เปรมปพัทธ ผลิตผลการพิมพ์
Self-care คืออะไรกันแน่ ในวันที่ทุกคนต่างเหนื่อยล้าการดูแลตัวเอง
ในยุคที่เราถูกห้อมล้อมด้วยคำแนะนำให้ “รักตัวเอง” หันมาใส่ใจสุขภาพจิต นั่งสมาธิ ฟังเสียงธรรมชาติ หรือใช้เวลาหนึ่งวันกับตัวเองในคาเฟ่สีขาวสะอาด เป็นเรื่องง่ายที่จะเชื่อว่าการมีสุขภาวะที่ดีนั้นอยู่ในกำมือของเราเองอย่างสมบูรณ์ เราเพียงแค่ต้องตั้งใจ มีวินัย และเลือกชีวิตที่สมดุลมากขึ้น รวมถึงจับจ่ายใช้สอยสิ่งที่จะนำมาซึ่งสุขภาวะที่ดีของเราเอง ท่ามกลางวัฒนธรรมของการพัฒนาตนเองที่แผ่ซ่านไปทุกพื้นที่ทั้งในสังคมออนไลน์ และแผงหนังสือ Best Seller เรามักพบเห็นบทความที่แนะนำวิธีมีความสุข 10 ขั้นตอน เทคนิคการบำบัดตัวเอง หรือคำพูดเชิงบวกที่ชวนให้เรารับผิดชอบต่อความรู้สึกของตัวเองทั้งหมด ไม่ว่าจะเศร้า เหนื่อย หรือหมดแรง เรากลับถูกกระตุ้นให้ตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ฉันจัดการตัวเองพอหรือยัง?”
ทว่าท่ามกลางคำพูดปลุกใจเหล่านี้ ยังมีเสียงสะท้อนของความเหนื่อยล้า เศร้าหมอง และหมดไฟจากคนอีกจำนวนมากที่ “ทำทุกอย่างถูกต้อง” ตามตำราการดูแลตัวเองแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่หายดีเสียที พวกเขาเลือกกินคลีน ออกกำลังกายทุกวัน จัดตารางเวลาชีวิตอย่างมีวินัย และหลีกเลี่ยงความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ แต่สุดท้ายก็ยังรู้สึกว่างเปล่า โดดเดี่ยว และไร้พลังในการดำรงชีวิต สิ่งนี้กำลังสะท้อนว่า self-care ที่พึ่งพาเพียงกำลังของปัจเจก อาจไม่เพียงพอที่จะรับมือกับความรุนแรงที่มาจากโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจที่กดทับเราอยู่ทุกวัน
หลายครั้งความเหนื่อยล้าไม่ได้เกิดจากการไม่พยายาม แต่เกิดจากการพยายามจนเกินขีดจำกัด การทำ self-care จึงกลายเป็นภาระงานอีกชิ้นหนึ่งในรายการสิ่งที่ต้องทำ (to-do list) ของชีวิตสมัยใหม่ ที่นอกจากจะต้องทำงานหาเงินให้พอเลี้ยงชีพ ยังต้องดูแลสุขภาพกาย สุขภาพใจ ความสัมพันธ์ และภาพลักษณ์ในโซเชียลมีเดียให้พร้อมเพรียงในเวลาเดียวกัน ไม่แปลกเลยที่หลายคนจะรู้สึกผิดหากตัวเอง “หมดแรงเกินไป จนแม้แต่จะดูแลตัวเองก็ยังทำไม่ไหว” และกลายเป็นว่าความล้มเหลวในการ self-care กลับถูกใช้เป็นเครื่องชี้วัดความล้มเหลวของชีวิต
คำถามที่น่าคิดคือ ถ้า self-care เป็นคำตอบ ทำไมหลายคนยังล้มเหลวในการเยียวยาชีวิตของตน? หรือจริง ๆ แล้ว ปัญหานี้มันไม่ใช่เรื่องของปัจเจกแต่แรกเลยด้วยซ้ำ? หากระบบสาธารณสุขไม่เอื้อต่อการดูแลใจ หากระบบเศรษฐกิจทำให้คนต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อแค่มีชีวิตรอด หากพื้นที่สาธารณะมีน้อยเกินกว่าจะพักผ่อนหรือรู้สึกปลอดภัยได้จริง แล้วการขอให้ใครสักคน “รักตัวเอง” อย่างเดียว จะเพียงพอจริงหรือ? คำถามนี้ไม่เพียงท้าทายวาทกรรมการดูแลตัวเอง แต่ยังชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนของการเปลี่ยนผ่านจาก self-care ไปสู่ social-care
ชั้นชนสุขภาวะ สิทธิพิเศษที่คนจนเข้าไม่ถึง?
