แอนนา วินทัวร์ ในมุมที่คุณอาจยังไม่รู้

1721955

“ใครก็ตามในสายงานสร้างสรรค์ย่อมรู้ดีว่าการไม่หยุดพัฒนาผลงานของตนเองนั้นสำคัญเพียงใด เมื่อฉันได้เป็นบรรณาธิการของ Vogue ฉันกระตือรือร้นที่จะพิสูจน์ให้ทุกคนได้รับรู้ว่า ยังอาจมีวิธีใหม่ ๆ น่าตื่นเต้น ๆ อีกมากมายในการจะจินตนาการถึงนิตยสารแฟชั่นอเมริกา”

คำพูดนี้ถูกเอ่ยขึ้น ณ อาคารสำนักงานใหญ่ Condé Nast (เจ้าของเครือนิตยสารระดับโลก อาทิ Vogue, The New Yorker, GQ, Vanity Fair, WIRED ฯลฯ) กลางกรุงนิวยอร์ก เนื่องในวาระอำลาตำแหน่งบรรณาธิการบริหาร ของ Vogue ฉบับอเมริกัน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน 2025 ที่ผ่านมานี้เอง และแน่นอนว่าหญิงผู้เอ่ยประโยคนี้ออกมา เธอคือราชินีผู้กุมตำแหน่งนี้มายาวนานถึง 37 ปี และอยู่ในโลกแฟชั่นมานานกว่า 55 ปี ซึ่งทั่วโลกรู้จักเธอเป็นอย่างดี แอนนา วินทัวร์ (จริง ๆ แล้วเราควรต้องเรียกเธอว่า “คุณหญิง (Dame เป็นยศถาที่เธอได้รับมอบมาจากอังกฤษ)”

ปีนี้แอนนา วินทัวร์มีอายุครบ 75 ปีพอดี แล้วหากนับว่าเธออยู่ในแวดวงแฟชั่นมานาน 55 ปี แปลว่าเธอเริ่มเข้าสู่วงการนี้เมื่อตอนอายุเพียง 20 ปีเท่านั้น กำพืดของเธอไม่ธรรมดา ปู่ของเธอคือ พลตรี ฟิตซ์เจอรัลด์ วินทัวร์ นายทหารอังกฤษผู้สืบเชื้อสายมาจาก จอร์จ เกรนวิลล์ ผู้เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของบริเตนใหญ่ในช่วงต้นรัชสมัยของพระเจ้าจอร์จที่ 3 ส่วนย่าของเธอคือ อลิซ เจน แบลนซ์ ฟอสเตอร์ วินทัวร์ก็เป็นถึงเหลนสาวของเลดี้ เอลิซาเบธ ฟอสเตอร์ นักเขียนนิยายในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ที่ต่อมาได้กลายเป็นดัชเชสแห่งเดวอนเชียร์ แถมหากสืบย้อนไปถึงรุ่นทวดสามรุ่นก่อนหน้าเธอ ก็คือ เฟรเดอริก เฮอร์วีย์ เอิร์ลที่ 4 แห่งบริสตอล ผู้เคยดำรงตำแหน่งบิชอปแห่งคริสตจักรแองกลิกันแห่งเดอร์รี

แอนนา กำเนิดในเมืองแฮมสตีด กรุงลอนดอน เมื่อปี 1949 พ่อของเธอ ชาร์ลส วินทัวร์ เคยเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ Evening Standard (1904–ปิดตัวไปเมื่อปี 2024) แล้วภายหลังจากพ่อแม่ของเธอหย่าร้างกันเมื่อปี 1979 เธอก็มีแม่ใหม่ชื่อว่า ออเดรย์ สลาฟเตอร์ บรรณาธิการผู้ก่อตั้งสิ่งพิมพ์เกี่ยวกับผู้หญิงต่าง ๆ ในอังกฤษ อาทิ Honey และ Petticoat

