ThaiPublica > สู่อาเซียน > ผลสำรวจ World Bank ราคาสินค้าที่พุ่งสูงในลาว ส่งผลให้คนหันประกอบอาชีพอิสระ ไปทำงานต่างประเทศมากขึ้น

ผลสำรวจ World Bank ราคาสินค้าที่พุ่งสูงในลาว ส่งผลให้คนหันประกอบอาชีพอิสระ ไปทำงานต่างประเทศมากขึ้น

22 พฤษภาคม 2025


ที่มาภาพ: https://laotiantimes.com/2023/02/09/laos-south-korea-sign-agreement-on-financing-lao-workers-overseas/

อัตราเงินเฟ้อในลาวกำลังกัดกร่อนมาตรฐานการครองชีพและปรับเปลี่ยนตลาดงาน คนจำนวนมากขึ้นจึงต้องทำงาน ส่วนหนึ่งหันมาประกอบอาชีพอิสระ และเป็นแรงงานอพยพในต่างประเทศเพื่อช่วยเหลือครอบครัว จากผลสำรวจติดตามครัวเรือนของธนาคารโลกหรือ World Bank ล่าสุด

ผลการสำรวจทางโทรศัพท์ หรือ Rapid Monitoring Phone SurveysHousehold Welfare Monitoring in the Lao PDR ธนาคารโลกใน สปป.ลาว รอบที่ 10 ซึ่งเป็นรอบล่าสุด ระหว่างวันที่ 22 มกราคม ถึง 23 กุมภาพันธ์ 2568 พบว่า ภาวะไม่สมดุลของเศรษฐกิจมหภาคของลาวตั้งแต่ปี 2565 ที่เงินกีบอ่อนค่าลงรวดเร็วและอ่อนค่าลงเกือบเท่าตัวเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐระหว่างปี 2565-2567 กับอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสองหลัก ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในตลาดแรงงาน การจ้างงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีผู้หญิงเข้าสู่กำลังแรงงานมากขึ้น ในขณะเดียวกันค่าจ้างแท้จริงที่ลดลง ทำให้แรงงานจำนวนมากเปลี่ยนจากงานบริการไปสู่การเกษตร และจากการจ้างงานรับจ้างไปสู่การประกอบอาชีพอิสระ

แม้เมื่อเร็วๆนี้เศรษฐกิจของลาวจะดีขึ้น แต่ความไม่สมดุลยังคงมีอยู่และยังมีความท้าทายที่สำคัญอยู่ ในปี 2567 คาดว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจจะอยู่ที่ 4.1% ซึ่งขับเคลื่อนโดยภาคส่วนต่างๆ เช่น การท่องเที่ยว การขนส่ง ไฟฟ้า การขุด การเกษตร และการผลิต อย่างไรก็ตาม การเติบโตยังไม่กลับสู่ระดับก่อนเกิด COVID-19 เงินกีบอ่อนค่าลง 6% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐในตลาดทางการ แสดงให้เห็นถึงความกดดันที่ลดลงและเสถียรภาพที่มากขึ้นเมื่อเทียบกับการอ่อนค่าลง 18% ในปี 2566

แม้อัตราเงินเฟ้อจะยังคงอยู่ในระดับสองหลัก แต่อัตราเงินเฟ้อปีต่อปีได้ลดลงอย่างต่อเนื่องจากระดับสูงสุดที่ 41.3% ในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 เหลือ 11.2% ในเดือนมีนาคม 2568 ภาวะเงินเฟ้อสูงและค่าเงินที่อ่อนค่าเป็นเวลานานได้ทำให้ตลาดแรงงานเปลี่ยนไป กัดกร่อนมาตรฐานการครองชีพของครัวเรือน เร่งการย้ายถิ่นฐาน และบั่นทอนการพัฒนาทุนมนุษย์ใน สปป.ลาว และแม้อัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงเมื่อไม่นานมานี้ แต่แรงกดดันจากราคาที่ปรับขึ้นสะสมยังคงสร้างผลกระทบต่อครัวเรือน