Self-care กลายเป็นวาทกรรมหลักของยุคที่รัฐและโครงสร้างทางสังคมหลีกหนีความรับผิดชอบในการดูแลพลเมือง ยิ่งในประเทศที่ไอเดียการพัฒนาเชิงโครงสร้างอ่อนแอ เส้นแบ่งระหว่างการดูแลตัวเองกับการถูกทอดทิ้งก็ยิ่งพร่าเลือน คำพูดเช่น “คุณต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเอง” หรือ “สุขภาพดีสร้างได้ด้วยตัวคุณเอง” แฝงพลังในการโทษเหยื่ออย่างแนบเนียน โดยเฉพาะกับผู้ที่ไม่มีทุนทรัพยากร ไม่ว่าจะเป็นเงิน เวลา หรือความปลอดภัยพื้นฐานในการใช้ชีวิต Self-care จึงค่อย ๆ กลายเป็น luxury—สิ่งฟุ่มเฟือยที่สงวนไว้ให้คนที่มีฐานะดีพอจะมีเวลาและเงินพอจะหยุดพักและเลือกดูแลตนเอง
ในทางปฏิบัติ คำว่า self-care อาจดูเรียบง่ายและเข้าถึงได้ แต่เมื่อมองลึกลงไปในมิติเชิงโครงสร้าง เราจะพบว่าเงื่อนไขเบื้องต้นในการดูแลตัวเองนั้นเต็มไปด้วยข้อจำกัด เช่น การมีเวลาว่างหลังเลิกงานที่ไม่ต้องนำไปใช้กับงานบ้านหรือการเลี้ยงดูคนในครอบครัว การมีรายได้พอจะซื้ออาหารสดหรือวิตามิน การสามารถเดินทางไปยังสวนสาธารณะหรือฟิตเนสที่ปลอดภัยและเข้าถึงได้ การสามารถนอนหลับได้อย่างมีคุณภาพโดยไม่ถูกรบกวนจากสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ (จะมีสักกี่สถานที่ในประเทศนี้ที่ “เงียบจริง ๆ”) หรือแม้กระทั่งการมีพื้นที่ในบ้านมากพอจะนั่งสมาธิโดยไม่ต้องเผชิญกับความแออัด ทุกสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเงื่อนไขที่คนจำนวนมากไม่มีโอกาสได้ครอบครอง
ในสังคมเมืองที่เร่งรีบ การได้หยุดพักสักหนึ่งวันอาจเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับแรงงานนอกระบบ คนขับมอเตอร์ไซค์ส่งอาหาร หรือพนักงานโรงงานที่ไม่มีวันลาพักใจ คนกลุ่มนี้มักมีชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน รายได้ไม่แน่นอน และขาดความมั่นคงทางอาชีพ ยิ่งไปกว่านั้น การเข้าถึงบริการสุขภาพจิตคุณภาพดีมักหมายถึงการรอคิวนานแรมเดือน หรือเสียค่ารักษาหลักพันถึงหลักหมื่นบาท ซึ่งไม่สอดคล้องกับความสามารถในการใช้จ่ายของผู้มีรายได้น้อย การได้กินอาหารดี ๆ นอนอย่างมีคุณภาพ หรือได้ออกกำลังกายในยิม ก็กลายเป็นอภิสิทธิ์ของชนชั้นกลางขึ้นไป ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม
ในบางกรณี แม้รัฐจะมีบริการพื้นฐานให้ เช่น โรงพยาบาลรัฐหรือศูนย์บริการสาธารณสุข แต่ระบบมักขาดบุคลากรด้านสุขภาพจิตหรือมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ ทำให้บริการที่ควรจะเป็นของทุกคน กลายเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้เฉพาะผู้มีทุนทางสังคมหรือรู้ช่องทางเท่านั้น ปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ แต่ยังชี้ให้เห็นถึงความละเลยของโครงสร้างรัฐที่ปล่อยให้การดูแลชีวิตตกอยู่ในมือของปัจเจกอย่างเดียวดาย Self-care จึงกลายเป็นคำที่ฟังดูดี แต่ในทางปฏิบัติกลับยิ่งขยายช่องว่างระหว่างคนที่มีอำนาจในการเลือกกับคนที่ไม่มีสิทธิแม้แต่จะหยุดพัก
สุขภาพจิตในประเทศไทย ภาวะวิกฤติที่ต้องการการตอบสนองจากรัฐ
ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกระบุว่าอัตราการฆ่าตัวตายในประเทศไทยเพิ่มขึ้น 32% ระหว่างปี 2017 ถึง 2022 โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นอายุ 15–19 ปี และในปี 2024 พบว่า 15.5% ของประชากรมีความเครียดระดับสูง 17.2% มีความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า และ 10.6% มีความเสี่ยงต่อการคิดฆ่าตัวตาย ทั้งที่มีประชากรราว 10 ล้านคนที่มีปัญหาสุขภาพจิต แต่มีเพียง 2 ล้านคนเท่านั้นที่ได้รับการรักษา
ข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลข แต่สะท้อนวิกฤตเงียบที่กำลังกัดกร่อนคุณภาพชีวิตของคนไทยอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและคนวัยทำงาน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ควรเป็นพลังหลักของประเทศ การที่วัยรุ่นจำนวนมากเผชิญภาวะเครียด วิตกกังวล และซึมเศร้าจนถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของระบบสนับสนุนทางสังคมและการศึกษาที่ควรดูแลพวกเขาตั้งแต่ต้นทาง เช่น การไม่มีนักจิตวิทยาประจำโรงเรียน การไม่มีพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กแสดงออก หรือการไม่มีบทสนทนาเรื่องสุขภาพจิตในบ้านและชุมชน
ในระดับประเทศ ระบบสาธารณสุขด้านจิตเวชของไทยยังคงอ่อนแออย่างเห็นได้ชัด จากรายงานของกรมสุขภาพจิตพบว่า ประเทศไทยมีจิตแพทย์ประมาณ 1,000 คนทั่วประเทศ หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1.5 คนต่อประชากร 100,000 คน ขณะที่องค์การอนามัยโลกแนะนำว่าควรมีจิตแพทย์อย่างน้อย 10 คนต่อประชากร 100,000 คน หมายความว่าไทยยังขาดจิตแพทย์อยู่อีกถึง 7 เท่า และในบางพื้นที่ เช่น ภาคอีสานหรือภาคเหนือ จิตแพทย์หนึ่งคนอาจต้องดูแลคนไข้เป็นพันหรือหมื่นคน ทำให้การเข้าถึงการรักษาทางจิตเวชล่าช้า ไม่ทั่วถึง และไม่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคล
นอกจากนี้ บริการให้คำปรึกษาเชิงจิตวิทยาโดยนักจิตวิทยาคลินิกก็ยังมีอยู่อย่างจำกัด และส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในเขตเมืองหรือโรงพยาบาลใหญ่ ประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท จึงไม่มีทางเลือกอื่น สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความไม่เป็นธรรมทางภูมิศาสตร์ (geographic inequality) ที่ทำให้คนบางกลุ่มไม่อาจเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานในการรักษาใจ
ในเชิงโครงสร้าง รัฐไม่ได้ลงทุนมากพอในระบบที่จำเป็นต่อสุขภาพจิต ไม่ว่าจะเป็นการจัดจ้างบุคลากรจิตวิทยาในโรงเรียนให้ครบทุกเขตพื้นที่ การพัฒนาเครือข่ายบริการให้คำปรึกษาในระดับชุมชนอย่างต่อเนื่อง หรือการออกแบบพื้นที่สาธารณะที่เอื้อต่อการพักฟื้นจากความเหนื่อยล้าในชีวิตประจำวัน เช่น สวนสาธารณะ ห้องเงียบ (quiet rooms) ในห้างหรือสถานีขนส่ง หรือศูนย์สุขภาวะเชิงสร้างสรรค์ที่คนสามารถเข้าไปทำกิจกรรมคลายเครียดได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ความล้มเหลวในการจัดระบบเหล่านี้ไม่ได้เพียงทำให้คนล้มเหลวในการดูแลตัวเอง แต่ยังผลักภาระทั้งหมดไปไว้ที่ปัจเจกอย่างไม่เป็นธรรม