ไม่แค่นั้น น้องชายคนหนึ่งของเธอ คือ แพทริก วินทัวร์ ยังเคยเป็นถึงบรรณาธิการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ The Guardian และหนังสือพิมพ์การเมือง The Observer

3 เบ้าหลอมของแอนนา วินทัวร์

จากหนังสือขายดี Front Row: Anna Wintour: The Cool Life and Hot Times of Vogue’s Editor in Chief (2004) อันเป็นชีวประวัติของ แอนนา ที่เขียนโดย เจอรรี่ ออปเปนไฮมเมอร์ ได้เล่าว่า ‘วินทัวร์เข้าเรียนที่โรงเรียน North London Collegiate School ซึ่งเธอต่อต้านกฎการแต่งกายของที่นั่นมาก บ่อยครั้งเธอจะประท้วงด้วยการดึงกระกระโปรงให้สูงขึ้นจนสั้นกลายเป็นสเกิร์ต ตอนเธออายุ 14 ปีก็เริ่มไว้ผมบ็อบที่กำลังฮิตในสมัยนั้น เธอเริ่มสนใจแฟชั่นจากการดูพิธีกร เคธี แมคโกแวน พิธีกรรายการ Ready Steady Go! เป็นประจำ และจากการอ่านหนังสือ Seventeen ที่คุณยายจะส่งมาให้จากสหรัฐ เธอเล่าว่า “การเติบโตในลอนดอนในยุค60s คุณคงจะต้องเคยผ่านตาผลงานของ เออร์วิง เพนน์ มาก่อนถึงจะรู้ว่ามีอะไรพิเศษเกิดขึ้นในแวดวงแฟชั่น” และพ่อของเธอชอบมาหารือเป็นประจำถึงแนวทางใหม่ ๆ ในการเพิ่มจำนวนผู้อ่านในตลาดเยาวชน’

เคธี แมคโกแวน

เคธี คือพิธีกรหญิงประจำรายการเพลงชื่อดังแนวบริตป๊อปและบริตร็อค ทุกเย็นวันศุกร์ Ready Steady Go! ที่ออกอากาศในช่วงปี 1963-1966 (อันเป็นช่วงแจ้งเกิดวงดังอย่าง The Beatles และ The Rolling Stones) ในอังกฤษ เป็นรายการที่มาด้วยแนวคิดง่าย ๆ ถ่ายทำกันในสตูดิโอแบบไม่มีฉาก หรือเครื่องแต่งกายรุงรัง ออกแบบท่าเต้นง่าย ๆ แต่งหน้าแต่งตัวให้น้อยที่สุด และแน่นอนว่าแนวคิดนี้ส่งผลถึงการแต่งตัวของพิธีกรรายการนี้อย่างเคธี ด้วย เธอจะมาในผมทรงหน้าม้าอันเป็นเอกลักษณ์ ด้วยชุดสบาย ๆ

นิตยสาร Seventeen

นิตยสารจากสหรัฐรายสองเดือนที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1944 ปัจจุบันนับตั้งแต่ปี 2016 ก็เริ่มออกฉบับออนไลน์ กระทั่งปี 2018 ก็ประกาศเหลือเพียงออนไลน์ ส่วนฉบับตีพิมพ์จะถูกผลิตออกมาเป็นฉบับพิเศษปีละครั้งเท่านั้น อย่างไรก็ตามหนังสือหัวนี้ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับสาว ๆ วัยรุ่นช่วง 13-19 ปีมาจนทุกวันนี้