แบบสอบถามครอบคลุมหัวข้อต่างๆ เช่น การเข้าถึงอาหารหลัก ความไม่มั่นคงด้านอาหาร การจ้างงาน ผลกระทบของเงินเฟ้อต่อครัวเรือน ธุรกิจครอบครัวและการเกษตร กิจกรรมทางเศรษฐกิจและรายได้ กลไกการรับมือ และการเข้าถึงความช่วยเหลือทางสังคม

ผลการสำรวจพบว่า

ผู้หญิงหางานทำมากขึ้นช่วยครอบครัว
ตัวเลขการจ้างงานดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 สัดส่วนของผู้ตอบแบบสอบถามที่รายงานว่าทำงานในเดือนมกราคม 2568 เพิ่มขึ้นเป็น 97.1% จาก 94.4% ในเดือนมิถุนายน 2567 และจาก 88.2% ในเดือนพฤษภาคม 2565 แรงงานชายและแรงงานในชนบทรายงานว่าทำงานมากกว่าผู้หญิงและแรงงานในเมือง ผู้หญิงเข้าสู่กำลังแรงงานมากขึ้น โดยช่องว่างการจ้างงานระหว่างเพศลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 8.0% ในเดือนธันวาคม 2565 เหลือเพียง 1.9% ในเดือนมกราคม 2568 แม้ว่าแนวโน้มนี้จะบ่งชี้ว่าแรงกดดันทางเศรษฐกิจ เช่น เงินเฟ้อและค่าครองชีพที่สูงขึ้น ส่งผลให้ผู้หญิงจำนวนมากขึ้นมองหางานทำเพื่อสนับสนุนรายได้ครัวเรือน แต่ก็อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าผู้หญิงสามารถเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจได้ดีขึ้นเช่นกัน ในกลุ่มคนที่ไม่ได้ทำงาน ส่วนใหญ่เกษียณอายุแล้ว เป็นแม่บ้านดูแลลูกหรือดูแลคนป่วย ลาป่วย หรือกำลังศึกษาอยู่ ไม่มีใครตอบว่ากำลังหางานอย่างจริงจังในช่วง 30 วันที่ผ่านมา ซึ่งหมายความว่าคนงานที่ว่างงานอยู่น่าจะหางานได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ

ค่าจ้างยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเงินเฟ้อที่ลดลงช่วยบรรเทาการลดลงของค่าจ้างจริง(real wages) ค่าจ้างเพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบรายปีในเดือนธันวาคม 2567 และด้วยเงินเฟ้อที่ลดลงจาก 24.4% เป็น 16.9% การลดลงของค่าจ้างจริงจึงชะลอลงจาก 11.2% ในปี 2566 เป็น 3.9% ในปี 2567

รายได้เกษตรกรดีขึ้น
ครัวเรือนยังคงขยายกิจกรรมทางการเกษตรและนำผลผลิตไปขายเชิงพาณิชย์ เนื่องจากผลตอบแทนจากการเกษตรยังคงดีกว่าผลตอบแทนจากธุรกิจครอบครัวที่ไม่ใช่ภาคเกษตรกรร ในเดือนมกราคม 2568 ครัวเรือน 92.9% (หมายถึงครัวเรือนเกษตรกร) รายงานว่ามีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเกษตรในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นจาก 86.8% ในเดือนมิถุนายน 2567 ในช่วงเวลาเดียวกัน สัดส่วนของครัวเรือนที่มีส่วนร่วมในการเกษตรเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นเกือบ 5% จาก 55.4% เป็น 60.2% การค้าขายเพิ่มขึ้นในกลุ่มครัวเรือนเกษตรกรที่มีรายได้น้อยและในชนบท ขณะที่กิจกรรมทางการเกษตรที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มครัวเรือนที่มีฐานะดีและในเมืองนั้นมีทั้งเพื่อการขายและการบริโภคของตนเอง แนวโน้มนี้ส่วนใหญ่เกิดจากราคาผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่สูงขึ้นและความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับการส่งออกสินค้าเกษตรและการทดแทนการนำเข้า