นอกจากนี้ หน่วยงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสุขภาวะทางใจของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานด้านสาธารณสุข เยาวชน การศึกษา หรือการพัฒนาสังคม ยังมักเน้นจัดกิจกรรมอีเวนต์หรือแคมเปญประชาสัมพันธ์ที่แม้จะตั้งใจดี แต่แทบไม่สามารถวัดผลระยะยาวหรือสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงระบบได้จริง อีเวนต์เหล่านี้มักเน้น “สร้างความตระหนักรู้” (awareness) แต่ขาดการเชื่อมโยงไปสู่การออกแบบเชิงนโยบาย เช่น การแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การจัดสรรงบประมาณให้สถานศึกษาจ้างนักจิตวิทยาประจำ หรือการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมบุคลากรในพื้นที่อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง การเน้นทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์โดยไม่มีความต่อเนื่องหรือกลไกติดตาม จึงทำให้ทรัพยากรที่ควรใช้ในการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างถูกใช้ไปกับการสร้างภาพลักษณ์ มากกว่าสร้างระบบที่ทำให้ประชาชนอยู่ดีจริง ๆ
หากรัฐยังคงนิ่งเฉยต่อข้อมูลและสัญญาณเตือนจากวิกฤตสุขภาพจิต เราอาจต้องเผชิญกับผลกระทบระยะยาวทั้งในเชิงเศรษฐกิจ (จากแรงงานที่หมดไฟเรื้อรัง) เชิงสังคม (จากความรุนแรงที่เกิดจากความทุกข์ที่ไม่ได้รับการเยียวยา) และเชิงมนุษยธรรม (จากการสูญเสียชีวิตของผู้คนที่อาจช่วยได้หากโครงสร้างสนับสนุนเพียงพอ) การตอบสนองต่อวิกฤตสุขภาพจิตจึงไม่ใช่แค่เรื่องของการแพทย์ แต่คือภารกิจของรัฐในฐานะผู้ดูแลชีวิตของประชาชนในระดับโครงสร้าง
Wellness ที่แท้จริงต้องมีโครงสร้างรองรับ
แนวคิดเรื่อง wellness มักถูกเข้าใจว่าเป็นเรื่องของการปรับพฤติกรรมส่วนบุคคล เช่น การออกกำลังกาย นอนให้เพียงพอ หรือฝึกสมาธิ แต่ตัวอย่างจากต่างประเทศชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า wellness ที่ยั่งยืนและเข้าถึงได้จริง ไม่สามารถเกิดขึ้นจากเจตนาดีหรือแรงจูงใจของปัจเจกเพียงลำพัง แต่ต้องมีโครงสร้างทางสังคมและนโยบายสาธารณะที่คอยสนับสนุนในระดับระบบด้วย
ในฟินแลนด์ ระบบการศึกษาให้ความสำคัญกับสุขภาวะของนักเรียนตั้งแต่ระดับต้น โรงเรียนทุกแห่งมีนักจิตวิทยาหรือนักแนะแนวที่ผ่านการอบรมด้านสุขภาพจิตให้บริการอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ยังมีหลักสูตร Life Skills ที่สอนให้นักเรียนเข้าใจและจัดการกับอารมณ์ ความเครียด ความสัมพันธ์ และเป้าหมายชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย นี่ไม่ใช่เพียงวิชาเสริม แต่เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาหลัก เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางใจให้เด็กและเยาวชนสามารถรับมือกับความกดดันของโลกปัจจุบันได้ดีขึ้น รัฐบาลฟินแลนด์ยังสนับสนุนศูนย์วิกฤต SOS ซึ่งเปิดให้บริการคำปรึกษาเชิงจิตวิทยาและการช่วยเหลือทางอารมณ์แบบ walk-in ฟรี โดยไม่ต้องมีใบส่งตัวหรือขั้นตอนที่ซับซ้อน ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างสะดวก
