสมัคร เจ้าหน้าที่ รพสต. ให้มีความสามารถในการดูแล ให้คำแนะนำกับวัยรุ่นได้
ขณะเดียวกันเรามีสถาบันแห่งชาติเพื่อพัฒนาเด็กและครอบครัว ซึ่งจะไปช่วยพัฒนาทรัพยากรมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ซึ่ง พมจ. มีแนวคิดจะสร้างศูนย์พัฒนาครอบครัวให้อยู่ในชุมชน แต่ว่าขาดองค์ความรู้ ดังนั้นสถาบันแห่งชาติเพื่อพัฒนาเด็กและครอบครัวก็จะเป็นพี่เลี้ยงให้กับศูนย์พัฒนาครอบครัว ให้มีความสามารถ คือไปติดอาวุธให้เขาแนะนำวัยรุ่นที่จะมาใช้บริการของศูนย์พัฒนาครอบครัวได้ โดยจะโฟกัสที่เด็ก ในขณะที่สถาบันประชากรจะโฟกัสที่ครอบครัวหรือผู้ใหญ่เป็นปัจจัยเสริมเข้ามา
จริงๆ “แม่วัยใส” เป็นยอดของภูเขาน้ำแข็ง แต่เราไม่ได้ทำเรื่องนี้เรื่องเดียว เพราะว่าถ้าทำเรื่องนี้เรื่องเดียวก็เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แต่เราก็ทำด้วย ขณะเดียวกันเราก็ทำการป้องกันขั้นต้นๆ ด้วย (primary prevention) ก็คือเด็กวัยรุ่นที่ยังไม่มีเพศสัมพันธ์ เราสอนให้เขามีเพศสัมพันธ์เมื่อวัยที่เหมาะสม นั่นคือ No Sex
แต่จริงๆคำว่า No Sex ก็คือ postpone sex โดยการสอนให้เขามีความรู้ ทักษะชีวิต มีความรักตัวเอง มีความมั่นใจในคุณค่าของตัวเอง (self-esteem) ถ้าเขารักตัวเอง ก็จะไม่ทำสิ่งไม่ดี บางคนรักตัวเองแต่ว่าไม่มีทักษะชีวิต ปฏิเสธไม่เป็น ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไรในสถานการณ์ฉุกเฉินจึงปล่อยเลยตามเลย เราก็ต้องสอนทักษะชีวิต อีกทั้งสอนความรู้เรื่องเพศศึกษา ฉะนั้นกลุ่มที่ยังไม่มีปัจจัยเสี่ยง ยังเป็นกลุ่ม “innocent” (ไร้เดียงสา) อยู่ เราจะสอนความเหล่านี้เพื่อให้ยืดระยะเวลามีเซ็กส์ออกไป ให้มีในวัยอันควร
สำหรับกลุ่มทุติยภูมิที่ “มีเพศสัมพันธ์” แล้ว เพราะเราปฏิเสธไม่ได้ว่าขณะนี้มีเพศสัมพันธ์แล้วเยอะเหมือนกัน เราก็จะสอนให้เขามีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์และป้องกันการติดโรค เพราะโรคเอดส์เป็นอีกเรื่องที่พบมากในวัยรุ่น ฉะนั้นจึงต้องสอนเรื่องการใช้ถุงยางอนามัยและการคุมกำเนิดทั้งหลาย
ในระดับตติยภูมิหรือ “ท้องแล้ว” จะทำอย่างไรให้การท้องมีคุณภาพ ไม่ไปทำแท้ง หรือทำแท้งในกรณีที่มีภาวะบ่งชี้และทำแท้งโดยคณะกรรมการตัดสิน เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพ เช่น มีโรคแทรกซ้อน และเป็นการทำแท้งที่ปลอดภัย ถูกต้อง
