‘ชาญชัย-สมชาย-เจษฎ์-ทนายนกเขา’ ร้อง ป.ป.ช.สอบ ‘ครม.เศรษฐา – แพทองธาร-รัฐสภา’ ปมตัดงบฯใช้หนี้แบงก์รัฐ 35,000 ล้านบาท โยก ‘แจกเงินหมื่น’ ผิดรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 144 หรือไม่ กรณีมีมูล – ขอให้ส่งศาล รธน.ถอดถอน-ตัดสิทธิการเมือง-เรียกเงินคืน
เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568 เวลา 11.00 น. นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.จังหวัดนครนายก พรรคประชาธิปัตย์ และคณะ อันประกอบด้วย นายสมชาย แสวงการ อดีต สว., นายเจษฎ์ โทณะวณิก นักวิชาการและอดีตกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ปี 2560 และนายนิติธร ล้ำเหลือ หรือทนายนกเขา มายื่นหนังสือร้องเรียนต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ณ ที่ทำการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สนามบินน้ำ นนทบุรี
นายชาญชัย กล่าวว่า “สาเหตุที่ผมและคณะได้เดินทางมา ป.ป.ช.วันนี้ เนื่องจากผมและคณะได้ตรวจพบการกระทำที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 144 ของคณะรัฐมนตรี, คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 , สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา อาจมีการกระทำความผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ซึ่งบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ เขียนไว้ชัดเจนว่า “ห้ามไปลด หรือ ตัดทอน งบประมาณรายจ่ายที่จะนำไปชำระต้นเงินกู้ , ดอกเบี้ย และเงินที่กำหนดให้ต้องจ่ายตามกฎหมาย”
หลังจากที่ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2568 ได้ผ่านความเห็นจากที่ประชุมรัฐสภา วาระที่ 1 ไปแล้วได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯฉบับนี้ ฯ จำนวน 72 คน ปรากฏต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้กรรมาธิการวิสามัญฯ ไปตัดงบประมาณรายจ่ายของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 5 แห่ง คิดเป็นวงเงินรวม 35,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการปรับลดงบประมาณสำหรับการชำระหนี้เพื่อชดเชยต้นทุนเงินจากการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ,ชดเชยภาระดอกเบี้ย หรือชดเชยหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ถือเป็นหนี้ตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2560 ที่รัฐบาลต้องจัดงบฯมาชดใช้คืนทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย โดยรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 144 บัญญัติเอาไว้ว่า ห้ามไม่ให้ไปแตะต้องเงินงบประมาณดังกล่าว ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯก็ทราบดี และมีการถกเถียงกันในที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ครั้งที่ 38 ว่าการดำเนินการดังกล่าวถูกต้องตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 หรือไม่ ปรากฏว่าที่ประชุมเสียงส่วนใหญ่ให้ผ่าน แต่ก็มี สส. หรือ กรรมาธิการบางท่านคัดค้านไม่เห็นด้วย
นายชาญชัย กล่าวต่อว่า ถ้า สมาชิก สส. หรือ สว. ไปเห็นชอบให้มีการตัดงบประมาณในรายการดังกล่าวนี้ ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 144 ระบุว่า ให้ สส. หรือ สว. สิ้นสุดสมาชิกภาพนับตั้งแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย หรือที่เรียกว่า “ถอดถอน” รวมไปถึงคณะรัฐมนตรี (ครม.)เป็นผู้กระทำการ หรือ อนุมัติให้กระทำการ หรือรู้ว่ามีการกระทำดังกล่าวแล้ว แต่ไม่ได้สั่งยับยั้ง ให้ ครม.พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ นับแต่วันที่ศาลมีคำวินิจฉัย และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งนั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่า ตนไม่ได้อยู่ในที่ประชุมในขณะที่มีมติ และให้ผู้กระทำการต้องรับผิดชอบชดใช้เงินนั้นคืน พร้อมด้วยดอกเบี้ยภายในเวลา 20 ปี นับแต่วันที่มีการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีนั้น
นายชาญชัย กล่าวต่อว่า “ผมและคณะในฐานะประชาชนคนไทย มีหน้าที่ป้องกันประเทศ พิทักษ์รักษาเกียรติภูมิผลประโยชน์ของชาติ สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ไม่ร่วมมือ หรือ สนับสนุนการทุจริตและประพฤติมิชอบทุกรูปแบบ ต้องการทำการเมืองสีขาว โปร่งใสตรวจสอบได้ ตามหลักธรรมาภิบาล จึงนำความมาแจ้งแก่ ป.ป.ช. ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ส่วนที่ 3 ว่าด้วยการฝ่าฝืน มาตรา 144 ของรัฐธรรมนูญ และมาตรา 88 ของกฎหมาย ป.ป.ช.ที่บัญญัติว่า “เมื่อความปรากฏต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือ เมื่อคณะกรรมการป.ป.ช.ได้รับแจ้งจากหน่วยงานของรัฐ ตามบทบัญญัติให้คณะกรรมการป.ป.ช.ดำเนินการสอบสวนในทางลับโดยพลัน” เพราะเอกสารประกอบคำร้องที่ยื่นต่อ ป.ป.ช.เป็นการลงมติของผู้กระทำความผิดที่ครบถ้วนแล้ว”
นายชาญชัย กล่าวสรุปว่า การยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.ครั้งนี้ เพื่อขอให้ ป.ป.ช. ดำเนินการตามกฎหมาย ป.ป.ช. และยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยพลัน โดยมีรายชื่อผู้กระทำความผิด คือ ครม.ทั้งคณะ ยกเว้นคนที่พิสูจน์ได้ว่า ไม่อยู่ร่วมในการประชุม เพื่ออนุมัติปรับลดงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 แปรญัตติผ่านวาระที่ 1 เรื่องการชำระเงินใช้ต้นเงินกู้ พร้อมชดเชยดอกเบี้ย และเป็นเงินกู้ตาม มาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ ที่รัฐบาลสั่งให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 5 แห่ง ไปปรับลดงบประมาณที่จะใช้หนี้ ทั้งในส่วนของเงินส่งใช้ต้นเงินกู้,ดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินที่กำหนดจ่ายตามกฎหมาย โดยนำเงินส่วนที่ปรับลดวงเงิน 35,000 ล้านบาท มาเพิ่มเป็นรายจ่ายงบกลาง เพื่อใช้ในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ของรัฐบาล รวมถึง สส. 309 คน, สว. 175 คน ที่ร่วมโหวตผ่านงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ในวาระที่ 2-3
ขณะเดียวกันก็มีคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายปี 2568 ไปปรับเพิ่มงบประมาณเพื่อประโยชน์ของตนเอง โดยมีการแปรญัตตินำเงินจากเงินงบกลางวงเงิน 1,256 ล้านบาท มาเพิ่มให้ “กองทุนเพื่อผู้ที่เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา” เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 144 วรรคแรกที่ ห้าม สส. , สว. หรือ คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ไปเสนอการแปรญัตติ หรือ กระทำการใดๆ ที่ไปมีผลให้ สส. , สว. หรือ กมธ.ได้ใช้งบประมาณรายจ่ายดังกล่าวทั้งทางตรง และทางอ้อม จึงขอให้ป.ป.ช.เร่งตรวจสอบในทางลับโดยพลัน หากเห็นว่า มีมูล ก็ให้เสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรค 3 พร้อมเรียกเงินงบประมาณ 35,000 ล้านบาท และอีก 1,256 ล้านบาท จากผู้ทำความผิดส่งคืนรัฐตามอำนาจหน้าที่ต่อไป