ในเนเธอร์แลนด์ มหาวิทยาลัยและห้องสมุดหลายแห่งได้พัฒนาโซนสงบ (quiet zones) และกิจกรรมผ่อนคลายภายใต้แนวคิด Mindful Library เพื่อให้นักศึกษาและบุคลากรสามารถพักจากความเครียดสะสม และมีพื้นที่สำหรับการทำสมาธิ การฝึกหายใจ หรือแม้กระทั่งการนั่งเงียบ ๆ โดยไม่ถูกรบกวน สิ่งนี้สะท้อนว่าการดูแลใจไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่หรือซับซ้อนเสมอไป แต่สามารถเริ่มได้จากการจัดพื้นที่ให้เหมาะสมและปลอดภัย
ในสกอตแลนด์ รัฐบาลได้ริเริ่มโครงการรายได้พื้นฐานถ้วนหน้า (Universal Basic Income – UBI) ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อลดแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่เป็นรากของความเครียดเรื้อรัง รายงานวิจัยจาก Mental Health Foundation ระบุว่า UBI สามารถลดภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวลในกลุ่มคนที่มีรายได้น้อยได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ยังมีศูนย์ walk-in ด้านสุขภาพจิตที่ชื่อว่า The Nook ซึ่งออกแบบให้ผู้คนสามารถเข้าไปพูดคุย ปรึกษา และได้รับความช่วยเหลือทันที โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนทางระบบราชการที่ซับซ้อน เป็นการคืนความเป็นมนุษย์ให้กับบริการสุขภาพจิตที่เคยถูกทำให้กลายเป็นของฟุ่มเฟือย
ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า wellness ไม่ได้เป็นเรื่องของการมีเจตนาดีหรือวินัยส่วนบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของโครงสร้างที่ต้องออกแบบให้คนเข้าถึงได้โดยไม่ต้องพยายามเกินแรง หากรัฐและสังคมไม่ร่วมกันออกแบบระบบที่เอื้อต่อสุขภาวะอย่างรอบด้าน เราก็จะยังคงผลักภาระการเยียวยาไว้กับผู้ที่อ่อนล้าอยู่แล้วให้ต้องดิ้นรนต่อไปอย่างเดียวดาย
โครงสร้างที่ไทยยังไม่มี
ในประเทศไทย เรากลับพบภาพตรงข้ามจากประเทศที่ให้ความสำคัญกับ wellness เชิงโครงสร้างอย่างชัดเจน โรงเรียนของรัฐส่วนใหญ่ไม่มีนักจิตวิทยาประจำ และหากมีก็มักรับผิดชอบนักเรียนจำนวนมหาศาลในเขตพื้นที่กว้างขวาง นักเรียนหลายคนต้องเผชิญภาวะเครียดสะสมจากระบบการศึกษาที่เน้นการแข่งขัน วัดผลจากคะแนนสอบ และขาดพื้นที่ให้เด็กได้พัฒนาอารมณ์ ความคิดสร้างสรรค์ หรือการสะท้อนตัวเองในเชิงลึก
แม้จะมีการพูดถึง SEL (Social and Emotional Learning) บ้างในบางหลักสูตรนำร่อง แต่โดยรวมแล้ว ระบบการศึกษาของไทยยังไม่หลุดจากการจัดการแบบอุตสาหกรรมที่ใช้ผู้เรียนเป็นผลผลิต ไม่ใช่มนุษย์ที่มีจิตใจและความรู้สึก ระบบนี้ส่งผลให้เด็กจำนวนมากรู้สึกด้อยคุณค่า ไม่มั่นใจในตนเอง และเติบโตมากับความรู้สึกผิดพลาดโดยไม่เข้าใจต้นตอของความทุกข์นั้นเลย
ในที่ทำงาน หัวหน้างานจำนวนมากขาดความรู้พื้นฐานเรื่องสุขภาพจิต และมองว่าความเครียด ความเหนื่อย หรือความเบื่องานเป็นเพียงสัญญาณของความไม่พยายาม ไม่สู้งาน หรือไม่มืออาชีพ การลาป่วยจึงมักถูกใช้ได้เฉพาะกับอาการทางกาย ไม่ใช่ทางใจ ส่งผลให้คนจำนวนมากฝืนทำงานต่อทั้งที่ภายในกำลังพังทลาย
