
นายโต เลิมเลขาธิการใหญ่พรรคอมมิวนิสต์เวียดนาม
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเมื่อวันพุธ (3 กรกฎาคม 2568)ว่า สหรัฐบรรลุข้อตกลงการค้ากับเวียดนามแล้ว นับเป็นการบรรลุข้อตกลงสำคัญฉบับที่ 3 ของรัฐบาลก่อนกำหนดเส้นตายที่กำหนดขึ้นในวันที่ 9 กรกฎาคม
“ผมเพิ่งทำข้อตกลงการค้ากับเวียดนามได้” ทรัมป์โพสต์บน Truth Social
CNN รายงานว่า ในโพสต์ต่อมาซึ่งประกาศรายละเอียดเพิ่มเติม ทรัมป์กล่าวว่าสหรัฐจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเวียดนาม 20% และภาษีนำเข้าสินค้าที่มีต้นทางจากประเทศอื่นและถูกส่งมายังเวียดนามเพื่อการขนส่งขั้นสุดท้ายไปยังสหรัฐอีก 40%(กระบวนการนี้เรียกว่า transshippingซึ่งใช้เพื่อหลีกเลี่ยงอุปสรรคทางการค้า)
โฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ โพสต์บน X เมื่อบ่ายวันพุธว่า ภาษีนำเข้าสินค้า transshipping หมายความว่า “หากประเทศอื่นขายสินค้าของตนผ่านผลิตภัณฑ์ที่เวียดนามส่งออกมายังสหรัฐ ประเทศนั้นจะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้า 40%”
ภาษีที่เรียกเก็บจากเวียดนาม 20% นั้นคิดเป็นสองเท่าของอัตราภาษีขั้นต่ำในปัจจุบันที่สหรัฐฯ เก็บจากสินค้าจากเวียดนามและประเทศอื่นๆ แทบทุกประเทศ
“ในทางกลับกัน เวียดนามจะทำบางอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน นั่นคือ การให้สหรัฐอเมริกาเข้าถึงตลาดการค้าของเวียดนามอย่างเต็มที่” ทรัมป์ระบุ “อีกนัยหนึ่ง เวียดนามจะ ‘เปิดตลาดให้กับสหรัฐอเมริกา’ ซึ่งหมายความว่า เราจะสามารถขายสินค้าของเราในเวียดนามได้โดยไม่เสียภาษีศุลกากร”
ขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่าข้อตกลงดังกล่าวได้ข้อสรุปแล้วหรือไม่ หรือเวียดนามตกลงตามสิ่งที่ทรัมป์ประกาศหรือไม่
Vietnam Nhan Dan ซึ่งเป็นสำนักข่าวของรัฐบาลเวียดนาม รายงานว่า เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์โต เลิม และทรัมป์ได้พูดคุยทางโทรศัพท์เมื่อเย็นวันที่ 2 กรกฎาคม (เวลาฮานอย) เพื่อหารือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศและการเจรจาภาษีศุลกากรซึ่งกันและกัน
นายเลิมเรียกร้องให้สหรัฐฯ ยอมรับเวียดนามในฐานะเศรษฐกิจการตลาด และยกเลิกข้อจำกัดการส่งออกผลิตภัณฑ์ไฮเทคบางประเภทโดยเร็ว
ประธานาธิบดีทรัมป์และหัวหน้าพรรคได้หารือถึงแนวทางและมาตรการสำคัญหลายประการเพื่อส่งเสริมหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์รอบด้าน (Comprehensive Strategic Partnership) ของทั้งสองประเทศในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ผู้นำทั้งสองเห็นพ้องที่จะยกระดับการแลกเปลี่ยนและการติดต่อระหว่างคณะผู้แทนในทุกระดับ และส่งเสริมความร่วมมือในด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านสำคัญและความก้าวหน้า เช่น วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูง
ทรัมป์และฝ่ายบริหารของเขากล่าวว่าประเทศต่างๆ กำลังเตรียมทำข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ มานานหลายเดือน ก่อนเส้นตายการระงับการเรียกเก็บภาษีศุลกากรแบบที่เก็บในอัตราที่เท่ากัน เป็นเวลา 90 วันสิ้นสุดลงวันที่ 9 กรกฎาคม และภาษีศุลกากรที่สูงถึง 50% อาจมีผลบังคับใช้
อัตราภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าเวียดนามที่ส่งไปยังสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นเป็นขั้นต่ำ 46% หากอัตราภาษีที่ทรัมป์ประกาศเมื่อเดือนเมษายนยังคงเท่าเดิม โดยภาษีศุลกากรสำหรับเวียดนามจัดอยู่ในกลุ่มอัตราสูงสุด
ทำเนียบขาวยังไม่ได้เผยแพร่เอกสารใดๆ ที่ให้รายละเอียดของข้อตกลงที่ทรัมป์ประกาศเมื่อเช้าวันพุธ
“เรายังคงกำลังเตรียมข่าวเผยแพร่” ไมเคิล ฟอลเคนเดอร์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ กล่าวกับ CNBC เมื่อบ่ายวันพุธ และว่า “น่าจะ” ออกมาหลังตลาดหุ้นปิดซื้อขายในวันพุธ ซึ่งโดยทั่วไปหมายถึง 16.00 น. ตามเวลาตะวันออก ฟอลเคนเดอร์ไม่ได้ตอบว่าภาษี 20% นั้นจะรวมอยู่ในภาษี 10% ที่มีผลบังคับใช้อยู่แล้วสำหรับสินค้าจากเวียดนามหรือไม่ หรือว่า 20% จะเป็นระดับใหม่
เวียดนามเป็นแหล่งนำเข้าสินค้าอันดับ 6 ของสหรัฐฯ เมื่อปีที่แล้ว โดยมีมูลค่าการส่งออกสินค้า 137,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯเมื่อ 5 ปีก่อน กว่า 2 เท่ าตามข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ
ในขณะเดียวกัน การขาดดุลการค้าของสหรัฐที่มีกับเวียดนาม ได้เพิ่มขึ้นตามลำดับ เมื่อปีที่แล้ว การขาดดุลการค้ากับเวียดนามอยู่ที่ 123,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการขาดดุลการค้าที่สูงเป็นอันดับสามของสหรัฐฯ และในปี 2562 การขาดดุลการค้ากับประเทศอื่นอยู่ที่ 56,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการขาดดุลการค้าที่สูงเป็นอันดับห้า
ทรัมป์มีประเด็นกับประเทศที่มีการขาดดุลการค้าจำนวนมากและต่อเนื่องกับสหรัฐฯ โดยอ้างว่าประเทศเหล่านี้มีการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งชอธิบายได้ว่าทำไมทรัมป์จึงพยายามกำหนดอัตราภาษีศุลกากรแบบที่เก็บในอัตราที่เท่ากันที่สูงที่สุดอัตราหนึ่งกับประเทศเหล่านั้น
เวียดนามได้ประโยชน์จากการที่ทรัมป์กำหนดภาษีนำเข้าสินค้าจีนที่สูงขึ้นในช่วงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก ซึ่งอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดนยังคงใช้มาตรการนี้ต่อไป ภาษีนำเข้าดังกล่าวทำให้บริษัทต่างๆ ย้ายฐานการผลิตมายังเวียดนามมากขึ้น เนื่องจากอัตราภาษีนำเข้านั้นต่ำกว่า
ในบรรดาสินค้าเข้า สินค้าที่นำเข้ามากที่สุด ได้แก่ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้าและอุปกรณ์เสริม และเฟอร์นิเจอร์ แม้ว่าจีนจะยังคงเป็นแหล่งสินค้านำเข้าเหล่านี้มากที่สุด แต่เวียดนามก็ไล่ตามทันอย่างรวดเร็ว
หุ้นเวียดนามพุ่งสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ กล่าวว่าบรรลุข้อตกลงการค้ากับเวียดนามแล้ว
ข้อมูลจาก LSEG ระบุว่าดัชนีหุ้นเวียดนามเพิ่มขึ้น 0.3% สู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2565