ถ้า “ท้องต่อ” ก็จะดูแล เพราะบางคนท้องตอนอายุ 12 ปีเอง ตัวเขาเองยังเด็ก เขาก็ยังดูแลตัวเองไม่ได้ เขาก็ดูแลการตั้งครรภ์ไม่ได้ ดังนั้นก็จะนำไปสู่การคลอดก่อนกำหนด หรือคลอดออกมาแล้วลูกตาย หรือลูกไม่ได้รับการเลี้ยงดู
“เพราะเด็กจะไปดูแลเด็กได้อย่างไร ตัวเขาเองยังเด็กอยู่เลย ฉะนั้นการให้นมลูก การเลี้ยงลูกอย่างถูกต้อง การพาลูกมาฉีดวัคซีน คงเป็นไปไม่ได้ ก็จะเกิดประชากรรุ่นใหม่ที่มีปัญหาเข้ามาอีก ปัญหาของสังคมก็จะตามมา
เราพบว่าร้อยละ 25 ของแม่วัยรุ่นจะท้องซ้ำภายใน 2 ปี เพราะว่าไม่ได้แก้ปัญหาให้เขาเลย แค่คลอดเสร็จก็กลับไปอยู่กับสภาพแวดล้อมเดิมๆ ในปัจจัยเสี่ยงเดิมๆ เขาจึงท้องกลับมาอีก”
ฉะนั้น เราดูแลแม่วัยรุ่นทั้ง 3 ระดับ ไม่ใช่เพียงแต่ว่าเอาเรื่อง “แม่วัยรุ่น” เป็นเรื่องนำ เพราะเป็นเรื่องที่สังคมสนใจและเห็นชัดเจน แต่ภูเขาใต้น้ำคือกลุ่มวัยรุ่น ทั้งที่มีปัจจัยเสี่ยงและไม่มีปัจจัยเสี่ยง เราก็ดูแลทั้งหมดอย่างเป็นองค์รวม
สำหรับโครงการนี้ที่เราได้ทุน 10 ล้านบาท เพื่อมาทำเป็น “ต้นแบบ” เราคิดว่าต่างคนต่างทำจะไม่เกิดผลสำเร็จเราจึงกำหนดพื้นที่เป็น area based คือจะกำหนดพื้นที่และระดมสรรพกำลัง โดยเอาความเข้มแข็งของมหิดลและไปดึงการมีส่วนร่วมของชุมชนโดยชวนผู้นำชุมชน กศน. อบต. นายอำเภอ อสม. นายกเทศมนตรี โรงพยาบาล ตำรวจ โรงเรียนที่อยู่ในเขต มาทำงานร่วมกับมหิดล โดยมีเป้าหมายคือ ศาลายา แล้วเอาทุกโครงการไปลง ทั้ง community based โดยไปดูครอบครัว ไปดูศูนย์พัฒนาครอบครัว ไปดูโรงเรียน ไปพัฒนาและติดอาวุธให้โรงเรียน ให้มีระบบคัดกรอง มีการดูแล มีการส่งต่อ และโรงพยาบาลพุทธมณฑล และ รพสต. อีก 3 แห่ง จะเป็น hospital based
นี่คือการกำหนดพื้นที่เป้าหมายและระดมกำลังเข้าช่วยเหลือ ถ้าทำสะเปะสะปะ ก็จะตอบโจทย์ไม่ได้
หากพื้นที่นี้ทำแล้วได้ผล โดยจะมีการศึกษาเปรียบเทียบกลุ่มที่ได้รับการแทรกแซงนี้ (intervention) และกลุ่มที่ไม่ได้รับ เราจะเปรียบเทียบให้เห็นชัดเจนว่าคนที่ได้รับมหิดลโมเดล กับที่ไม่ได้รับจะมีอัตราการมีเพศสัมพันธ์ อัตราการท้อง อัตราการที่ลูกเสียชีวิต และอัตราการกลับมาท้องซ้ำ ที่เราบอกว่า 25% เราคิดว่าเราจะลดได้แน่นอน