ในขณะเดียวกัน การเข้าถึงบริการด้านสุขภาพจิตยังเต็มไปด้วยข้อจำกัดทั้งเชิงระบบและเชิงทัศนคติ แม้จะมีสายด่วนสุขภาพจิตและบริการให้คำปรึกษาผ่านออนไลน์หรือโทรศัพท์ แต่บุคลากรยังไม่เพียงพอ ข้อมูลไม่เข้าถึงประชาชน และคนส่วนใหญ่ยังรู้สึกว่า “การไปพบจิตแพทย์” คือสิ่งน่ากลัว หรือมีตราบาป (stigma) ติดอยู่ (และแน่นอนสิ่งนี้เองเป็นมากกว่าตราบาป แต่กลายเป็นตราประทับ เมื่อคุณอยากทำประกันสุขภาพสักฉบับ) ความเข้าใจเรื่องสุขภาพจิตในไทยยังอยู่ในระดับพื้นฐาน ทำให้คนจำนวนมากรู้สึกว่าอาการของตนไม่สำคัญพอจะไปรักษา
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า โครงสร้างในประเทศไทยยังไม่ยอมรับ wellness ว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ แต่ยังคงมองว่าเป็นความรับผิดชอบส่วนบุคคล หากคุณอยากมีความสุข จงไปวิ่ง ออกกำลังกาย หรือฝึกโยคะเอง ไม่มีใครจะมาดูแลคุณได้ นี่คือทัศนคติที่ฝังรากลึกและกำลังทำให้คนไทยจำนวนมากตกอยู่ในความทุกข์โดยไร้ที่พึ่ง
หากประเทศไทยไม่เริ่มมอง wellness ว่าเป็นเรื่องของนโยบายและโครงสร้าง ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของใครคนใดคนหนึ่ง ก็ยากที่สังคมนี้จะฟื้นคืนพลังชีวิตให้คนรุ่นใหม่ที่กำลังหมดไฟไปทีละคน อย่างเงียบ ๆ
การตั้งคำถามต่อความเข้าใจผิดเรื่องการดูแลตัวเอง
ความเข้าใจผิดอีกอย่างหนึ่งที่ฝังรากลึกในสังคมคือ การเชื่อว่าการดูแลสุขภาวะเป็นเรื่องของความพยายามส่วนบุคคลอย่างสมบูรณ์ หากใครเหนื่อย เครียด หรือหมดไฟ มักถูกตัดสินว่าเป็นเพราะพวกเขาไม่รู้จักจัดการเวลา ไม่รู้จักตั้งเป้าหมาย หรือไม่รู้จัก “รักตัวเองให้เป็น” วิธีคิดเช่นนี้ถูกทำให้ดูเหมือนสร้างแรงบันดาลใจและส่งเสริมการพึ่งพาตนเอง แต่ในทางกลับกัน มันกลับปิดโอกาสในการตั้งคำถามต่อระบบที่ทำให้ผู้คนต้องแบกความทุกข์ไว้อย่างโดดเดี่ยว
วาทกรรมนี้ทำให้ผู้คนโทษตัวเองอย่างเงียบงัน หากรู้สึกเครียด พวกเขาถูกสอนให้กลับไปหาสาเหตุที่ตนเอง ไม่ใช่สาเหตุเชิงโครงสร้าง เช่น ชั่วโมงการทำงานที่มากเกินไป รายได้ที่ไม่พอค่าใช้จ่าย ความไม่มั่นคงในการจ้างงาน หรือแรงกดดันจากครอบครัวและสังคม วาทกรรมเหล่านี้บอกเราว่า ถ้าคุณไม่ประสบความสำเร็จ ก็เพราะคุณยังไม่พยายามพอ ไม่ขยันพอ หรือไม่รู้จักใช้เวลาให้คุ้มค่า ทั้งที่ในความเป็นจริง คนจำนวนมากกำลังทำดีที่สุดเท่าที่เงื่อนไขชีวิตจะเอื้อให้ทำได้แล้ว
แนวคิดนี้ยังซ่อนความรุนแรงที่มองไม่เห็น เพราะมันทำให้ผู้คนรู้สึกผิดกับอารมณ์ของตัวเอง ทั้งที่ความรู้สึกเหล่านั้นเป็นผลผลิตจากสังคมที่กดทับพวกเขาอยู่ทุกวัน การรู้สึกเหนื่อยล้า หมดไฟ หรือสิ้นหวัง ไม่ควรถูกตีความว่าเป็นจุดอ่อน แต่ควรถูกเข้าใจว่าเป็นสัญญาณเตือนว่าเรากำลังอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมกับความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการเมืองที่ปิดกั้นเสรีภาพ เศรษฐกิจที่ทำให้เราต้องดิ้นรนทุกวัน หรือวัฒนธรรมองค์กรที่ยกย่องการทำงานเกินเวลาจนกลายเป็นบรรทัดฐาน