เออร์วิง เพนน์

ช่างภาพชาวอเมริกันเชื้อสายยิวรัสเซียน เกิดเมื่อปี 1917 เขามีผลงานโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ และเปิดโลกวงการแฟชั่นยุค 50s-60s เป็นอย่างมาก และนับตั้งแต่ปี 1943 (ก่อนวินทัวร์จะเกิดเสียอีก) เป็นต้นมา เพนน์ เคยเป็นทั้งผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์และช่างภาพประจำของ Vogue ยาวนานมาจนถึงยุค 90s ขณะที่วินทัวร์เริ่มงานกับ Vogue ในปี 1983 แน่นอนว่าในช่วงท้ายอาชีพของเพนน์ แม้ว่าในสมัยของวินทัวร์ เธอจะไม่นิยมภาพถ่ายในสตูดิโอแบบของเพนน์มาขึ้นปกสักเท่าไหร่ แต่ภาพด้านในเล่มอย่างเธอก็ใช้ผลงานของเพนน์อยู่บ่อยครั้ง และบางครั้งบนภาพปกเอง วินทัวร์ก็ยังคงใช้ผลงานของเพนน์ตลอดจนเมื่อ เพนน์ เสียชีวิตลงในปี 2009 ครั้งหนึ่งเธอเคยเผยว่า “ผลงานของเพนน์ เป็นตัวแทนของความล้ำค่า เหนือกาลเวลา เรามักจะใช้ภาพของเขาเป็นสื่อแทนเมื่อเราต้องการจะพูดถึงอารมณ์ประมาณนี้”

ฉบับกลางปี 2020 ในช่วงวิกฤติโควิด19 (หลังจาก เพนน์ เสียชีวิตลงไปแล้ว 10 ปี) วินทัวร์เลือกผลงานของเพนน์ ขึ้นปกพร้อมบทบรรณาธิการว่า ‘เมื่อพูดถึงความสุข ฉันรู้สึกว่าทุกครั้งที่ฉันมองไปที่หน้าปกของเรา ก็จะยังห็นแต่ภาพถ่ายที่ไม่เคยเผยแพร่ (และน่าทึ่ง) ชื่อ Rose ‘Colour Wonder ที่ถูกถ่ายไว้เมื่อปี 1970 โดย เออร์วิง เพนน์ ปรมาจารย์ด้านการสร้างภาพ (โดยบังเอิญ ภาพนี้ครบ 50 ปีพอดีกว่าจะมาปรากฎเป็นภาพปกของเรา) ฉันเชื่ออย่างยิ่งว่าเราสามารถค้นหาหนทางไปข้างหน้าได้โดยการพิจารณาอดีตด้วย และผลงานในตำนานของเพนน์ ก็เป็นสื่อกลางระหว่างความงาม และความทรงพลัง ภาพถ่ายอายุห้าทศวรรษของเพนน์ สำหรับ Vogue ถ่ายทอดทั้งอารมณ์ที่ลึกซึ้งและความเฉียบแหลมของช่างภาพได้อย่างกระชับกระฉับกระเฉง ฉันภูมิใจเสมอกับภาพของเขาทุกภาพที่เราได้เผยแพร่ และภาพนี้ก็ไม่ต่างกัน ฉันค่อนข้างแน่ใจว่าเขาคงชอบมัน’

ตอนอายุ 15 แม่แท้ ๆ ของ วินทัวร์ ฝากให้เธอได้งานแรกที่ห้างบูติกชั้นนำ Biba ก่อนเธอจะโดดเข้าสู่แวดวงแฟชั่นด้วยการเป็นนักข่าวสายแฟชั่น และผู้ช่วยบรรณาธิการรุ่นแรก ๆ ของ นิตยสาร Harper’s & Queen (ควบรวมระหว่างนิตยสาร Harper’s Bazaar UK กับ Queen) แม้หน้าที่การงานของเธอจะไปได้สวยแต่ก็มีความขัดแย้งกับบรรณาธิการอยู่บ่อยครั้งทำให้เธอตัดสินใจย้ายจากลอนดอนไปยังนิวยอร์ก