เกษตรกรรมเชิงพาณิชย์พบได้ทั่วไปในครัวเรือนที่มีรายได้น้อยและครัวเรือนในชนบท ซึ่งครึ่งหนึ่งของครัวเรือนเหล่านี้ขายผลิตภัณฑ์ของตนให้กับพ่อค้า ครัวเรือนที่มีรายได้น้อยเกือบ 3 ใน 4 ครัวเรือนประกอบอาชีพเกษตรกรรมเชิงพาณิชย์ เมื่อเทียบกับครัวเรือนที่มีฐานะดีขึ้นซึ่งมีเพียง 54.1% มันสำปะหลังและข้าวเป็นผลิตภัณฑ์สร้างรายได้หลัก จากการตอบแบบสอบถามของครัวเรือนที่มีฐานะดีขึ้นประมาณ 1 ใน 5 ครัวเรือน ขณะที่พูดถึงปศุสัตว์ ข้าวโพด และสัตว์ปีกประมาณ 10%

นอกจากนี้มีความแตกต่างกันในแต่ละกลุ่มเศรษฐกิจและสังคม โดยมันสำปะหลังมักผลิตโดยครัวเรือนที่มีรายได้น้อย ขณะที่ข้าวปลูกกันมากกว่าในครัวเรือนที่มีฐานะดีขึ้น ในบรรดาเกษตรกรเชิงพาณิชย์ ครึ่งหนึ่งขายผลิตภัณฑ์ของตนให้กับพ่อค้า ขณะที่ 24.9% ขายโดยตรงให้กับลูกค้า 9.9% ขายให้กับโรงงานแปรรูป และ 9.1% ขายให้กับสหกรณ์

ธุรกิจครัวเรือนในเมืองกำไรลดลง
ในเดือนมิถุนายน 2567 ครัวเรือนเกือบ 30% เป็นเจ้าของธุรกิจครอบครัวที่ไม่ใช่ภาคเกษตรกรรม เพิ่มขึ้นจาก 21.9% เมื่อปีที่แล้ว ครัวเรือนในเขตเมืองและครัวเรือนที่มีฐานะดีขึ้นมีแนวโน้มที่จะดำเนินธุรกิจมากกว่า โดยครัวเรือนที่มีฐานะดีขึ้น 31% รายงานว่าดำเนินธุรกิจครอบครัวที่ไม่ใช่ภาคเกษตรกรรม เมื่อเทียบกับครัวเรือนที่มีรายได้น้อย 27.9%

การเติบโตของกำไรในกลุ่มธุรกิจครอบครัวที่ไม่ใช่ภาคเกษตรกรรมชะลอตัวลง โดยต่ำกว่าการเติบโตของค่าจ้าง ในบรรดาธุรกิจครอบครัวที่ไม่ใช่ภาคเกษตรกรรม 45.6% มีกำไรเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ขณะที่ธุรกิจที่เหลือมีกำไรเท่าเดิมหรือลดลงโดยรวมแล้ว กำไรเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 7.4% ในปีที่สิ้นสุดเดือนธันวาคม 2567 ซึ่งต่ำกว่าทั้งอัตราการเติบโตของค่าจ้างประจำปีที่ 13.0% และอัตราเงินเฟ้อปีต่อปีที่ 16.9%

กำไรของธุรกิจครอบครัวที่ไม่ใช่ธุรกิจเกษตรที่ดำเนินการโดยครัวเรือนที่มีฐานะดี ครัวเรือนในเมือง และผู้หญิง ปรับตัวดีขึ้น แต่ยังคงตามหลังธุรกิจอื่นๆ ในเดือนธันวาคม 2567 ธุรกิจที่ดำเนินการโดยผู้ชาย 52.6% รายงานว่ากำไรเติบโตจากปีก่อน ขณะที่ธุรกิจที่ดำเนินการโดยผู้หญิงเพียง 40.4% เท่านั้นที่รายงานกำไรเท่าเดิม ขณะเดียวกัน ธุรกิจที่ดำเนินการโดยครอบครัวในเมืองและครัวเรือนที่มีฐานะดี รายงานกำไรลดลงมากกว่าครอบครัวในชนบทและครัวเรือนที่มีรายได้น้อย ตามลำดับ