นอกเหนือจากนี้ เราจะทำเรื่อง “สิทธิประโยชน์” ด้วย ว่าในกลุ่มที่ทำการศึกษาเราจะให้สิทธิประโยชน์ เพราะรู้ว่าแม่วัยรุ่นยากจน ถ้าเขามารักษาด้วย 30 บาทฯ ที่โรงพยาบาลพุทธมณฑล เขาจะได้รับการดูแลเรื่องฝากท้อง ซึ่งมีการดูแลตั้งแต่ก่อนคลอด มาคลอด หลังคลอด และตามไปเยี่ยมบ้าน ให้มาฉีดวัคซีนลูกฟรี มีผ้าอ้อมสำเร็จรูป มีนมให้ สอนการเลี้ยงดู ลูกเขาจะเป็นเด็กที่มีคุณภาพที่ดีกว่าอีกกลุ่มที่ไม่ได้รับหรือไม่
แล้วแม่หลังคลอดเราจะฝังยาคุมกำเนิดให้เขา ซึ่งราคาประมาณ 2,500 บาท อันนี้ไม่ได้อยู่ในกลุ่มสิทธิประโยชน์ 30 บาทฯ แต่ว่าต่อให้ฉีดยาคุมกำเนิดทุก 3 เดือน แม่วัยใสก็จะลืม เพราะเขายังเด็ก แล้วก็ไม่มีเงิน ไม่มีความรู้ ซึ่งถ้าชุดสิทธิประโยชน์นี้ ถ้าได้ผลจริงเราก็จะเสนอสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ว่า ทีเปลี่ยนตับรายละล้านคุณยังจ่ายได้เลย อันนี้แค่ไม่กี่พันบาท และสามารถแก้ปัญหาอย่างเป็นองค์รวมได้ ก็ให้เป็นสิทธิประโยชน์ของ สปสช. ที่ครอบคลุม
สมมติว่าเราทำการศึกษาแล้วพบว่าโครงการชุดนี้มีค่าใช้จ่ายทั้งหมด 5,000 บาท เราก็ขอให้ สปสช. ให้การสนับสนุนและให้แม่วัยใสเบิกจ่ายได้ ก็คือมาให้บริการฟรีเพื่อให้คุณภาพของแม่ดี ลูกดี และไม่กลับไปท้องอีก นั่นคือชุดสิทธิประโยชน์
อันที่สองที่เราจะขอความร่วมมือ ก็คือการศึกษา ถ้าท้องโดยทั่วไปสถานศึกษาต้องให้เขาเรียนหนังสือ แต่ในความจริง เด็กจะถูกให้ออก เพราะไม่อยากให้เป็นตัวอย่าง ขณะนี้ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองอนามัยเจริญพันธุ์ยังบังคับใช้ไม่ได้ เราก็ขอความร่วมมือของกรมการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) หรือโรงเรียนเขตศาลายาให้รับนักเรียนกลุ่มนี้ท้องก็ไปเรียนได้ หรือว่าถ้าไม่เรียนแล้วจริงๆ ก็จะให้ฝึกอาชีพ มิเช่นนั้น พอเขามีลูกอีกคนก็จะทิ้ง เพราะไม่มีเงินเลี้ยงลูก ไม่มีนม ไม่มีปัจจัย คือ เด็กกลุ่มนี้ครอบครัวก็จะไม่เอาด้วย เนื่องจากอับอายขายหน้า โรงเรียนก็ไม่เอา สามีก็ทิ้งเพราะว่าเธอใจง่ายเอง เป็นต้น เขาก็จะมีปัญหาทางเศรษฐกิจเยอะมาก เราก็ไปฝีกอาชีพให้เขาด้วย ฉะนั้นเราก็จะติดอาวุธให้เขาในเรื่องอาชีพด้วย นอกเหนือจากการเลี้ยงดู เพื่อให้เขาดำรงชีวิตหลังคลอดได้ และถ้าเรียนได้ก็จะยิ่งดี