ที่นิวยอร์กในปี 1975 เธอเริ่มต้นงานใหม่ด้วยตำแหน่งบรรณาธิการแฟชั่นรุ่นเยาว์ให้กับนิตยสาร Harper’s Bazaar แต่ความขัดแย้งในแนวทางภาพถ่ายทำให้บรรณาธิการเวลานั้น ไล่เธอออกหลังจากทำงานได้เพียง 9 เดือน แต่ไม่กี่เดือนต่อมาเธอก็กลับมาเป็นบรรณาธิการแฟชั่นให้กับนิตยสารชวนสยิวกิ้วสำหรับผู้หญิง Viva (เจ้าของเป็นภรรยาของ บ็อบ กูซิโอเน่ เจ้าของหนังสือโป๊ Penthouse) ที่เธอแทบจะไม่อยากเอ่ยถึงการทำงานในช่วงนั้นเลย อีกทั้งไม่กี่ปีต่อมา Viva ก็ปิดตัวลงในปี 1978

อย่างไรก็ตามเมื่อปี 2022 มีซีรีส์ค่าย HBO เรื่อง Minx ซึ่งทำออกมาทั้งหมด 2 ซีซั่น มี 18 ตอน ได้หยิบเอาเรื่องราวเกี่ยวกับ Viva มาเล่า นำโดย โอฟีเลีย โลวิบอนด์ จาก Thor: The Dark World (2013) Guardians of the Galaxy (2014) มาแสดงเป็นนักเคลื่อนไหวสิทธิสตรีผู้จับพลัดจับผลูมาเป็นบรรณนาธิการนิตยสารผู้ชายโป๊สำหรับนักอ่านหญิง และไมเคิล แองการาโน จากหนัง Music of the Heart (1999) และ Oppenheimer (2023) มาเป็นนักลงทุนที่มีเบื้องหลังแปลก ๆ ในช่วงยุค 70 ที่แนวคิดเรื่องเรียกร้องสิทธิ์กำลังรุ่งโรจน์ ทว่าขณะที่หนังสือผู้หญิงโป๊เปลือยขายดิบขายดี แต่หนังสือผู้ชายโป๊กลับถูกต่อต้านอย่างหนัก

หลังจากลุ่ม ๆ ดอน ๆ อยู่พักหนึ่ง ในปี 1983 วินทัวร์ก็ก้าวสู่ตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์คนแรกของ Vogue US ด้วยเงินเดือนมากกว่าเดิมถึงสองเท่า ก่อนที่จะโดดไปเป็นบรรณาธิการ Vogue UK ในปี 1985 การเปลี่ยนแปลงของเธอทำให้ฉบับ UK ที่มักจะเคยถูกมองว่า “แปลก ๆ” เริ่มเข้ารูปเข้ารอยและสอดคล้องกับฉบับ US มากขึ้น ช่วงนั้นเธอเคยให้สัมภาษณ์ว่า “แม้ฉันจะทำนิตยสารแฟชั่น แต่ฉันสนใจในธุรกิจ และเงินมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่มีเวลาไปช็อปปิ้งอีกตอไป ฉันมักจะหมกมุ่นอยู่แต่คำถามว่า อะไร ทำไม ที่ไหน และอย่างไร”

แล้วในปี 1988 วินทัวร์ ก็ก้าวขึ้นมาเป็นบรรณาธิการของ Vogue US อย่างสง่าผ่าเผย ประจวบกับเวลานั้นค่ายคู่แข่งเพิ่งเปิดตัวนิตยสาร Elle ฉบับอเมริกา ในส่วนของผู้บริหารจึงมีการเสนอให้ แอนนา วินทัวร์ ขึ้นมาเป็นบรรณาธิการบริหาร การมาของวินทัวร์ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากมายอย่างเห็นได้ชัด นับตั้งแต่แฟชั่นด้านในได้เปลี่ยนจากแต่งตัวมิดชิดมาเผยให้เห็นเนื้อหนังมากขึ้น แล้วแต่เดิมภาพปกจะถ่ายกันแต่ในสตูดิโอเท่านั้น แต่วินทัวร์กลับตัดสินใจเลือกถ่ายแฟชั่นกลางแจ้ง แถมยังเป็นนางแบบโนเนมที่มีเชื้อสายยิว ยังไม่หนำใจ วินทัวร์ จับผสมมิกซ์แอนด์แมทช์ระหว่างกางเกงยีนส์ราคาไม่ถึง 50 เหรียญ มาใส่คู่กับเสื้อยืดประดับอัญมณีสุดหรูของ Christian Lacroix มูลค่า 10,000 ดอลลาร์ (ราว 885,500 ตามค่าเงินบาทในเวลานั้น) มีเรื่องฮา ๆ เล่าว่าตอนต้นฉบับถูกส่งไปที่โรงพิมพ์ โรงพิมพ์คิดว่ามีความผิดพลาดอะไรสักอย่างจึงรีบโทรกลับไปยังสำนักงานใหญ่ เพราะคิดว่ากองบรรณาธิการส่งรูปปกมาผิด