แรงงานยังอพยพไปต่างประเทศ
แรงงานอพยพยังคงมีอยู่ โดยแรงงานแสวงหาโอกาสที่ดีกว่าและค่าจ้างที่สูงขึ้นในต่างประเทศ ณ เดือนมกราคม 2568 ครัวเรือนลาว 8.7% ตอบว่ามีสมาชิกอย่างน้อย 1 คนย้ายถิ่นฐานไปยังประเทศอื่น ในปี 2567 แรงงานที่ย้ายถิ่นฐาน 1 ใน 3 จากออกจากลาวไปต่างประเทศ

ครัวเรือนในชนบท ครัวเรือนที่มีรายได้น้อย และครัวเรือนที่มีผู้หญิงเป็นหัวหน้าครัวเรือน มีแนวโน้มที่จะรายงานการย้ายถิ่นฐานระหว่างประเทศมากที่สุด ในบรรดาผู้ย้ายถิ่นฐานที่มีรายได้น้อย 93.1% ระบุว่าค่าจ้างที่สูงขึ้นและโอกาสการจ้างงานที่ดีกว่าเป็นสาเหตุหลักในการย้ายถิ่นฐาน ในทางตรงกันข้าม 18.6% ของผู้ย้ายถิ่นฐานจากครัวเรือนที่มีฐานะดีขึ้นย้ายถิ่นฐานไปอยู่กับครอบครัว และ 8.8% ย้ายถิ่นฐานเพื่อการศึกษา

เงินโอนที่ส่งกลับมาจากผู้ที่โยกไปทำงานในตางประเทศช่วยสนับสนุนรายได้ของครัวเรือนโดย 8.6% ของครัวเรือนรายงานว่าได้รับเงินโอนในปี 2567 โดยเฉลี่ยต่อปี 22.9 ล้านกีบ ซึ่งเทียบเท่ากับประมาณ 76 ล้านกีบของรายได้ต่อปีตามค่าจ้างขั้นต่ำประจำของประเทศ

ครัวเรือนพึ่งพาเกษตร-เงินโอนมากขึ้น
อัตราเงินเฟ้อสองหลักยังคงส่งผลกระทบต่อครัวเรือนที่มีรายได้น้อยอย่างมาก ครัวเรือนกว่า 82% ยังคงรายงานว่าได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม ครัวเรือนที่รายงานว่าได้รับผลกระทบเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญลดลงจาก 52.9% เหลือ 45% ในรอบปี รายได้ครัวเรือนของครัวเรือนที่มีฐานะดีขึ้นยังคงตามทันอัตราเงินเฟ้อ โดยรายได้เฉลี่ยต่อหัวของครัวเรือนที่มีฐานะดีขึ้น 61.6% เพิ่มขึ้น 16.6% ณ เดือนธันวาคม 2567 ซึ่งใกล้เคียงกับอัตราเงินเฟ้อ 16.9% แต่ครัวเรือนที่มีรายได้น้อยเพียง 56.0% เท่านั้นที่รายงานรายได้ดังกล่าวเท่ากัน รายได้ของครัวเรือนที่มีรายได้น้อยกลับเพิ่มขึ้นเพียง 9.7% ส่งผลให้รายได้ต่อหัวที่แท้จริงลดลง 6.9%

ครัวเรือนพึ่งพารายได้จากการเกษตรและค่าจ้างมากขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงการขยายตัวของภาคเกษตรกรรมเชิงพาณิชย์และการชะลอตัวของการเปลี่ยนแปลงจากการจ้างงานรับจ้าง สัดส่วนของครัวเรือนที่มีรายได้จากกิจกรรมการเกษตรในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 81.6% ในเดือนธันวาคม 2566 เป็น 86.8% ในเดือนพฤษภาคม 2567 และเพิ่มขึ้นเป็น 92:9% ในเดือนธันวาคม 2567 การเพิ่มขึ้นนี้เห็นได้ในทุกกลุ่มเศรษฐกิจสังคม โดยเฉพาะครัวเรือนในเมือง ในทำนองเดียวกัน การพึ่งพารายได้จากค่าจ้างเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่ม โดยเพิ่มขึ้นมากขึ้นในกลุ่มชนบท ครัวเรือนที่มีฐานะดี และครัวเรือนที่มีหัวหน้าครอบครัวเป็นผู้ชาย ในทางตรงกันข้าม ครัวเรือนที่มีหัวหน้าครอบครัวเป็นผู้หญิงมากขึ้นต้องพึ่งพาเงินโอนเข้าประเทศและต่างประเทศ ดังที่เห็นได้จากอัตราการย้ายถิ่นฐานที่สูงขึ้นในหมู่สมาชิกในครอบครัว

ลดบริโภค-ใช้เงินออม-กู้เงินรับมือราคาอาหารแพง
ผลกระทบเชิงลบของภาวะเงินเฟ้อที่ต่อเนื่องเริ่มลดลง ในเดือนมกราคม 2568 ครัวเรือน 82.7% รายงานว่าได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อในช่วงเวลาของการสำรวจ ซึ่งลดลงจาก 90.6% ในเดือนมิถุนายน 2567 แม้สูงกว่า 81.4% ที่บันทึกไว้ในเดือนมกราคม 2567 เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม สัดส่วนของครัวเรือนที่รายงานผลกระทบเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญลดลงจาก 52.9% เป็น 45.0% ตลอดทั้งปี สถานการณที่ดีขึ้นนี้เห็นได้ชัดโดยเฉพาะในกลุ่มครัวเรือนในเขตเมืองและครัวเรือนที่มีรายได้น้อย ระหว่างเดือนมกราคม 2567 ถึงมกราคม 2568 สัดส่วนของครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญลดลงจาก 62.1% เป็น 48% ในเขตเมือง และจาก 56.0% เป็น 43.7% ในกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้น้อย

แม้อัตราเงินเฟ้อด้านอาหารจะคลี่คลายลง แต่ครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบ 59.4% ยังคงลดการบริโภคอาหารเพื่อรับมือกับราคาอาหารที่สูง สัดส่วนนี้เพิ่มขึ้นจาก 55.5% ในเดือนมิถุนายน 2567 แต่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงมากนักจาก 60.11% ในเดือนมกราคม 2567

ครัวเรือนในชนบทและครัวเรือนที่มีรายได้น้อยปรับตัวด้วยแนวทางดังนี้ ครัวเรือนที่มีรายได้น้อย 62.7% ลดการบริโภคอาหาร ซึ่งสูงกว่าครัวเรือนที่มีฐานะดีขึ้น 8.9 จุด เมื่อถามถึงปริมาณอาหารที่บริโภค ครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบ 46.4% รายงานว่าลดลง เพิ่มขึ้นจาก 42.2% ในเดือนมิถุนายน 2567 โดย 12.0% ระบุว่าลดลงอย่างมีนัยสำคัญ สัดส่วนดังกล่าวยังสูงขึ้นในกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำ (17.0%) และครัวเรือนของชนกลุ่มน้อย (18.84%)

ในกลุ่มที่ลดการบริโภคอาหาร 94.1% ลดการบริโภคเนื้อสัตว์และปลา และ 10.1% ลดการบริโภคผลไม้ คาดว่าแนวโน้มนี้จะเป็นอุปสรรคความก้าวหน้าด้านโภชนาการและพัฒนาการของเด็ก เนื่องจากอาหารที่มีโปรตีนสูงมีความสัมพันธ์อย่างมากกับผลลัพธ์ด้านโภชนาการในลาว แนวทางการรับมืออื่นๆ ที่ครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบใช้ ได้แก่ การขยายการผลิตอาหารในครัวเรือน (90.3%) หันไปซื้ออาหารราคาถูกกว่า (73.4%) และบริโภคอาหารจากแหล่งธรรมชาติ (68.7%)

ขณะเดียวกัน ครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบ 71.4% ต้องหันไปใช้เงินออม อีก 31.7% ขายทรัพย์สิน 29.0% ซื้อสินค้าด้วยเงินเชื่อ 26.6% ยืมเงินจากเพื่อนหรือครอบครัว และ 20.3% กู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน การขายทรัพย์สินและซื้อด้วยเงินเชื่อพบได้บ่อยเป็นพิเศษในกลุ่มครัวเรือนในชนบทและครัวเรือนที่มีรายได้น้อย
แนวทางเหล่านี้จะทำให้ทรัพย์สินของครอบครัวหมดลง ทำให้ความสามารถในการฟื้นตัวและความสามารถในการสร้างรายได้ในอนาคตอ่อนแอลง

ระดับความไม่มั่นคงด้านอาหารหลังการเก็บเกี่ยวแทบไม่เปลี่ยนแปลง และครัวเรือนที่ยากจนยังคงเปราะบาง ครัวเรือนที่มีรายได้น้อยรายงานว่ามีภาวะไม่มั่นคงด้านอาหารปานกลางถึงรุนแรงสูงสุดที่ 36.2%

เด็กจากครัวเรือนรายได้น้อยไม่ได้ไปโรงเรียน
แม้ตัวชี้วัดเศรษฐกิจมหภาคจะดีขึ้น แต่ครัวเรือนประมาณ 1 ใน 3 ยังคงรายงานว่าลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพและการศึกษา ในเดือนมกราคม 2568 ครัวเรือน 30.7% และ 35.7% รายงานว่าลดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 28:1% และ 31.0% ที่รายงานในเดือนมิถุนายน 2567

การลดค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาและสุขภาพพบได้บ่อยในกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้น้อย ขณะที่การลดเงินออมพบได้บ่อยในกลุ่มครัวเรือนที่มีฐานะดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ครัวเรือนที่มีรายได้น้อย 34.5% และ 37:8% ลดค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาและสุขภาพเมื่อเทียบกับครัวเรือนที่มีฐานะดีขึ้น 29.0% และ 34.84.8% ดังนั้น ผลกระทบในระยะยาวของอัตราเงินเฟ้อที่สูงต่อการพัฒนาทุนมนุษย์จึงน่าจะรุนแรงกว่าสำหรับครัวเรือนที่มีรายได้น้อย

อัตราการออกจากโรงเรียนเพิ่มขึ้น โดยเด็กชายจากครัวเรือนที่มีรายได้น้อยมีแนวโน้มที่จะออกจากโรงเรียนมากที่สุด ณ เดือนมกราคม 2568 เด็กวัยเรียน 7.4% ไม่ได้เข้าเรียนในโรงเรียน เพิ่มขึ้น 6.6% ในเดือนมกราคม 2567 แม้จะต่ำกว่า 7.7,000 คนในเดือนมิถุนายน 2567 เล็กน้อย เด็กๆ จากครัวเรือนที่มีรายได้น้อยมีแนวโน้มที่จะออกจากโรงเรียนมากกว่าอย่างมีนัยสำคัญ สัดส่วนของเด็กวัยเรียนจากครัวเรือนที่มีรายได้น้อยที่ไม่ได้เข้าเรียนในเดือนมกราคม 2567 อยู่ที่ 11.4% เพิ่มขึ้นจาก 8.6% เมื่อปีที่แล้ว และมากกว่าอัตราของเด็กจากครัวเรือนที่มีฐานะดีขึ้น (4.5%) มากกว่าสองเท่า ความแตกต่างนี้บ่งชี้ว่าความยากลำบากทางเศรษฐกิจยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเข้าโรงเรียน เด็กชายมีแนวโน้มที่จะออกจากโรงเรียนมากกว่าเด็กหญิง แนวโน้มนี้เด่นชัดเป็นพิเศษในครัวเรือนชนบทและครัวเรือนที่มีรายได้น้อย ซึ่งเด็กชายมักจะเกี่ยวข้องกับงานในไร่นามากกว่า ในกลุ่มเด็กวัยเรียนจากครัวเรือนที่มีรายได้น้อย เด็กชาย 12.5% ​​ไม่ได้ไปโรงเรียน เมื่อเทียบกับเด็กหญิง 10.4%

เข้าถึงบริการสาธารณะ
บริการสาธารณะยังคงสามารถเข้าถึงได้ในวงกว้าง โดยผู้ตอบแบบสอบถามเกือบทั้งหมดรายงานว่าไม่มีปัญหาในการเข้าถึงบริการสาธารณะ ณ เดือนมกราคม 2568 มีเพียง 1.6% ของครัวเรือนที่ประสบปัญหาในการเข้าถึงบริการด้านการบริหาร ซึ่งลดลงจาก 3.5% ในเดือนมิถุนายน 2567 แม้ครัวเรือนส่วนใหญ่รายงานว่าต้องการบริการทางการแพทย์ แต่เกือบทั้งหมดเข้าถึงบริการเหล่านี้ได้โดยไม่มีปัญหา

คนหันประกอบอาชีพอิสระมากขึ้น
สถานการณ์ทางเศรษฐกิจมหภาคที่ดีขึ้น ทั้งอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวและอัตราแลกเปลี่ยนที่มีเสถียรภาพ มีส่วนทำให้การโยกย้ายของแรงงานในแต่ละภาคส่วนต่างๆ ชะลอ ช่วงครึ่งแรกของปี 2567 การเปลี่ยนแปลงในระดับราคาทำให้มีการโยกย้ายของแรงงานจากภาคส่วนที่เน้นในประเทศ(non tradable sector) เช่น บริการและการก่อสร้าง ไปสู่ภาคส่วนที่สามารถส่งไปตลาดต่างประเทศได้ เช่น เกษตรกรรมและการผลิต ในช่วงเวลาเดียว แรงงานจำนวนมากเปลี่ยนจากการทำงานแบบรับค่าจ้างไปเป็น ทำงานอิสระ เพื่อหาแหล่งรายได้ที่ยืดหยุ่นมากขึ้นและผลตอบแทนที่สูงขึ้นท่ามกลางค่าจ้างจริงที่ลดลง ระหว่างเดือนพฤษภาคม 2565 ถึง
มิถุนายน 2567 สัดส่วนของการจ้างงานในภาคเกษตรเพิ่มขึ้นจาก 43.5% เป็น 50.9% ในขณะที่การจ้างงานแบบรับค่าจ้างลดลงจาก 43.7% เป็น 36.1%

ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เริ่มลดลง เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อลดลงและสภาพเศรษฐกิจมหภาคเริ่มมีเสถียรภาพ ส่งผลให้การลดลงของ
ค่าจ้างจริงชะลอลง อย่างไรก็ตาม ครัวเรือนยังคงขยายกิจกรรมทางการเกษตรและนำผลผลิตของตนไปขาย เนื่องจากผลตอบแทนจากการทำการเกาตรยังคงดีกว่าผลตอบแทนจากธุรกิจที่ไม่ใช่เกษตร

ในขณะเดียวกัน การย้ายถิ่นฐานของแรงงานยังคงเป็นแนวทางการยังชีพที่สำคัญ โดยแรงงานจำนวนมากแสวงหาโอกาสในการทำงานที่ดีกว่าและค่าจ้างที่สูงกว่าในประเทศเพื่อนบ้าน

ธนาคารโลกใน สปป.ลาว ได้เริ่มทำการสำรวจทางโทรศัพท์ Rapid Monitoring Phone Surveys ในปี 2563 เพื่อติดตามผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจของ COVID-19 ต่อครัวเรือนในลาว และมีการสำรวจต่อเนื่องหลังจากการระบาดใหญ่ เพื่อให้มีข้อมูลเกี่ยวกับความท้าทายทางเศรษฐกิจของประเทศ การสำรวจเหล่านี้ได้รับเงินทุนจากรัฐบาลออสเตรเลียและสหภาพยุโรปผ่านโครงการปฏิรูปการจัดการการเงินสาธารณะครั้งที่ 3 ของ สปป.ลาว ( Lao PDR Third Public Financial Management Reform Program) ดำเนินการโดยธนาคารโลก