![พญ.สุวรรณา เรืองกาญจนเศรษฐ์](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2013/09/พญ.สุวรรณา-1.jpg)
นี่ก็เป็นเรื่องที่เราจะเสริมเขาไปในพื้นที่ศึกษา โดยการสนับสนุนจาก อบจ. อบต. โรงเรียน และ กศน. ดังนั้นก็คิดว่าปัจจัยทางครอบครัว (family factor) และปัจจัยทางชุมชน (community factor) จะเป็นปัจจัยเสริม เราจึงกำหนดเป็นพื้นที่ตัวอย่างตาม “โมเดลมหิดล” ก่อน คิดว่าโครงการจะทำอย่างน้อย 2 ปี เพราะเราบอกว่าภายใน 2 ปี เขาจะไม่ท้องกลับมาใหม่ เพราะฉะนั้น เราจะติดตามไป 2 ปี โดยใช้ทุกสรรพกำลังของมหิดลโมเดลลงไปในพื้นที่พร้อมกัน
ไทยพับลิก้า: ปัจจุบันสิทธิการเข้าถึงการศึกษายังไม่มีหรือว่ายังไง
ในความเป็นจริง เมื่อมีเด็กคนหนึ่งท้อง โรงเรียนก็ไม่อยากให้อยู่ มีเพียงบางโรงเรียนเท่านั้นที่ให้เรียน เช่น โรงเรียนหนองชุมแสงที่เพชรบุรี แต่ส่วนใหญ่จะให้ออกไปเรียน กศน. เพราะอยู่แล้วจะเป็นแบบอย่างให้คนอื่นท้องไปด้วย ก็คือโรงเรียนไม่สนับสนุนให้เด็กท้องมาเรียนกับเด็กปกติเท่าไหร่ แต่เราอยากทำให้เป็น norm ว่าท้องก็ไม่เป็นไร หรือถ้าไม่ได้จริงๆ กศน. ก็ต้องสนับสนุนเต็มที่
อย่างที่โรงเรียนหนองชุมแสงวิทยาให้นักเรียนท้องมาเรียน เนื่องจากให้นักเรียนที่ท้องไปเรียนที่อื่นไม่ได้ เพราะถูกตีตรา แต่ที่นี่มีคนท้องเยอะ และเขามี OSCC หรือมีศูนย์พักพิงที่โรงเรียน คือถ้าแม่ใกล้คลอด ก็ไม่ต้องกลับบ้าน ให้อยู่ศูนย์พักฟื้นและเรียนหนังสือจนกระทั่งคลอด ซึ่งเป็นเรื่องดีมาก แต่อาจจะทำไม่ได้ในมหิดลโมเดล ก็ต้องรอดูว่าถ้ามหิดลโมเดลสนับสนุนช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไม่ไปตีตรา ไม่ทำให้เด็กท้องรู้สึกอับอาย ก็อาจจะโอเค
นอกจากนี้ในเรื่องสิทธิประโยชน์ ส่วนใหญ่เด็กเขาจะข้ามเขต เพราะว่าเด็กอยู่ในพื้นที่เขาจะอาย จึงไปเรียนนอกพื้นที่ ไปใช้บริการโรงพยาบาลนอกพื้นที่ เพราะว่าถ้าอยู่ในเขต พ่อแม่ก็จะถูกไปเล่าลือแล้วเขาก็จะอับอาย กลัวเพื่อบ้านจะรู้ ฉะนั้นเป็นเหตุให้เขาไม่สามารถใช้ 30 บาทฯ ได้ จึงเบิกค่ารักษาพยาบาลไม่ได้ ฉะนั้นสิทธิประโยชน์ที่เราก็จะเสนอนั้นเป็นสิทธิประโยชน์นอกเขต เหมือนเกิดอุบัติเหตุ คือ ไปใช้บริการโรงพยาบาลไหนก็ได้ แต่ว่ามีการลงทะเบียนชัดเจน เพื่อให้เขาเข้าถึงการรักษา คือระบบมันมี แต่การปฏิบัติมันไม่ใช่ อย่างที่บอกว่าเด็กและพ่อแม่อายจึงยอมจ่ายเงินไปใช้บริการที่อื่น หรือถ้าไม่มีเงินก็จะไม่ใช้บริการสุขภาพที่มีอยู่เลย
ไทยพับลิก้า: ที่ผ่านมาการแก้ปัญหาเป็นองค์รวมหรือไม่
มีคณะแพทย์ที่ทำเป็นองค์รวมคือโรงเรียนและโรงพยาบาลเชื่อมกัน และมีไปเยี่ยมบ้าน แต่เรายังไม่มีกำลังลงไปทำชุมชน เพราะว่าถือโรงเรียนเป็นเป้านิ่ง มีเด็กมาเรียนอยู่แล้ว จึงลงไปช่วยครู ฉะนั้นองค์รวมคือทำกับโรงพยาบาล โรงเรียน ผู้ปกครอง ทำร่วมกัน แต่ถ้าเด็กที่ไม่อยู่ในโรงเรียน เด็กที่ไม่มาโรงพยาบาลเราก็ทำไม่ได้ ฉะนั้นครั้งนี้จะลงไปดูปัจจัยชุมชนด้วย ก็คือคนที่ไม่มาใช้ school based และ hospital based ก็จะเป็น community based ซึ่งจะเป็นตัวมาเสริม ก็จะทำให้ครบถ้วนขึ้น และกำหนดพื้นที่ เพราะก่อนหน้านี้ทำที่ รพ.ศิริราชที่หนึ่ง รพ.รามาธิบดีที่หนึ่ง พยาบาลก็ไปเยี่ยมบ้านอีกที่หนึ่ง ซึ่งไม่สามารถประเมินเป็นองค์รวมว่าการแทรกแซงที่เราให้เขาไปนั้น จะบรรลุวัตถุประสงค์ที่เราต้องการหรือไม่ ครั้งนี้ก็ระดมกำลังกันและกำหนดพื้นที่เป้าหมาย
ไทยพับลิก้า: ตอนที่เชิญหลายๆ มหาวิทยาลัย เขาก็เอาด้วยใช่ไหม
ตอนนั้นต่างคนต่างไปทำคลินิกวัยรุ่นในโรงพยาบาลตัวเอง และไปเอาโรงเรียนใกล้ๆ มาร่วม มีจุฬาฯ คณะแพทย์มหาวิทยาลัยสงขลา คณะแพทย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะแพทย์มหาวิทยาลัยขอนแก่น โรงพยาบาลเด็กประมาณ 9 แห่ง ที่ทำคลินิกวัยรุ่นเชื่อมโยงโรงเรียนและโรงพยาบาล แต่ก็ยังไม่ออกไปถึงชุมชน
ผลที่ได้ก็ออกมาเป็นจุดๆ อย่างรามาฯ ทำจนเป็นโมเดลของรามาฯ มันเหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทร มันไม่เกิดการขยายผลไปที่กระทรวงศึกษาธิการได้ ส่วนในโรงพยาบาลที่ยังไม่สำเร็จเพราะว่าภาระงานเยอะมาก ปกติที่ไม่มีคลินิกวัยรุ่นเขาก็ทำงานกันไม่ไหวแล้ว แต่ก็ต้องบอกว่า คุณทำงานหนักตรงนี้อันหนึ่งเพื่อไม่ต้องไปแก้ปัญหาเรื่องคลอดและอื่นๆ ที่ตามมา เพราะถ้าจุดเริ่มต้นดีมีการป้องกัน ปัญหาที่จะตามมาก็จะน้อยลง คือเพิ่มภาระในระยะแรกนิดหนึ่ง แต่ต่อไปภาระจะดีขึ้นและผลลัพธ์จะดีกว่าที่เป็นอยู่ แต่ก็ยังไม่สำเร็จเพราะงานเยอะมาก
ถ้าตรงนี้ที่เราใช้ความเป็นมหิดล จากเดิมที่ต่างคนต่างทำงาน มันไม่มีพลัง ตอนนี้รวมตัวกันเป็นกลุ่มภารกิจ ทำเป็นโมเดลที่ชัดเจน ทำผลงานวิจัยวิจัยให้ชัด แล้วนำเสนอขับเคลื่อนเป็นนโยบาย
ไทยพับลิก้า: ที่ผ่านมามีความกังวลมาตลอดใช่ไหมคะว่าเด็กที่เกิดมาอาจจะด้อยคุณภาพ และเรื่องอนาคตของประเทศ
ไม่ได้กังวล มันชัดเจน มันแน่นอน มีงานวิจัยออกมาแล้วว่าลูกที่เกิดจากแม่วัยใส เทียบกับแม่ที่พร้อม ผลลัพธ์ต่างกันแน่นอน
ไทยพับลิก้า : จากปัญหาคุณแม่วัยใส และคุณภาพเด็กไทย จนตอนนี้ก็ยังไม่มีนโยบายใดที่ชัดเจนเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้
เราไปขับเคลื่อน ไปพูดหลายเวที ตอนแรกก็เอาด้วยแต่พอถึงเวลาจริงๆ การขับเคลื่อนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็หายไป เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องระดับชาติ เป็นเรื่องระดับนโยบายประเทศ มีการพูดมานานแต่ก็ไม่ปฏิบัติ งบประมาณก็ไม่ลงมา คือพูดเสร็จแล้วไม่มีแผนปฏิบัติ (action plan) ไม่มีการติดตาม
“เราอยู่ในเรื่องนี้มา 12 ปีแล้ว จริงๆ ทำวิจัยเรื่องวัยรุ่นตั้งแต่ 2541 ที่ได้รับทุนจาก WHO ทำเรื่องวัยรุ่น ต่อมาอีก 3-4 ปี ก็ทำวิจัยเรื่องเด็กติดเกม เด็กอ้วน และมาทำแม่วัยใสมา 10 ปีแล้ว”
จริงๆ เรื่องนี้ต้องทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงการศึกษาและกระทรวงสาธารณสุข อย่างคลิกนิกแม่วัยรุ่น และกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ไปดูชุมชน 3 กระทรวงรวมกัน เหมือนที่เราทำ school based, hospital based และ community based รวมกันเป็นหนึ่งเดียว โดยการมีส่วนร่วมจากชุมชน ทั้งสนับสนุนเรื่องทุนทรัพย์ โรงพยาบาลให้ฟรี ไปเยี่ยมบ้านเราก็จะแจกเป็นของแทนเงิน ซึ่งกำลังคิดว่าอาจจะทำเป็นคูปองไปเบิกฟรีที่ซื้อจริง โดยมีระยะเวลาเป็นสัปดาห์ กำลังคิดวิธีให้เขาไม่เอาเงินไปใช้อย่างอื่น ไม่ไปใช้ในสิ่งที่ใช้กับลูก มิฉะนั้นเด็กอาจจะเอาไปใช้หมด หรือซื้อของไปขายต่อได้
ไทยพับลิก้า: คลินิกวัยรุ่นที่โรงพยาบาลและโรงเรียนเป็นอย่างไรบ้าง
ยังคงทำอยู่ ก็ดีมาก แต่ก็เป็นเพียงน้ำหยดเดียวในมหาสมุทร ไม่ได้ทำให้ความเค็มของมหาสมุทรน้อยลง แต่ว่าทำเป็นโมเดลคนอื่นก็มาดู ใครมีกำลังก็เอาไปทำตาม
ตอนนี้ขอให้ใช้พลังมหาวิทยาลัยและทำให้ชัดเจน แล้วไปเสนอขับเคลื่อนให้เป็นนโยบาย ก็ตอนนี้ทุกคนก็ทำกันอยู่ ทุกคนมีผลงานวิจัยอยู่แล้ว ก็เป็นโอกาสที่มารวมพลังกัน