การตั้งคำถามกับวาทกรรม self-responsibility นี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่แค่เปลี่ยนวิธีคิดของแต่ละคน แต่คือการเปลี่ยนมุมมองของสังคมทั้งหมด ว่า wellness ไม่ควรถูกจัดวางอยู่ในพื้นที่ของ “ความเข้มแข็งส่วนบุคคล” เท่านั้น แต่ควรถูกจัดวางในพื้นที่ของ “สิทธิทางสังคม” ที่ทุกคนควรได้รับโดยไม่ต้องแลกมาด้วยพลังชีวิตสุดท้ายของตนเอง
Social-care คืนความรับผิดชอบให้รัฐ ออกแบบสังคมให้คนอยู่ดีได้
การพูดถึง social-care ไม่ใช่การลดทอนคุณค่าของ self-care แต่เป็นการขยายกรอบให้เห็นว่า wellness ที่แท้จริงไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากไม่มีโครงสร้างทางสังคมที่คอยประคับประคองผู้คนให้ลุกขึ้นมาใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี การดูแลตัวเองเป็นเรื่องสำคัญ แต่ไม่ควรเป็นภาระลำพังของปัจเจกโดยไม่มีสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้เราดูแลตนเองได้จริง
Social-care จึงหมายถึงการคืนความรับผิดชอบบางส่วนให้กับรัฐและระบบ ไม่ใช่การพึ่งพิงแบบไม่คิด แต่คือการออกแบบระบบสาธารณะใหม่ทั้งหมดให้สนับสนุนสุขภาวะของประชาชนอย่างแท้จริง เมืองควรเดินได้โดยไม่เสี่ยงต่อการถูกรถชน มีต้นไม้ให้ร่มเงา มีที่นั่งพัก มีน้ำดื่มสะอาดฟรี และมีระบบขนส่งที่ไม่ทำให้ผู้โดยสารหมดแรงตั้งแต่ยังไม่ถึงที่ทำงาน โรงเรียนควรเป็นพื้นที่ที่นักเรียนรู้สึกปลอดภัย กล้าคิด กล้าถาม และกล้าเป็นตัวเอง ไม่ใช่พื้นที่ของความกลัวและการวัดค่าจากคะแนนสอบเพียงอย่างเดียว
ระบบสาธารณสุขควรเข้าถึงได้ง่าย ไม่ใช่แค่มีโรงพยาบาล แต่ต้องมีบุคลากรด้านสุขภาพจิตเพียงพอ มีระบบส่งต่อที่มีประสิทธิภาพ และมีการลดตราบาปเกี่ยวกับจิตเวชอย่างจริงจัง พื้นที่ทางสังคม เช่น ห้องสมุด สวนสาธารณะ หอศิลป์ หรือศูนย์เยาวชน ควรได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องในฐานะพื้นที่พักใจของสังคม ไม่ใช่ถูกมองเป็นงบฟุ่มเฟือยหรือส่วนเกินของการพัฒนา
สิ่งที่เราควรเรียกร้องจากรัฐจึงไม่ใช่เพียงการเพิ่มงบด้านสุขภาพจิตในเชิงตัวเลข แต่ต้องรวมถึงการคิดใหม่ทั้งระบบ ตั้งแต่การออกแบบนโยบายแรงงานที่มีความยืดหยุ่นและเอื้อให้คนมีสมดุลชีวิต การปฏิรูประบบการศึกษาที่มุ่งเน้น wellbeing มากกว่าการแข่งขัน การวางผังเมืองที่เอื้อต่อมนุษย์ ไม่ใช่เพียงต่อรถยนต์ ไปจนถึงการสร้างสวัสดิการสาธารณะที่เข้าใจมนุษย์ทั้งในฐานะผู้ผลิตและผู้มีชีวิต
Social-care จึงไม่ใช่คำที่สวยหรู แต่คือแนวทางปฏิบัติที่จับต้องได้ หากรัฐและสังคมเห็นคุณค่าของมนุษย์อย่างแท้จริง เราต้องกล้ายอมรับว่าสุขภาวะไม่ใช่ผลลัพธ์ของความพยายามส่วนบุคคลเท่านั้น แต่คือผลรวมของความกล้าหาญเชิงโครงสร้างที่จะทำให้การมีชีวิตที่ดีไม่ใช่ความฝันของคนบางกลุ่ม แต่เป็นมาตรฐานขั้นต่ำสุดของทุกคน
เปลี่ยนคำถาม เปลี่ยนสังคมของเรา