มันผิดคาดจากปก Vogue เดิม ๆ ที่มักเป็นภาพโคลสอัพ และดูสง่างาม แถมนางแบบยังยิ้มตาหยีไม่สบตากับกล้อง แล้วตอนนั้นเธอยังท้องอ่อน ๆ ปล่อยพุงปลิ้นออกมาเหนือขอบกางเกงยีนส์ถูก ๆ แหกทุกกรอบขนบที่ Vogue เคยปฏิบัติมา ผมปลิวยุ่งเหยิง แต่ดูง่าย ๆ สบาย ๆ ถ่ายข้างถนน นี่คือสายลมแห่งความเปลี่ยนแปลงที่กลายเป็นความโกลาหลครั้งยิ่งใหญ่

หลายปีต่อมาในปี 2011 วินทัวร์ยอมรับว่า “ฉันไม่เคยวางแผนในการถ่ายภาพนี้เอาไว้ก่อน ตอนนั้นฉันแค่คิดว่า ‘เอาล่ะ เรามาลองทำสิ่งนี้กัน’ มันเป็นไปเองโดยธรรมชาติ ในหัวบอกฉันว่า ‘นี่คือสิ่งใหม่ นี่คือความแตกต่าง’ ต่อมาในปี 2015 เมื่อเธอถูกถามว่าเธอชอบปกไหนที่สุด เธอตอบว่า “ก็ยังคงเป็นปกนี้” มันแสดงให้เห็นถึงความศรัทธา เป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สะเทือนสะท้านต่อ Vogue”

นักวิจารณ์ออกมาอวยยศ “แนวทางของวินทัวร์โดนใจผู้อ่านอย่างมาก เพราะนี่คือวิถีที่ผู้หญิงจริง ๆ แต่งตัวกัน…ยกเว้นเสื้อยืดราคาแพงลิ่วนั่นอ่ะนะ” ถัดไปเพียงไม่กี่เดือนในฉบับกลางปี 1989 เธอก็ใช้ภาพนางแบบผมเปียก มีเพียงเสื้อคลุมอาบน้ำ และเครื่องหน้าแทบจะไม่แต่งอะไรเลย วินทัวร์ดึงเอานิตยสารแฟชั่นที่เคยถูกนำเสนอว่ามันคือของหรูหราฟุ่มเฟือย มาพลิกโฉมด้วยลุคใหม่ที่จับต้องเข้าถึงได้ และนี่คือนิยามใหม่ของคำว่า “แฟชั่น” ในสายตาของ แอนนา วินทัวร์

นังมารร้ายสวมปราด้า

แน่นอนสิ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยเกี่ยวกับตัววินทัวร์ ก็คือบุคลิกนิสัยของเธอที่ถูกนำเสนอจนกลายมาเป็นไอคอนผ่านนิยายเล่มดังที่กลายมาเป็นหนังแห่งยุค The Devil Wears Prada (2006) เพราะนอกจากวินทัวร์ในยุคเราเธอจะสวมแว่นดำอยู่เกือบจะตลอดเวลาแล้ว วินทัวร์มักถูกบรรยายว่าเป็นคนแข็ง ๆ เชิด ๆ เมิน ๆ ใส่ผู้คน แม้แต่กับเพื่อนสนิทของเธอเคยแอบให้สัมภาษณ์ว่า “ในช่วงการงานรุ่ง ๆ จู่ ๆ แอนนา วินทัวร์ ก็เลิกเป็นแอนนา วินทัวร์ แล้วกลายมาเป็น แอนนา วินทัวร์ ที่ออกมาปิดกั้นความรู้สึกตัวเอง ไม่ให้สาธารณชนรับรู้”

เพื่อนอีกคนเม้าท์ว่า “เธอชอบทำตัวเป็นคนเข้าถึงยาก รู้มั้ยว่าห้องทำงานของเธอน่ากลัวขนาดไหน คุณต้องเดินจากประตูไปอีกหนึ่งไมล์ ไกลมากกกกกข่ะ กว่าจะไปถึงโต๊ะทำงานของเธอ ฉันมั่นใจมากว่าสิ่งนี้เธอคิดมาดีแล้ว แต่ไม่เข้าใจอยู่ดีว่า…ทำทำไม”

ในช่วงแรก ๆ เธอถูกตั้งฉายาว่า “นิวเคลียร์วินทัวร์” เพราะเธอเป็นคนอารมณ์ร้ายมาก แต่เชื่อไหมว่าเธอสามารถจัดการทุกอย่างราวกับระเบิดปรมาณูที่ทำลายล้างทุกอย่างใหม่ให้เซ็ตซีโร่ แม้จะเป็นคำเหน็บแนม แต่ก็แกมชื่นชมในแง่การทำงานของเธอที่ทำให้ปัญหาต่าง ๆ ลุล่วงไปได้ ทว่าเธอไม่ชอบฉายานี้เอามาก ๆ ถึงกับต่อสายตรงไปยัง เดอะ นิวยอร์กไทมส์ ไม่ให้ใช้คำนี้ในบทความ

เพื่อนอีกคนแฉว่า “ในอดีตเธอหยาบคายกับผู้คนอย่างมากและหลายคน พูดจาห้วน ๆ กระฟัดกระเฟียดตลอดเวลา เธอไม่คุยเรื่องทั่วไปแม้แต่กับเพื่อนหรือผู้ช่วยของเธอก็ตาม พนักงานเข้าใหม่ทุกคนเข้าใจดีถึงกฎที่ไม่เคยระบุเอาว่า ‘ยามใดที่เธอระเบิดลงใส่คุณ ยามนั้นคุณห้ามโต้เถียงเด็ดขาด’ ห้ามแม้แต่จะปริปากพึมพำเลยด้วยซ้ำ ไม่งั้นเรื่องจะยาว”

ลูกน้องเธอหลายคนบ่นเป็นเสียเดียวกันว่า…เมื่อเธอต้องการอะไร เธอต้องได้มันตอนนี้ ไม่ใช่ในไม่ช้า “ไม่งั้นคุณจะถูกจับโยนลงน้ำ และมีแค่สองทางเลือกคือ จะว่ายกลับขึ้นมา หรือปล่อยตัวเองจมลงไป”

แต่นับตั้งแต่หลังปี 2000 ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับอดีตสามีคนที่สองของเธอ เชลบี ไบรอัน ได้รับการยกย่องว่าเขาช่วยปรับพฤติกรรมให้เธออ่อนลง “แม้เธอจะยังคงอารมณ์เสียอยู่ตลอดเวลา แต่กลับมีบุคลิกที่แตกต่างไปจากเดิม ทำให้เธอดูเป็นคนอารมณ์ดีขึ้น และทำงานด้วยได้ง่ายขึ้น”

คำชี้แจงจากนางมารร้าย

ครั้งหนึ่งวินทัวร์เคยโต้ตอบสื่อว่า “พวกเราส่วนใหญ่ที่อ่าน Vogue ไม่ได้ตั้งใจจะซื้อเสื้อผ้าราคาแพง แต่เพราะว่าการอ่านจะทำให้สายตาของเราเฉียบแหลมและทำให้เรารู้จักรสนิยม ก็เหมือนกินอาหารรสเลิศที่ทำให้ลิ้นของเรากลมกล่อมขึ้น” นี่คือความสุขที่ได้รับจากสุนทรีย์อันไร้ปราณีของวินทัวร์

“มีผู้คนมากมายในออฟฟิศของฉัน หลายคนยังคงทำงานกับฉันมานานเป็นสิบ ๆ ปี คือถ้าฉันเป็นคนใจร้ายขนาดนั้น ทำไมพวกเขายังคงอยู่ที่นี่ ถ้าบางครั้งฉันอาจจะดูเย็นชาหรือหยาบคายไปบ้าง นั่นเป็นเพราะฉันกำลังพยายามทำงานอยู่อย่างหนักหน่วงต่างหากล่ะ”

เมื่อปี 2011 ตอนที่นิตยสารฟอร์บส์จัดให้เธออยู่ในอันดับ 69 ในรายชื่อหญิงแกร่งทรงพลัง 100 อันดับแรกของโลก เธอโต้ตอบว่า “ฉันไม่ได้คิดว่าตัวเองจะมีอำนาจขนาดนั้น แต่คุณรู้ไหมคะว่า มันก็แค่คุณจะได้ที่นั่งที่ดีกว่าในร้านอาหาร หรือได้ตั๋วฟรีเข้าดูหนังรอบปฐมทัศน์ แต่โอกาสที่ดีเยี่ยมคือฉันสามารถช่วยเหลือผู้คนได้มากขึ้น…เราทำให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นได้เข้าถึงแฟชั่นที่ดีขึ้น มีคนจำนวนมากขึ้นสามารถเป็นเจ้าของแบรนด์แฟชั่นชั้นนำ”

แล้วถ้าคุณอยากรู้ว่าทำไมเธอถึงชอบสวมแว่นดำอยู่เกือบจะตลอดเวลา เราขอรวบรวมคำตอบมาจากหลายแหล่งว่า “มันมีประโยชน์จริง ๆ ฉันสามารถนั่งดูโชว์ได้นาน ๆ และถ้าฉันเบื่อสุด ๆ ก็จะไม่มีใครสังเกตเห็น…แว่นดำกลายเป็นเหมือนเกราะที่ช่วยให้ฉันรักษาระยะห่างจากโลกภายนอก และสร้างภาพลักษณ์ของ ‘ความเด็ดขาด’ และ ‘ควบคุมทุกอย่างได้’ ซึ่งเหมาะกับตำแหน่งบรรณาธิการบริหาร Vogue ที่ต้องตัดสินใจเร็วและเด็ดขาด…แว่นดำคือเครื่องหมายการค้าของฉัน และเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนอันทรงอิทธิพลในโลกแฟชั่น”

แม้ล่าสุดเธอจะอำลาจากเก้าอี้บรรณาธิการบริหารแล้ว แต่ยังคงดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองบรรณาธิการระดับโลกของ Vogue และ หัวหน้าฝ่ายเนื้อหาของ Condé Nast รวมถึงยังมีบทบาทสำคัญในกิจกรรมหลัก เช่น Met Gala, Vogue World และตำแหน่งบรรณาธิการกีฬาและละครมิวสิเคิลตลอดไป ในวาระอำลานี้เธอกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า

“มันจะน่าตื่นเต้นขนาดไหน… ที่ได้ร่วมงานกับผู้คนใหม่ ๆ ที่จะมาท้าทายเรา…เป็นแรงบันดาลใจให้กับเรา…และทำให้พวกเราทุกคนยังคงรำลึกนึกถึง Vogue ในรูปแบบดั้งเดิม…อย่างเหลือคณนานับ”