ถึงเวลาที่เราจะเลิกถามว่า “วันนี้คุณรักตัวเองแล้วหรือยัง?” แล้วเริ่มถามว่า “วันนี้รัฐได้ออกแบบสังคมให้เราอยู่ดีได้หรือยัง?” คำถามแรกคือการผลักภาระให้แต่ละคนแบกรับความเหนื่อยล้าด้วยตนเอง ขณะที่คำถามหลังคือการตั้งต้นของการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ ในโลกที่เต็มไปด้วยความเปราะบาง ความเหนื่อยล้า และความไม่มั่นคง คำว่า wellness จึงไม่ควรถูกจำกัดอยู่แค่ในพื้นที่ของวินัยส่วนบุคคลหรือการดูแลตัวเองอย่างเงียบงัน แต่ต้องถูกวางอยู่ในพื้นที่ของนโยบาย สวัสดิการ และความเป็นธรรมทางสังคม
ลองจินตนาการสังคมที่เด็กทุกคนสามารถเข้าถึงนักจิตวิทยาในโรงเรียนได้โดยไม่ต้องรอคิวเป็นเดือน ผู้สูงอายุมีศูนย์ฟื้นฟูสุขภาวะในชุมชนโดยไม่ต้องเดินทางเข้าเมือง คนวัยทำงานสามารถลาหยุดพักใจได้โดยไม่ต้องอธิบายชีวิตให้หัวหน้างานฟัง และผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงอาหารที่มีคุณภาพและที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัยในราคาที่ไม่เบียดเบียนสุขภาพจิต สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความเพ้อฝัน หากแต่เป็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นได้จากการออกแบบโครงสร้างทางสังคมที่เห็นคุณค่าของมนุษย์อย่างจริงจัง
การเปลี่ยนคำถามยังหมายถึงการเปลี่ยนแนวคิดว่าใครควรเป็นผู้รับผิดชอบต่อชีวิตที่ดีของเรา ในวัฒนธรรมที่เน้นความพยายามของปัจเจก เรามักถูกสอนว่าหากยังไม่มีความสุข แปลว่าเรายังพยายามไม่พอ แต่ในวัฒนธรรมแห่งความห่วงใย (culture of care) เราจะเริ่มถามว่า อะไรในระบบที่ควรถูกแก้ไขเพื่อให้ทุกคนมีโอกาสเริ่มต้นชีวิตได้อย่างเท่าเทียม ในที่ที่โครงสร้างเอื้อให้ผู้คนดูแลตัวเองได้จริง คำว่า “รักตัวเอง” จะไม่ใช่ภาระ แต่คือผลลัพธ์ของสังคมที่รักประชาชนของตนเองก่อน
การเปลี่ยนคำถามคือการท้าทายอุดมการณ์หลักของระบบเศรษฐกิจที่วัดคุณค่าของมนุษย์จากผลิตภาพ ความสำเร็จ และผลลัพธ์ทางตัวเลข เราเคยชินกับโลกที่การอยู่รอดคือชัยชนะ และการได้พักคือรางวัลของคนที่ “ทำงานหนักพอ” แต่เราสามารถจินตนาการถึงโลกที่การได้พักคือสิทธิ ไม่ใช่รางวัล และการมีความสุขไม่ใช่เครื่องบ่งชี้ของชัยชนะ แต่คือเงื่อนไขพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ที่ไม่มีใครต้องต่อรอง
Wellness จึงไม่ใช่แค่การเดินทางภายใน ไม่ใช่เพียงการฝึกหายใจเข้า-ออก หรือการ retreat ไปใช้ชีวิตในชนบท หากแต่เป็นคำถามเชิงโครงสร้างว่า เราจะออกแบบโลกนี้อย่างไรให้การมีชีวิตที่ดีไม่ใช่รางวัลของผู้ชนะ แต่เป็นเงื่อนไขขั้นต่ำสุดของทุกคน คำถามนี้จะนำเราไปสู่ระบบเศรษฐกิจแบบใหม่ เมืองแบบใหม่ ระบบแรงงานแบบใหม่ และความสัมพันธ์แบบใหม่ที่มนุษย์ไม่ต้องพิสูจน์คุณค่าของตนด้วย productivity ตลอดเวลา แต่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยการมีชีวิตที่สงบ เรียบง่าย และเป็นมนุษย์อย่างเต็มที่
การเปลี่ยนคำถามจึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แต่มันคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนสังคมของเรา…