
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/
นายกฯแจงปมใช้ตั๋ว PN ซื้อหุ้นเครือญาติ 9 รายการ ส่อเลี่ยงภาษี 218 ล้าน ยอมรับไม่เสียภาษี เพราะยังไม่จ่ายเงิน ยันไม่ได้ ‘หนีภาษี’ ชี้จ่ายภาษีมากกว่าผู้อภิปราย- ‘วิโรจน์’ โต้กลับ “เสียภาษีมาก – น้อย ทุกคนมีศักดิ์ศรีเท่ากัน – แต่เลี่ยงภาษีเป็นสิ่งน่ารังเกียจ” เตรียมส่ง ป.ป.ช.สอบต่อ ด้าน “อนุทิน” ปัดแทรกแซง-ดีลแลกผลประโยชน์ที่ดินอัลไพน์- เขากระโดง-ลั่น “สู้ๆแพทองธาร”
เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2568 เป็นวันแรกที่สภาผู้แทนราษฎรเปิดอภิปรายทั่วไปรัฐบาล โดยเฉพาะนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นเวลา 2 วัน (24 – 25 มีนาคม 2568) รวม 37 ชั่วโมง เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลในวันที่ 26 มีนาคม 25698 เวลา 10.00 น.โดยนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวอภิปรายไม่ไว้วางใจการบริหารราชการแผ่นดินของนายกรัฐมนตรีว่า ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2566 ประชาชน 40 ล้านคน เดินเข้าคูหาเลือกตั้งด้วยความหวัง และความเชื่อมั่นศรัทธาว่าพอกันได้แล้วกับ 9 ปีที่สูญเสียไป แต่หากใครนอนหลับไป ตั้งแต่หลังการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤษภาคม 2566 แล้ว ตื่นลืมตาขึ้นมาอีกทีวันนี้ ก็คงได้แต่แปลกใจว่า ทำไมทุกอย่างยังเหมือนเดิม ไม่ต่างอะไรกับรัฐบาลจากคณะรัฐประหารก่อนหน้านี้ ทั้งการบริหารราชการแผ่นดินที่ถูกขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ของกลุ่มทุนใกล้ชิด การใช้งบประมาณแผ่นดินแบบไร้ความรับผิดชอบ การปล่อยปละละเลยชีวิตประชาชน ปล่อยให้คนไทยต้องเผชิญปัญหาต่างๆ ด้วยตัวเอง ตั้งแต่ปัญหาไฟป่าจนถึงปัญหาฝุ่น PM2.5 ปัญหาทุนเทาไปจนถึงปัญหาชายแดน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ การค้ามนุษย์ ปัญหาการศึกษา ไปจนถึงเรื่องขาดขีดความสามารถในการแข่งขัน ปัญหาปากท้อง ค่าไฟแพง รวมไปถึงปัญหาด้านการเกษตร ปัญหาปลาหมอคางดำ และการทุจริตคอร์รัปชัน
‘เท้ง’ เปิด “ดีลแลกประเทศ” ซักฟอกนายกฯ
ทำไมคนไทย จึงไม่มีโอกาสที่จะได้รัฐบาล ซึ่งมีเจตจำนงแน่วแน่ ทั้งที่การเลือกตั้งเมื่อปี 2566 ประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศลงมติกันแล้วว่าอยากได้การเปลี่ยนแปลง คำตอบที่อธิบายทุกอย่างได้ก็คือ รัฐบาลชุดนี้เริ่มต้น ดำรงอยู่ และเดินหน้าเพื่อให้เกิด “ดีลแลกประเทศ” ซึ่งมีประโยชน์ของคนตระกูลชินวัตร เป็นแกนกลาง ผลประโยชน์ของกลุ่มทุนใกล้ชิด และเครือข่ายการเมืองเป็นแกนรอง ส่วนประเทศและประชาชนนั้นต้องรอไปก่อน ใกล้วันเลือกตั้งค่อยมาปรับบทละครกันอีกที
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า พฤติกรรมที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ต่อมาจนถึงสมัยของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ทำให้หลายคนวิจารณ์ว่า รัฐบาลเพื่อไทยยอมเป็น “นั่งร้าน” ให้กลุ่มอำนาจเดิมเพื่อกลับสู่อำนาจ แต่เวลาพิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นความจริง อันที่จริง รัฐบาลเพื่อไทยไม่ได้เป็นนั่งร้านให้กับใคร เพราะพวกเขาได้หลอมหลวมเป็นพวกเดียวกันทั้งหมดแล้ว
“พรรคร่วมรัฐบาลทำงานร่วมกันอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย หัวเราะร่วมวงไปด้วยกันได้ ไม่เกี่ยวกับรุ่น หรือ ภูมิหลังใดๆ เพราะพวกเขาใช้วิธีจัดการผลประโยชน์แบบเดียวกัน ต่อรองผ่านสนามกอล์ฟเหมือนกัน ใช้อำนาจเปลี่ยนดำเป็นขาวเช่นเดียวกัน รู้ช่องทางทำมาหากินผ่านระบบรัฐราชการเหมือนกัน พูดอีกอย่างก็คือ นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดพูดภาษาเดียวกัน และเล่มเกมเดียวกันมาตั้งแต่แรก เรื่องไหนที่เดินหน้ารวดเร็วได้ผิดปกติ ไม่สนคำทักท้วง รีบผลักดัน ก็คือเรื่องที่ดีลผลประโยชน์กันได้ลงตัวแล้ว อย่างเรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กส์ ที่กลายมาเป็นวาระเร่งด่วนให้ความสำคัญเหนือกว่าการแก้ปัญหาชาวนา หรือ การพัฒนาการศึกษาเพื่อเยาวชน” นายณัฐพงษ์ กล่าว
เผย “ดีลแลกประเทศ” มีมากกว่าพา ‘ทักษิณ’ กลับบ้าน
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่าเมื่อวันที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา ที่สื่อมวลชนถามนายกรัฐมนตรีว่าคิดอย่างไร เมื่อฝ่ายค้านใช้ชื่อการอภิปรายครั้งนี้ว่า “ดีลแลกประเทศ” นายกฯถามสื่อมวลชนกลับไปว่า “ตระกูลชินวัตรได้อะไร” สื่อมวลชนก็อธิบายต่อไปว่า “ได้คุณทักษิณกลับบ้าน” นายกรัฐมนตรีก็ตอบเพียงว่า “ได้คุณพ่อกลับมา อ๋อ คงเป็นเรื่องนี้เรื่องเดียวตลอดไป” อย่างน้อยที่สุด นายกรัฐมนตรีก็ยอมรับว่า ดีลในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้เริ่มต้นจากการพาคุณทักษิณกลับบ้านจริงๆ แต่นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้น การอภิปรายสองวันนี้ พรรคประชาชนจะทำให้ประชาชนเห็นว่า ดีลแลกประเทศ ยังหมายรวมถึงเรื่องอื่นๆ ที่ต้องแลกด้วยผลประโยชน์ของประเทศมากมายมหาศาล
“ภายใต้ฐบาลนี้ ดูเผินๆ เหมือนว่าประเทศไทยน่าจะได้อะไรที่ดีขึ้นกว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่เวลาผ่านไปเกือบ 2 ปีก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า ประเทศกลับเสียมากกว่าได้ การเริ่มต้นและตั้งอยู่ของรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ทำให้ประเทศไทยต้องจ่ายต้นทุนราคาแพง ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม”
แก้ รธน.ไม่คืบ – ส่ง ‘อุยกูร์’ กลับจีน พาประเทศถดถอย
ในด้านการเมือง นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ดูเผินๆ เหมือนว่าประเทศไทยได้หวนคืนสู่ระบอบประชาธิปไตยเต็มใบ ได้ออกจากยุคของรัฐบาลที่สืบทอดอำนาจ แต่รัฐบาลเพื่อไทย ทำให้ความเป็นประชาธิปไตยของประเทศถดถอยลง ดัชนีชี้วัดความเป็นประชาธิปไตย (Democracy Index) ตกลงจากในปี 2566 จากเดิมอยู่ที่ 6.35 คะแนน เหลือเพียง 6.27 คะแนน ในปี 2567 ถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีประชาธิปไตยบกพร่อง การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่คืบหน้า หนำซ้ำยังโดนนานาอารยประเทศรุมประณามการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในยุครัฐบาลเพื่อไทย ที่ไม่ว่านายกรัฐมนตรีจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม กำลังทำให้ความเป็นประชาธิปไตยของประเทศเสื่อมถอยลงภายใต้เปลือกของคำว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
บริหาร ศก.ล้มเหลว – ไม่มี ‘พายุหมุน’ GDP โตแค่ 2.5%
ในด้านเศรษฐกิจ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ดูเผินๆ เหมือนจะได้รัฐบาลที่เก่งเรื่องเศรษฐกิจ หลายคนแม้จะไม่เห็นด้วยกับจุดยืนทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย ก็ยอมปิดตาข้างหนึ่ง เพื่อหวังให้รัฐบาลเพื่อไทยเข้ามาแก้ไขปัญหาปากท้อง แต่ก็อีกแล้ว พายุหมุนทางเศรษฐกิจไม่เคยเกิดขึ้น เพราะไม่ได้ทำการบ้านอะไรมาล่วงหน้า ที่เคยคุยไว้ว่า (การเติบโตทางเศรษฐกิจ) จะได้ 5% ก็เหลือเพียงแค่ 2.5% แต่ทิ้งไว้ด้วยราคาที่สังคมไทยทุกคนต้องจ่ายอย่างสูง

“อันที่จริงแล้ว ความรุ่งเรืองสมัยไทยรักไทยในอดีตนั้นได้รับประโยชน์จาก “ปัจจัยภายนอก” เป็นหลัก ปี 2540 หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง รัฐบาลทักษิณได้รับอานิสงส์จากนโยบายดี ๆ ที่มากองอยู่บนโต๊ะ รอให้คนหยิบไปทำต่อได้ทันที ทั้งหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ที่เครือข่ายหมอชนบทขับเคลื่อนมายาวนาน ส่วนการกระจายเม็ดเงินสู่รากหญ้า ก็มีบทเรียนจากประเทศญี่ปุ่นที่มาพร้อมกับโครงการมิยาซาว่า อีกด้านหนึ่งค่าเงินบาทที่อ่อนลงก็ช่วยให้การส่งออกของประเทศเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากที่การส่งออกเคยมีสัดส่วนเพียง 40% ของจีดีพี ก็เพิ่มเป็น 70% ของจีดีพี กลายเป็นหัวหอกเศรษฐกิจของไทยตัวใหม่ แต่น่าเสียดายที่ในรัฐบาลเพื่อไทย นโยบายดีๆ ที่เคยกองอยู่บนโต๊ะตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว พอต้องคิดเองทำเองทั้งหมด ผลก็เลยออกมาเป็นแบบที่เป็นอยู่”
ซัด ‘นายกฯนอกระบบ’ ชี้นำนโยบายโดยไม่ต้องรับผิดชอบ – ถูกตรวจสอบ
ด้านการบริหารประเทศ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า “การได้ทักษิณกลับมาครั้งนี้ ดูเผินๆ เหมือนประเทศไทยจะได้ผู้นำแพ็คคู่ คนหนึ่งดูดีมีประสบการณ์ เดินสายทำงานนอกทำเนียบ ส่วนอีกคนอยู่ในตำแหน่ง เป็นคนรุ่นใหม่ ทำงานในระบบ พร้อมผสานการทำงานกับคนรุ่นเก่า แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับเรื่องการเมืองและเศรษฐกิจ ในความเป็นจริงสิ่งที่เกิดขึ้นคือประเทศไทยกำลังมีผู้นำนอกระบบที่ทำงานนอกทำเนียบเป็นคนชี้นำวาระ ให้ข้อมูล และนโยบายนำหน้ารัฐบาลโดยปราศจากความรับผิดรับชอบใดๆ เพราะไม่ถูกถ่วงดุลตรวจสอบ วันหนึ่งเคยบอกว่าจะลดค่าไฟเหลือ 3.70 บาท แต่ก็ไม่เคยเกิดอะไรขึ้น ผ่านไปอีก 2 เดือน ก็มาบอกอีกทีว่าจะลดให้ค่าไฟเหลือ 2.50 บาท แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น กลายเป็นคนนอกระบบ พูดไปเรื่อย โดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย”
ส่วนอีกคนที่อยู่ในระบบ แทนที่จะเป็นตัวแทนพลังของคนรุ่นใหม่ กลับขาดทั้งความรู้ความสามารถ วุฒิภาวะ และเจตจำนงทางการเมือง เช่น การตอบคำถามสื่อมวลชนเรื่องค่าเงินบาทแข็งว่าจะไปช่วยการส่งออก ซึ่งเป็นข้อผิดพลาดอย่างน่าตกใจ ขาดทั้งวุฒิภาวะ เช่น ขณะที่คนไทยทั่วประเทศรอฟังคำตอบเมื่อช่วงปลายปีว่านายกรัฐมนตรีจะเอาอย่างไรกับเรื่องค่าไฟแพง นายกรัฐมนตรีกลับตอบคำถามสื่อมวลชนว่า “เมอร์รีคริสต์มาส” อีกทั้งยังขาดเจตจำนงทางการเมือง เพราะในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา เราไม่เคยเห็นการผลักดันอะไรที่นายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำตัวจริงเลย ตั้งแต่ฝุ่น PM2.5 ไปจนถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีแต่การลอยตัวหนีปัญหา ไม่สนไม่แคร์ความเดือดร้อนของประชาชน
“เมื่อรวมผู้นำนอกระบบอย่างนายทักษิณกับผู้นำในระบบอย่างแพทองธารแล้ว ประเทศไทยกลับเสียสองต่อ เพราะมีแต่คนกำหนดวาระที่ทำงานลอยตัว ไม่ต้องรับผิดรับชอบ กับคนที่ถืออำนาจรัฐ แต่ขาดคุณสมบัติ ผมอยากให้ท่านตระหนักรู้ไว้อยู่เสมอ ว่าทุกการกระทำของท่านส่งผลต่อความเชื่อมันของประชาชน ท่านจะทำตัวแบบเดียวกับนายกรัฐมนตรีที่มาจากการปฏิวัติรัฐประหาร มองการเมืองในสภาเป็นเพียงเรื่องน่ารำคาญ มองวาระในสภาเสมือนก้อนกรวดในรองเท้า มองนักการเมือง มอง สส. ในสภาเป็นเพียงแค่จำนวนนับให้ท่านจัดตั้งรัฐบาลแบบนี้ไม่ได้” นายณัฐพงษ์กล่าว
ตีกอล์ฟกลุ่มทุนพลังดีล‘สัมปทานไฟฟ้า’?
นายณัฐพงษ์ ยกล่าวต่อว่า ทุกนาทีที่ แพทองธาร ชินวัตร ยังดำรงตำแหน่งนายกฯ ต่อ คือ ต้นทุนชีวิตราคาแพง ต้องสูบน้ำเข้าสวนเข้านาด้วยค่าไฟที่แสนแพง แต่ภาพที่พวกเราเห็น คือ นายกรัฐมนตรีตัวจริงออกไปตีกอล์ฟกับกลุ่มทุนพลังงาน เพื่อดีลสัมปทานไฟฟ้ามูลค่าหลายแสนล้านบาท สูบเงินออกจากกระเป๋าชาวนา เกษตรกร และคนไทยทุกคนไปเข้ากระเป๋าเจ้าสัว นี่คือต้นทุนที่ประชาชนต้องจ่ายไปจากดีลแลกประเทศนี้
นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องที่ดิน ที่เกษตรกรหลายล้านคน ทั้งประเทศต่างเผชิญปัญหาขาดแคลนที่ดินทำกิน หรือ โดนกล่าวหาเรื่องป่าทับที่ ตื่น ลืมตาขึ้นมา ก็ต้องลุ้นว่าจะโดนเจ้าหน้าที่รัฐมาฟ้องขับไล่เรียกคืนที่หรือเปล่า แต่สิ่งที่รัฐบาลทำอยู่กลับเป็นการดีลกันของ 2 พรรคร่วมรัฐบาล ที่เป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน กรณีที่ดินมูลค่าหลายพันล้านบาท
ปชช.สิ้นหวังปฏิรูป ‘กองทัพ-กระบวนการยุติธรรม’
ด้านการปฏิรูปกองทัพ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ประชาชนคงหมดหวังกับรัฐบาลชุดนี้แล้ว เพราะผลงานที่ผ่านมา 6 เดือน เป็นที่ประจักษ์แล้ว ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.ระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ที่มุ่งหวังให้กองทัพอยู่ใต้รัฐบาลพลเรือน รัฐบาลนำโดยพรรคเพื่อไทย ก็ถอยไม่เป็นท่า อย่าง การแก้ไขกฎหมาย ป.ป.ช. ที่มุ่งหวังให้ทหารที่ทำการทุจริต ต้องมาขึ้นศาลยุติธรรมไม่ต่างกับข้าราชการอื่น ไม่ใช่ไปขึ้นศาลทหาร ก็ถูกโหวตคว่ำ โดยมี สส.พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นมาอภิปรายในสภาว่า “เพราะรัฐสภาแห่งนี้ตั้งอยู่บนถนนทหาร” เลยต้องเกรงใจทหาร ชัดเจนว่าพรรคเพื่อไทยได้หลอมรวมเข้าไปเป็นพวกเดียวกันกับพวกเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมขัดขวางการปฏิรูปกองทัพทุกรูปแบบ ประชาชนหมดหวังกับการยกเลิกบังคับการเกณฑ์ทหาร ที่ผลการศึกษาชี้ชัดแล้วว่าการบังคับเกณฑ์ทหาร 1 ครั้ง ทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจไปหลายหมื่นล้านบาท จากคนที่ถูกจับใบแดง
ในด้านความยุติธรรม ขณะที่ประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ยังรอฟังคำตอบในเรื่องการเดินหน้ากระบวนการสันติภาพใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ หลายครอบครัวยังไม่ได้รับการคืนความยุติธรรมจากคดีตากใบ แต่นายกรัฐมนตรีกลับจงใจปล่อยปละละเลย ไม่เร่งรัดติดตามในการนำตัวจำเลยที่หลบหนีไปต่างประเทศกลับมาดำเนินคดี เพื่อคืนความยุติธรรม ขณะที่นายกรัฐมนตรีตัวจริงนอกระบบกลับได้รับสิทธิอยู่ในชั้น 14 เหนือกฎเกณฑ์ใดๆ เหนือระบบยุติธรรมในประเทศนี้ ที่มี แพทองธาร ชินวัตร ผู้เป็นบุตรสาวรับทราบสถานะพ่อของตัวเองมาโดยตลอด และยังมีกรณีผู้ต้องขังคดีทางการเมืองที่กำลังรอฟังคำตอบในเรื่องการนิรโทษกรรม ที่วันนี้แม้แต่ข้อสังเกตในเล่มรายงาน พรรคเพื่อไทยก็ยังไม่กล้าโหวตรับ หมดหวังกันได้แล้วกับการทวงคืนความยุติธรรมให้กับประเทศนี้
ชี้แก้ รธน.เป็นละคร ‘ปาหี่’ คาดบังคับใช้ไม่ทันเลือกตั้งสมัยหน้า
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า “ขณะที่สังคมไทยมีฉันทามติร่วมกันแล้วว่าต้องการผลักดันการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ แต่นายกรัฐมนตรีกลับลอยตัว ควบคุมเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลไม่ได้ ตอกตะปูปิดฝาโลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า ประชาชนคนไทยจะไม่มีวันมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ทันก่อนการเลือกตั้งครั้งหน้าแน่นอน ที่เถียงกันในสภาเป็นเพียงแค่ละครปาหี่ว่าจะทำประชามติกี่ครั้ง ทั้งที่รู้กันอยู่แล้วว่าเป็นการนำข้ออ้างทางกฎหมายมาบังหน้าเหตุผลทางการเมือง เพราะพรรคร่วมรัฐบาลไม่อยากแก้ และมีเสียง สว. อยู่ในมือจะแก้ทำไม ประเทศก็เลยต้องสูญเสียไปอีกครั้ง ต้องอยู่ภายใต้กติกาที่ร่างมาโดย คสช. สืบทอดกลไกที่มาจากคณะรัฐประหาร และไม่แก้ไขและดำรงไว้โดยรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร”
ในขณะที่ประชาชนคนไทยต้องทนอยู่กับปัญหาที่อยู่รายล้อมรอบตัว เดินออกจากบ้านก็เจอฝุ่น PM2.5 ใครอยู่ชายฝั่งก็ต้องเจอปลาหมอคางดำ ยังไม่นับรวมสถานการณ์สงครามการค้าโลกที่ห่วงโซ่อุปทานของโลกกำลังฉีกออกเป็น 2 ส่วน บีบให้ทุกประเทศต้องเลือกข้าง หรือผู้ประกอบธุรกิจก็ต้องมีต้นทุนที่สูงขึ้น ภายใต้ปัญหาประเทศที่รุมเร้า บริบทโลกที่บีบรัด เศรษฐกิจไทยกลับโตรั้งท้ายในกลุ่มประเทศอาเซียน ต้นทุนในการดำรงชีวิตของประชาชนสูงขึ้น คุณภาพชีวิตแย่ลง โอกาสในการประกอบธุรกิจหมดไป ขีดความสามารถของประเทศถดถอย สิ่งที่ประเทศไทยเก่งในวันนี้คือสิ่งเดียวกับที่ประเทศไทยเคยเก่งเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ไม่สามารถปรับตัวตามโลกที่เปลี่ยนไปได้
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่าจากที่กล่าวมาทั้งหมด รัฐบาลกลับสนใจเพียงการแจกเงินกับการสร้างเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ซึ่งคงไม่สามารถกู้วิกฤตให้กับประเทศนี้ได้ เพราะเงินหมื่นที่แจกไปได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าแทบไม่ได้กระตุ้นการเติบโตเลย การสร้างเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ก็มองเห็นได้ล่วงหน้า ว่าจะมีผู้ได้รับผลประโยชน์อยู่เพียงเพียงไม่กี่กลุ่ม ก็คือกลุ่มทุนที่ใกล้ชิดกับรัฐบาล นี่คืออีกหนึ่งโอกาสที่คนไทยจะต้องสูญเสียไปจากการที่มีรัฐบาล “คิดไป ทำไป”หาทางซื้อคะแนนเสียงไปวันๆ
“ดีลแลกประเทศในครั้งนี้มีเพียงคนไม่ถึง 1% ที่ได้รับผลประโยชน์ แม้จะต้องทำลายล้างระบบนิติรัฐ นิติธรรม หรือกระบวนการประชาธิปไตยในประเทศ ไปถึงการยอมทำให้ประเทศไทยถูกแช่แข็ง เศรษฐกิจล้าหลัง ทิ้งเศษซากปรักหักพังไว้ให้คนอีกกว่า 99% ในประเทศนี้ ในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำทุกมิติ ปัญหาสำคัญของประเทศยังไม่ได้รับการแก้ไข ทั้งเรื่องประสิทธิภาพ ความโปร่งใส ความเป็นประชาธิปไตย ที่ดัชนีตกลงทุกด้าน การทุจริตคอร์รัปชันก็ตกต่ำมากที่สุดในรอบ 12 ปี ยิ่งกว่ายุครัฐบาล คสช. เสียอีก ประชาชนหมดหวังในการทำธุรกิจ การประกอบสัมมาชีพตั้งแต่ภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และการบริการ ปากท้องของคนไทย 99% แย่ลงทุกระดับ”
นายณัฐพงษ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ถ้ามองไปยังอนาคต ราคาที่ประเทศไทยและคนไทยต้องจ่ายให้กับรัฐบาลแพทองธารจะยิ่งสูงมากขึ้นกว่านี้อีก เพราะไทยยังต้องเผชิญปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสงครามการค้าโลก รัฐบาลนี้ทำให้ประเทศไทยอ่อนแอ คนไทยไม่กล้าฝัน ไม่กล้าหวังถึงอนาคตที่ดีกว่า ต้นตอก็มาจากรัฐบาลชุดนี้ที่เกิดขึ้นจากการจัดตั้งภายใต้ ‘ดีลแลกประเทศ’ ถึงวันนี้ ไม่มีแล้ว สองก๊ก สามก๊ก เหลือแค่ก๊กเดียว คือพรรคร่วมคณะรัฐประหาร ที่พวกเขาทั้งหมดคือพวกเดียวกัน หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว”
‘บิ๊กป้อม’ ซัดนายกฯ บริหารเศรษฐกิจล้มเหลว
ก่อนที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯต่อจากนายณัฐพงษ์ ปรากฎว่า นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยได้ยกมือสอบถามนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ ถึงสิทธิของ พล.อ.ประวิตรในการอภิปรายว่า ท่านคนนี้มีความเหมาะสมที่จะทำหน้าที่อภิปรายวันนี้หรือไม่ เพราะไม่เคยเข้ามาร่วมประชุมเลยสักครั้งหนึ่ง
แต่นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ชี้แจงว่า เรื่องการมาประชุมเรามีข้อบังคับอยู่แล้ว ซึ่งไม่ได้ผิดข้อบังคับการขออภิปรายไม่ไว้วางใจ มาตรา 151 จึงมีสิทธิที่จะอภิปราย จึงไม่ได้ผิดข้อบังคับ
จากนั้น พล.อ.ประวิตร ได้เริ่มอภิปรายต่อว่า ในฐานะหัวหน้าพรรคร่วมฝ่ายค้าน และสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ได้เข้าชื่ออภิปรายไม่ไว้วาง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร โดยประเด็นแรก คือนโยบายดำเนินการทางด้านเศรษฐกิจผิดพลาด ล้มเหลว วันนี้ พี่น้อง ประชาชนเดือดร้อนสาหัส เกิดปัญหาปากท้องไม่ได้รับแก้ไขอย่างที่รัฐบาลได้ให้คำมั่นสัญญา พนักงานถูกเลิกจ้าง บริษัทห้างร้านปิดกิจการจำนวน การแก้ไขปัญหาไม่ต้องจุดผิดที่ผิดทาง ประชาชนเกิดหนี้สินทั้งในและนอกระบบ หนี้ครัวเรือนสูงถึง 104% ราคาข้าวโพด ข้าว มันสำปะหลัง อ้อย ปาล์มน้ำมัน ราคาพืชผลทางการเกษตรตดกต่ำ ตลาดหุ้นดำดิ่ง เศรษฐกิจไทยมืดมน รัฐบาลกลับนิ่งเฉยไม่มีมาตรการใด ๆออกมาแก้ปัญหาปากท้องให้ประชาชน

ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th
ตัดงบฯแสนล้าน แจก ‘เงินหมื่น’ ไม่มีผลกระตุ้น ศก.
“จริงๆผมพยายามเอาใจช่วยให้นายกฯช่วยแก้ปัญหาปากท้องได้สำเร็จ เพราะเห็นว่านายกฯเคยบริหารงานด้านธุรกิจมาก่อน คงมีประสบการณ์ที่จะมาช่วยประเทศชาติได้บ้าง แต่ปรากฏว่านายกฯไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้ดีขึ้น ช้ำยังถอยหลังไปอีก จน GDP ของประเทศไทยรั้งท้ายในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน และที่สำคัญคือการตัดสินใจที่ผิดพลาดขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องเศรษฐกิจ ด้วยการตัดงบประมาณนับแสนล้านบาทที่ควรอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ แต่นายกฯกลับนำเงินก้อนนี้ไปแจกเงินหมื่น ซึ่งธนาคารโลกและกองทุนไอเอ็มเอฟ ได้เตือนแล้วว่า การแจกเงินหมื่นไม่ได้มีผลการกระตุ้นเศรษฐกิจ ควรจะไปกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการอื่นๆแทน ทำให้วันนี้คนไทยคงจะไม่ทุกข์ใจในเรื่องปากท้องอย่างแสนสาหัส เช่นนี้แล้วนายกฯจะนำพาประเทศให้รอดพ้นปัญหานี้ได้อย่างไร”
ชี้ ‘กาสิโน’ นำประเทศสู่หายนะ
พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า ประเด็นต่อมา ผมห่วงประเทศชาติเป็นอย่างมาก และไม่สบายใจ ต่อการดำเนินการนโยบายต่างประเทศและความมั่นคงคือ เรื่อง MOU 44 ที่วันนี้ท่านพาประเทศชาติสู่ความเสี่ยงต่อความสูญเสียดินแดน และทรัพยากรทางทะเลมูลค่ามหาศาล ที่น่าศร้าใจคือ ลูกเรือของประเทศไทย ที่นายกฯรับปากจะนำกลับมา แต่ผ่านมา 4 เดือนก็ไม่ได้กลับ และในฐานะที่ผมทำงานด้านความมั่นคงมาตลอดทั้งชีวิต จึงทราบว่างานด้านความมั่นคงไม่ได้ง่าย ต้องอาศัยความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ในหลายมิติอย่างมาก จึงเห็นใจนายกฯ ที่ต้องตัดสินใจในเรื่องที่ไม่มีประสบการณ์ แต่ความมั่นคงของชาติสำคัญอย่างยิ่ง ประเทศชาติไม่ใช่เวที ที่จะให้มือสมัครเล่นมาซ้อมมือได้
ประเด็นถัดมา คือ เรื่องการบริหารราชการแผ่นดินของนายกฯ โดยเฉพาะร่างกฎหมายประกอบธุรกิจสถานบันเทิงที่เรียกว่า เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ รัฐบาลพยายามผลักดันจนมีช่องทางทำให้เกิดการทุจริตเชิงนโยบายเอื้อประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง
“ผมขอย้ำว่ากาสิโนจะนำชาติไปสู่ความหายนะ เป็นอันตรายอย่างที่สุด เพราะจะทำให้สังคมอ่อนแอ และเกิดธุรกิจสีเทาตามมาอีกมาก ซึ่งทุกวันนี้การที่ไทยปล่อยปละละเลยก็ทำให้เป็นแหล่งฟอกเงิน ธุรกิจสีเทา ปัญหายาเสพติด อาชญากรรม และพนันออนไลน์มากมายอยู่แล้ว”
อีกประเด็นสำคัญที่ พล.อ.ประวิตร กล่าวคือเรื่องคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา160(4)(5)ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ท่านได้ทำนิติกรรมอำพรางยื่นบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง เรื่องการถือหุ้นบริษัท อัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ต คลับ จำกัด ทั้งๆที่รู้ว่าเป็นที่ดินธรณีสงฆ์
นอกจากนี้ยังปล่อยปะละเลยให้คนในครอบครัว มากระทำให้เกิดผลต่อการปฏิบัติหน้าที่เช่นการที่บุคคลในครอบครัวได้เรียกแกนนำของพรรคการเมืองมาพูดคุยในการจัดตั้งรัฐบาลที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ถามว่าบุคคลในครอบครัวของนายกฯทำตัวเป็นคนมีอิทธิพลอยู่เหนือพรรคการเมือง และมีการครอบงำด้วยหรือไม่ เรื่องนี้ขอให้เป็นไปตามการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ผลจะเป็นอย่างไร เชื่อว่าประชาชนจะเป็นคนตัดสินเอง
“ทั้งหมดที่ผมกล่าวมานี้ ไม่ใช่เป็นการกล่าวหาด้วยความอคติ แต่พูดไปตามหลักฐานข้อเท็จจริงทุกประการ โดยสส.ของพรรคพลังประชารัฐอีก 4 ท่าน จะนำเสนอรายละเอียดในการอภิปรายต่อไป ขอบคุณประชาชนที่ฟังผมพูด ผมเป็นคนพูดไม่เก่ง อาจจะไม่กระฉับกระเฉง เท่ากับตอนเป็นหนุ่มๆ ผมจึงใช้ใจบันดาลแรงในการบริหารราชการแผ่นดินสำเร็จมาได้หลายอย่าง ส่วนนายกฯเป็นคนหนุ่มสาวที่ยังแข็งแรงเชื่อว่าท่านจะบริหารประเทศด้วยสติปัญญา มีความอ่อนน้อม แต่หนักแน่นในหลักการ ยึดถือประโยชน์ของประเทศชาติมากกว่าครอบครัว และพวกพ้อง ประชาชนจะชื่นชมและยอมรับท่านเอง ขอบคุณครับ โชคดีครับ”พล.อ.ประวิตร กล่าว
นายกฯ สวน ‘บิ๊กป้อม’ พูด “ไม่เป็นความจริง”
หลังจากพล.อ.ประวิตร พูดจบ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขออนุญาตประธานที่ประชุมชี้แจงประเด็นที่ พล.อ.ประวิตร กล่าวอภิปรายสั้นๆว่า “เมื่อสักครู่ได้ฟังสมาชิกอาวุโสของพรรคพลังประชารัฐ จับเวลาได้ประมาณ 10 นาที อยากจะบอกว่าที่สมาชิกอาวุโสพูดนั้น ไม่เป็นความจริง”
‘วิโรจน์’ เปิดปมนายกฯใช้ตั๋ว PN ซื้อหุ้น 9 รายการ-ส่อเลี่ยงภาษี?
จากนั้น นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายไม่ไว้วางใจนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ว่ามีการทำนิติกรรมอำพรางเพื่อหลีกเลี่ยง ‘ภาษีการรับให้’ มาตั้งแต่ปี 2559
โดยนายวิโรจน์ กล่าวถึงที่มาที่ไปว่าแต่เดิมก่อนที่จะมี ‘ภาษีการรับให้’ การจะโอนหุ้นไปให้คนนั้น และมาซุกหุ้นไว้กับคนนี้ ยักย้ายถ่ายเทกันไปมา ก็อ้างว่าเป็นการให้โดยเสน่หา ภาษีสักสลึง ก็ไม่ต้องเสีย แต่พอมีการแก้ไขกฎหมายประมวลรัษฎากรในส่วนของ ‘ภาษีการรับให้’ เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2558 และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 หมายความว่า ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 เป็นต้นไป ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42(27) เงินได้ที่ได้รับจากการอุปการะ หรือ จากการให้โดยเสน่หาจากบุพการี ผู้สืบสันดาน หรือ คู่สมรส จะได้รับการยกเว้นภาษีเฉพาะเงินได้ในส่วนที่ไม่เกิน 20 ล้านบาทตลอดปีภาษีนั้น หมายความว่าลูกให้แม่ แม่ให้ลูก ถ้าเกิน 20 ล้านบาท ส่วนที่เกินต้องเสียภาษีในอัตรา 5% และในมาตรา 42(28) เงินได้ที่ได้รับจากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา หรือ จากการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธี หรือ ตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี จากบุคคลซึ่งไม่ใช่บุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรส จะได้รับการยกเว้นภาษีเฉพาะเงินได้ในส่วนที่ไม่เกิน 10 ล้านบาท หมายความว่าพี่ให้น้อง น้องให้พี่ ลุงให้หลานหลานให้ลุง ถ้าเกิน 10 ล้านบาท ส่วนที่เกินต้องเสียภาษี ในอัตรา 5% เช่นเดียวกัน
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า มนุษย์มนาทั่วไปที่พอจะมั่งมีเสียหน่อย เวลาจะให้ใคร ถ้าไม่อยากจะจ่ายภาษีการรับให้ ก็จะทยอยให้ปีละไม่เกิน 10 ล้านบาท 20 ล้านบาท ถ้าอยากจะให้ทั้งก้อนตัดจบไปเลย ส่วนที่เกินก็ต้องจ่ายภาษีการรับให้ แบบตรงไปตรงมา 5%
แต่แทนที่แพทองธาร ชินวัตร จะทำเหมือนกับที่มนุษย์มนาทั่วไปเขาทำกัน นางสาวแพทองธาร ชินวัตร กลับมีพฤติกรรมใช้ช่องว่างทางกฎหมายหลีกเลี่ยง ‘ภาษีการรับให้’ มาตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา โดยเรื่องนี้สามารถแกะรอยได้จากบัญชีทรัพย์สินของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ที่ยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ “ป.ป.ช.” พบว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นลูกหนี้อยู่ 9 รายการ มูลค่าหนี้สินรวม 4,434.5 ล้านบาท พอมาดูที่รายละเอียดของเอกสารประกอบ หนี้สิน 9 รายการที่ว่า มูลค่าสูงถึง 4,434.5 ล้านบาท กลับมีเอกสารแนบมาเพียงแค่ 9 แผ่น รายการละ 1 แผ่น
เผยตั๋ว PN ไม่กำหนดวันใช้หนี้ – ดอกเบี้ย ถามนายกฯจ่ายเงินเมื่อไหร่?
ดังนั้นหนี้สินของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ทั้ง 9 รายการที่ระบุเอาไว้ที่บัญชีทรัพย์สิน ที่มีเอกสารแนบแค่ 9 แผ่น รายการละแผ่น จึงไม่ใช่หนี้ที่อยู่ในรูปแบบของสัญญาเงินกู้แน่ ๆ แต่เป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือ “ตั๋ว PN” ซึ่งเป็นหนี้สินที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ซื้อหุ้นจากพี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ แบบ “ซื้อเชื่อ” แล้วออกตั๋ว PN แทนการจ่ายเงิน

“…รายงานข่าวระบุว่าตั๋ว PN ทั้ง 9 ใบนี้ เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่มีเงื่อนไขสุดว้าวมาก คือ จะชำระเงินค่าซื้อหุ้นเมื่อทวงถาม หมายความว่า หนี้สินทั้ง 9 รายการจากการซื้อหุ้นจากพี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ เป็นหนี้สินที่ไม่มีกำหนดว่า แพทองธารต้องจ่ายค่าซื้อหุ้นเมื่อไหร่ ถ้าชาตินี้ไม่มีใครทวงแพทองธารก็ไม่ต้องจ่าย ลืมไปได้เลยว่าเคยเป็นหนี้ เพราะดอกเบี้ยก็ไม่มีใครคิด แพทองธารไม่ต้องกังวลเลยว่าจะต้องมีภาระจ่ายดอกเบี้ยอะไร พี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ ในกงสีก็เป็นเจ้าหนี้ที่แสนดีมากๆ ยอมนอนกอดกระดาษ 9 แผ่น โดยที่ไม่รู้ว่าเงิน 4,434.5 ล้านบาท จะได้คืนวันไหน”
ถ้าตั๋ว PN ทั้ง 9 ใบ มีรายละเอียดตามที่ผมว่า ก็แสดงว่าการซื้อหุ้นของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร จากพี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ ในครั้งนี้ ต้องสงสัยว่ามีการใช้ตั๋ว PN เป็นเครื่องมือในการทำนิติกรรมอำพราง ทำธุรกรรมการซื้อปลอม ตบตาการได้หุ้นจากการให้ เป็นการซื้อหุ้น เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีการรับให้ ที่ต้องจ่ายให้กับแผ่นดิน เป็นพฤติกรรมที่เอารัดเอาเปรียบประชาชนเอาเปรียบสังคม เม้มผลประโยชน์ของชาติ บ่อนทำลายการพัฒนาประเทศ
มาดูตั๋ว PN ทั้ง 9 ฉบับตามที่ปรากฏเป็นข่าว ทั้งหมดเป็นการออกตั๋ว PN หลังจากวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 ซึ่งเป็นวันที่ภาษีการรับให้ มีผลบังคับใช้ทั้งสิ้น
ผมจึงอยากชวนให้ท่านประธาน มาดูพฤติการณ์การซื้อหุ้นของแพทองธาร ชินวัตร กันแบบช้าๆ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป แล้วให้ประชาชนทั้งประเทศ มาพิจารณาร่วมกันว่า จริงๆ แล้วนางสาวแพทองธาร ซื้อหุ้น หรือ ได้หุ้นมาจากการให้ของ พี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ กันแน่
นางสาวแพทองธารได้หุ้นมูลค่า 2,388.7 ล้านบาท มาจากพี่สาว โดยเป็นการซื้อเชื่อ โดยที่นางสาวแพทองธารไม่ได้จ่ายเงินให้กับพี่สาวเลยแม้แต่บาทเดียว ออกตั๋ว PN เป็นกระดาษ 4 ใบ ให้พี่สาวไปนอนกอด หุ้นมูลค่า 2,388.7 ล้านบาท เปลี่ยนมือจากพี่สาว ไปอยู่ในมือของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นที่เรียบร้อย โดยพี่สาวเป็นเจ้าหนี้ที่แสนดี ไม่กำหนดว่าจะจ่ายหนี้ค่าซื้อหุ้นให้พี่สาวเมื่อไหร่ ดอกเบี้ยพี่สาวก็ไม่คิด นี่คือการซื้อหุ้นจากพี่สาว หรือเจตนาแล้วมันคือการได้หุ้นมาจากการให้ของพี่สาวกันแน่
กรณีพี่ชายก็เหมือนกัน นางสาวแพทองธารได้หุ้นมูลค่า 335.4 ล้านบาท มาจากพี่ชาย โดยการซื้อเชื่อ โดยที่นางสาวแพทองธารไม่ได้จ่ายเงินให้กับพี่ชาย เพียงแต่ออกตั๋ว PN เป็นกระดาษ 1 ใบ ให้พี่ชายเก็บเอาไว้ ไม่มีกำหนดว่าจะจ่ายหนี้ค่าซื้อหุ้นให้พี่ชายเมื่อไหร่ ดอกเบี้ยพี่ชายก็ไม่คิด ตกลงแล้วมันคือการซื้อหุ้นจากพี่ชาย หรืออันที่จริงแล้วมันคือการได้หุ้นมาจากการให้ของพี่ชาย
กับลุง กับป้าสะใภ้ และกับแม่ ก็ทรงเดิม นางสาวแพทองธารได้หุ้นมาจากลุงมูลค่า 1,315.5 ล้านบาท ได้หุ้นมาจากป้าสะใภ้มูลค่า 258.4 ล้านบาท และได้หุ้นมาจากแม่มูลค่า 136.5 ล้านบาท โดยเป็นการ “ซื้อเชื่อ” นางสาวแพทองธารไม่ได้จ่ายเงินสักบาทให้กับลุง ไม่ได้จ่ายเงินสักบาทให้กับป้าสะใภ้ ไม่ได้จ่ายเงินสักบาทให้กับแม่ แต่ออกตั๋ว PN ให้ลุงเอาไปกอด 2 ใบ ให้ป้าสะใภ้ และแม่ไปเก็บไว้ใต้หมอนคนละใบ อย่างนี้ตกลงเป็นการซื้อหุ้น หรือได้หุ้นมาจากการให้ ของ ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ กันแน่…”
ส่อเลี่ยงภาษี 218 ล้าน
โดยนายวิโรจน์อธิบายว่าจุดแตกต่างระหว่าง ‘การได้หุ้นจากการให้’ กับ ‘การซื้อหุ้น’ ก็คือ ถ้านางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้หุ้นมาจากการให้ของ พี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ แพทองธาร ก็ต้องเสีย ‘ภาษีการรับให้’ ให้กับรัฐ แต่ถ้านางสาวแพทองธาร ชินวัตร ซื้อหุ้นจากพี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ นางสาวแพทองธารก็ไม่ต้องจ่ายภาษีเลยแม้แต่สตางค์แดงเดียว และเนื่องจากหลักเกณฑ์การรับรู้รายได้ในการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จะใช้เกณฑ์เงินสด ซึ่งรายได้จะถูกนับเป็นเงินได้พึงประเมิน ก็ต่อเมื่อมีการรับเงินสดจริง ดังนั้นการที่นางสาวแพทองธาร จ่ายค่าหุ้นที่ซื้อด้วยตั๋ว PN ที่ไม่ได้มีการจ่ายเงินกันจริง จะจ่ายกันเมื่อไหร่ ก็ไม่รู้ ทำให้พี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ ไม่ต้องเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดาเลยแม้แต่บาทเดียว และต่อให้มีการจ่ายค่าซื้อหุ้นกันในภายหลัง พี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ ก็ไม่ต้องเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดาอยู่ดี เพราะตามมาตรา 40(4)(ช) ของประมวลรัษฎากรกำหนดว่า รายได้จากการขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ เฉพาะส่วนเกินจากมูลค่าหุ้น (Capital Gain) หรือ กำไรจากการขายหุ้นเท่านั้น จึงจะถูกนับเป็นเงินได้พึงประเมิน ดังนั้น หากกงสี ขายหุ้นให้นางสาวแพทองธารในราคาพาร์ หรือราคาทุน พี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ ก็ไม่ต้องจ่ายภาษีรายได้บุคคลธรรมดาเลย สลึงเดียวก็ไม่กระเด็นออกจากกงสี และเมื่อคำนวณรวมแล้ว นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ใช้ตั๋ว PN สร้างหนี้ปลอม เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีการรับให้เป็นเงินสูงถึง 218.7 ล้านบาท
นายวิโรจน์ อภิปรายต่อว่า “…หน้าที่ของปวงชนชาวไทย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 50(9) ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่า บุคคลมีหน้าที่เสียภาษีอากรตามที่กฎหมายบัญญัติ ลำพังแค่จะทำหน้าที่ในฐานะปวงชนชาวไทย แพทองธาร ชินวัตร ยังทำให้ดี ทำแบบตรงไปตรงมาไม่ได้ แล้วจะมีหน้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นเยี่ยงอย่างที่ดีของประชาชนคนไทยได้อย่างไร”
ส่วนมาตรา 160 (4) ของรัฐธรรมนูญ ระบุว่า นายกรัฐมนตรีจะต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมาตรา 160(5) นายกรัฐมนตรีจะต้องไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืน หรือ ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยมาตรฐานทางจริยธรรมตามมาตรา 160 (5) นั้น ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 219 วรรคสอง กำหนดให้นำมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระรวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 มาใช้บังคับแก่คณะรัฐมนตรี โดยในหมวด 1 มาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นอุดมการณ์ ข้อ 7 ต้องถือประโยชน์ประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน
“พฤติกรรมการหนีภาษีการรับให้ 218.7 ล้านบาท ที่เอารัดเอาเปรียบประชาชน เอาเปรียบสังคม เอาเปรียบประเทศชาติ ล้วนชี้ชัดได้ว่า บุคคลคนนี้มีจิตละโมบ ที่คอยคิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตน ไม่เคยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชนเลย” นายวิโรจน์ กล่าว
ข้อ 8 ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ เพื่อตนเอง หรือผู้อื่น การหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นี่หรือการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต พฤติกรรมแบบนี้ คือ การใช้ช่องว่างทางกฎหมาย ใช้เล่ห์เพทุบาย ในการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ อย่างไม่รู้จักละอาย คิดถึงแต่ตัวเองอย่างเดียว เป็นเหลือบลิ้นไรกัดกินผลประโยชน์ของประชาชน ไม่สมควรที่จะได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป
หมวด 2 มาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นค่านิยมหลัก ข้อ 12 ยึดมั่นในหลักนิติธรรม และประพฤติตนอยู่ในกรอบศีลธรรมอันดีของประชาชน การจ่ายภาษีเป็นหน้าที่พื้นฐานของประชาชนทุกคนในประเทศนี้ แค่นี้แพทองธาร ชินวัตร ยังทำไม่ได้ ถ้าพฤติกรรมการหนีภาษีของบุคคลคนนี้ เรียกว่าอยู่ในกรอบศีลธรรมอันดี แล้วถ้าประชาชน โดยเฉพาะเยาวชน เกิดไปเอาเยี่ยงเอาอย่าง ประเทศชาติ มีหวังล่มสลายแน่นอน
ข้อ 17 ไม่กระทำการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง พฤติกรรมการหลีกเลี่ยงภาษีของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร สะท้อนได้ว่าคนๆ นี้ ไม่มีความยึดมั่นในกฎหมายเลย วันๆ คิดแต่จะหาช่องหาหลืบของกฎหมาย กระทำการอย่างไร้ความละอาย เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับตนเอง เอารัดเอาเปรียบประชาชน เอาเปรียบประเทศชาติ นายกหนีภาษีแบบนี้ หากปล่อยให้ดำรงตำแหน่งต่อไป ไม่ใช่แค่เสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง แต่ถึงขั้นเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของประเทศชาติ เราจะบอกกับประเทศอื่นๆ ยังไง ว่าประเทศไทยของเรามีนายกหนีภาษี รู้ถึงไหนอายถึงนั่น
ทั้งนิติกรรมอำพราง ที่ใช้ตั๋ว PN หนีภาษีการรับให้มูลค่า 218.7 ล้านบาท ย่อมเป็นที่ประจักษ์ว่า คนอย่างแพทองธาร ชินวัตร มีแต่ความทุจริตเป็นที่ประจักษ์ วันๆ เอาแต่เสาะหาช่องว่างทางกฎหมาย เพื่อตักตวงผลประโยชน์ให้กับตนเอง จุ๊บๆ จิ๊บๆ ก็เอา เล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่เว้นหนีภาษีแบบนี้ ไม่ใช่แค่เป็นนายกไม่ได้นะครับ เป็นแค่คนปกติก็ยังเป็นไม่ได้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ไม่ใช่แค่ไม่มีศักดิ์ศรีที่จะลุก เดิน ยืน นั่ง ในทำเนียบรัฐบาล แม้แต่ตามถนนหนทาง ตามตรอกซอกซอยในประเทศนี้ คนหนีภาษีอย่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ก็ไม่มีหน้าที่จะเดินหน้าตั้ง คอตรง สู้หน้าประชาชนได้อีกต่อไป
ท่านประธานที่เคารพครับ นายกรัฐมนตรีโดยตำแหน่งแล้ว ยังต้องดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ อีกตำแหน่งหนึ่งด้วย ผมอยากรู้จริงๆ ว่าคนหนีภาษีอย่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ยังจะกล้าแบกหน้าไปนั่งประชุมนั่งหัวโต๊ะคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติอยู่อีกหรือครับ
เตรียมร้อง ป.ป.ช.สอบนายกฯเลี่ยงภาษี
พฤติกรรมหลีกเลี่ยงภาษีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร หลังจากนี้จะต้องมีการร้องไปที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. แน่ๆ ซึ่ง ป.ป.ช. มีอำนาจตามมาตรา 234 ของรัฐธรรมนูญ ในการไต่สวนและมีความเห็นต่อกรณีที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ฝ่าฝืน หรือ ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง และพิจารณาส่งสำนวน และความเห็นของ ป.ป.ช. ไปที่ศาลฎีกาต่อไป ผมเชื่อว่าพฤติกรรมเช่นนี้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ก็ไม่รอด
ผมเป็นห่วงก็แต่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่จะยกมือไว้วางใจคนอย่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป เพราะในหมวด 2 ว่าด้วยมาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นค่านิยมหลัก ข้อ 19 การคบหาสมาคมกับผู้ประพฤติผิดกฎหมาย หรือ ผู้มีความประพฤติ หรือ ผู้ที่มีชื่อเสียงในทางเสื่อมเสีย อันกระทบกระเทือนต่อความเชื่อถือศรัทธาของประชาชนในการปฏิบัติหน้าที่ ก็อาจเข้าข่ายการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงได้เช่นเดียวกัน ถ้ามีคนไปร้อง ส.ส.ที่ยกมือให้นางสาวแพทองธาร ก็อาจจะเข้าปิ้งตายตกตามนางสาวแพทองธารไปด้วย
“การเสียภาษีอย่างถูกต้อง เป็นหน้าที่พื้นฐานที่สุด คนๆ นี้ ยังทำอย่างตรงไปตรงมาไม่ได้ ประชาชนเขาหวังฝากความหวังไว้กับผู้นำ แต่กลับได้โจรใส่อาภรณ์ขุนนางสวมรองเท้าไข่มุก ปากที่ตัวเองเคยพูดว่ามีกินมีใช้ ไปพร้อม ๆกัน ที่แท้ก็คือการหาช่องว่างทางกฎหมายเพื่อให้มีกินกันเฉพาะกงสี ให้ได้อิ่มหมีเฉพาะตระกูลของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกฯหนีภาษี ไม่มีศักดิ์ศรีที่จะดำรงตำแหน่งต่อไปได้อีกแล้ว”นายวิโรจน์ กล่าว
อ่าน เอกสารประกอบการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ ที่นี่

ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/
นายกฯแจงปมใช้ตั๋ว PN ซื้อหุ้นเครือญาติ 9 รายการ
ในช่วงบ่ายหลังจากฝ่ายค้านได้อภิปรายมาตลอดทั้งวัน เวลาประมาณ เวลา 15.20 น. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ลุกขึ้นชี้แจงต่อสภาฯ เป็นครั้งที่ 2 หลังจากชี้แจง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ โดยตอบคำถามนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.พรรคประชาชน กรณีอภิปรายว่านายกรัฐมนตรี มีพฤติกรรมหลีกเลี่ยง “ภาษีการรับให้” โดยใช้ “ตั๋ว PN 9 รายการ ซื้อหุ้นจากพี่สาว พี่ชาย แม่ และญาติ”
นางสาวแพทองธาร ระบุว่า ในช่วงเช้าที่ผ่านมามีสมาชิกอภิปรายที่เข้าใจว่าตัวเองเป็น “จอมยุทธ์” นั้น กำลังสำคัญผิดในข้อเท็จจริง มีการใช้สำนวนโวหาร ทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน และนำเรื่องภาษีที่เป็นคนละหมวดกันมาอธิบายให้คนเกิดความสับสน
ยันไม่ได้ ‘หนีภาษี’ โต้ ‘วิโรจน์’ เสียภาษีมากกว่าคนอภิปราย
“ดิฉันขอยืนยันทั้งการปฏิบัติ และเจตนา ที่ได้ดำเนินการทุกอย่างตรงไปตรงมา ถูกต้องตามกระบวนการ และกฎหมาย การที่จะกล่าวหาว่า นายกรัฐมนตรีคนนี้หนีภาษี ไม่ได้เป็นความจริง ทุกอย่างเป็นเรื่องตรงกัน แม้ความจริงดิฉันจะอายุน้อยกว่าผู้อภิปราย แต่มั่นใจว่า เสียภาษีให้รัฐมากกว่าแน่นอน”
ส่วนในเรื่องของบัญชีทรัพย์สิน และหนี้สิน ขอชี้แจงให้เข้าใจตรงกันว่า การแสดงบัญชีทรัพย์สิน และหนี้สินต่อ ป.ป.ช. ได้มีการยื่นบัญชีทรัพย์สินครบถ้วนตามขั้นตอนทุกอย่าง และขณะนี้ก็มีการยื่นคำร้องตรวจสอบความถูกต้อง และเรื่องที่ถูกร้อง ตามกระบวนการของ ป.ป.ช.โดยดิฉันมีความยินดีอย่างยิ่ง และเต็มใจที่จะแสดงข้อมูลหลักฐานทุกอย่าง ที่ ป.ป.ช.ขอมา และพร้อมจะให้ความร่วมมือทุกประการจนกว่าจะได้ข้อสรุป
ส่วนเรื่องธุรกรรม ก่อนการดำรงตำแหน่ง ทรัพย์สินกิจการของครอบครัว และของดิฉัน มีการถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้น ตั้งแต่การปฏิวัติรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549 และไม่เคยมีตอนไหนไม่เข้มข้น ทุกบัญชี และทุกธุรกรรมอยู่ในสายตา และโปร่งใสมานาน
นอกจากนี้ยังขอยืนยันว่า “ที่ดินทุกแปลงทุกตารางวา ที่ดิฉัน และครอบครัวมีการออกโฉนดโดยรัฐทั้งหมด ไม่มีการซื้อที่ดินที่ไม่มีโฉนด”
ยอมรับบางรายการไม่เสียภาษี เหตุยังไม่จ่ายเงิน
ขณะที่การทำธุรการเรื่องหุ้น เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2559 ก่อนที่ดิฉันจะเข้าสู่การเมืองหลายปี ซึ่งเป็นความตั้งใจในการปรับโครงสร้าง การถือหุ้นบริษัท โดยการซื้อขายผ่านตั๋วสัญญาซื้อเงิน หรือ “PN” ซึ่งเป็นหนังสือให้คำมั่นสัญญาว่า จะใช้เงินให้กับอีกบุคคลหนึ่งตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ซึ่งหนังสือดังกล่าวได้ติดอากรแสตมป์ตามกฎหมายเรียบร้อย และการซื้อขายแบบนี้บางรายการไม่มีการเสียภาษี เพราะยังไม่มีการชำระเงิน จึงยังไม่ทราบจำนวนและยังเสียภาษีไม่ได้
โดยการซื้อขายแบบนี้ จึงเป็นภาระหนี้สินระหว่างดิฉันที่เป็นผู้ซื้อ และครอบครัวที่เป็นผู้ขาย ซึ่งมีความชัดเจนไม่มีนิติกรรมอำพรางใด ๆ เพราะหากจะเกิดการซื้อขายจริง ยอดหนี้ก็ต้องแสดงในบัญชีทรัพย์สินอยู่แล้ว ซึ่งก็ได้ยื่นกับ ป.ป.ช.ไปทั้งหมดแล้ว สามารถตอบได้ทุกอย่าง และเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นเรื่องที่ทำกันมาเป็นปกติ ขอให้ถามสมาชิกในพรรคฝ่ายค้านเอง ก็ได้ว่า มีใครทำธุรกิจอะไรประมาณนี้หรือไม่ และมีการทำสัญญาใช้หนี้แบบนี้บ้างหรือไม่ ซึ่งถ้ามีก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่จะบอกว่าเป็นเรื่องปกติที่ทำกันอยู่แล้ว
เผยใช้ PN ชำระค่าหุ้นอย่างเปิดเผย – ถูกกฎหมาย
ส่วนกรณีที่สมาชิกอ้างว่า เรื่องนี้จะเป็นแหล่งทุจริตข้าราชการผู้ใหญ่จะออกตั๋วสัญญาใช้เงิน ขบวนการใช้ยาเสพติดจะออกตั๋วให้กัน มองว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่จินตนาการมากเกินไป จินตนาการเยอะไปเหมือนกัน เพราะการออกตั๋วจะต้องทำธุรกรรมที่ถูกกฎหมาย ดำเนินการได้โดยเปิดเผย ฝ่ายผู้ซื้อและฝ่ายผู้ขายจะต้องรับภาระหนี้สินระหว่างกัน ไม่มีการกระทำนอกกฎหมายใด ๆ ซึ่งการเลือกใช้วิธีออกตั๋ว PN แทนการรับให้ เพราะเป็นการดำเนินการธุรกิจอย่างเปิดเผย ไม่สามารถแอบทำได้
ส่วนเรื่องของการปรับโครงสร้างหุ้น จำเป็นต้องใช้การซื้อขาย แต่ ณ เวลานั้น ดิฉันยังไม่มีความพร้อมที่จะชำระค่าหุ้นด้วยเงินสด จึงทำสัญญาตั๋วสัญญาใช้หนี้แทน และมีการวางแผนที่จะชำระเงินแล้ว โดยรอบแรกจะชำระภายในปีหน้านี้ ซึ่งได้ตกลงกับครอบครัวแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร และหลักฐานการซื้อขายก็จะถูกปรากฏในบัญชีทรัพย์สินแน่นอน พร้อมย้ำว่า ทุกอย่างดำเนินการอย่างโปร่งใส เพราะไม่สามารถหลบเลี่ยง การจ่ายภาษีได้อยู่แล้ว
นางสาวแพทองธาร ชี้แจงอีกว่า กรณีที่ที่ดิน อัลไพน์ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดมาเป็นระยะเวลานานแล้ว ตอนที่บริษัทของครอบครัวซื้อที่ดินแปลงนี้ ตอนนั้นตนอายุประมาณ 11 ขวบ และเป็นกรรมการบริษัท ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่า ท่านจะต้องอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตั้งแต่ช่วงเวลานั้นหรือไม่
“การซื้อที่ดินของครอบครัว ซื้อแบบมีโฉนดตลอด เพราะทราบอยู่แล้วว่า ต้องทำในสิ่งที่ถูกกฎหมาย และหลังจากมีคดีความ ขั้นตอนที่เกิดขึ้นทุกอย่างก็เป็นไปตามกระบวนการ จนดิฉันมาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ไม่เคยไปแทรกแซง หรือ ไปสั่งให้หน่วยงานใดให้ทำเรื่องนี้ให้เป็นไปแบบตามที่ต้องการ ซึ่งคิดว่า ท่านอาจยังไม่เข้าใจกระบวนการทำงานที่แท้จริง ซึ่งดิฉันขอรับเรื่องนี้ไว้เพื่ออธิบายให้คนเข้าใจมากขึ้นในอนาคต โดยหลังจากนี้ขออนุญาตมอบให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยชี้แจงเพิ่มเติม”
ส่วนที่ดินของเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ ที่มีประเด็นพิพาทกันระหว่างกรมที่ดิน กับการรถไฟแห่งประเทศไทย และประชาชน ดิฉันในฐานะนายกรัฐมนตรีได้กำชับกระชับเรื่องนี้ และให้ความเป็นธรรมกับพี่น้องประชาชน ให้ทุกอย่างดำเนินไปตามกฎหมาย พร้อมขอให้มั่นใจว่า ทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง ซึ่งทุกเรื่องต้องผ่านขั้นตอนตามระบบระเบียบ เพื่อป้องกันเกิดความวุ่นวายต่าง ๆ ตามมา
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ไม่อยากให้ใช้เรื่องเซนซิทีฟเหล่านี้ พูดจาให้เกิดความสับสน และเกิดความแตกแยกในสังคม เพราะเราเป็นคนรุ่นใหม่ ซึ่งก็พร้อมที่จะรับฟัง หากเห็นว่าใครมีผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน ก็ควรจะชื่นชมบ้าง จะได้เป็นกำลังใจในการทำงานด้วย เพราะอย่างน้อยก็เป็นคนไทยเหมือนกัน โดยเข้าใจว่า ทุกคนมีความหวังดีต่อประเทศไทยเช่นกัน เพราะฉะนั้นการพูดเพื่อให้เกิดความเกลียดชัง ความแตกแยก ดิฉันคิดว่า “เราผู้มีวุฒิภาวะ ไม่ควรทำ”
โต้กลับ “เสียภาษีมาก – น้อย ทุกคนมีศักดิ์ศรีเท่ากัน แต่เลี่ยงภาษีเป็นสิ่งน่ารังเกียจ”
จากนั้นนายวิโรจน์ ได้ขอใช้สิทธิ์ ประท้วงพาดพิง โดยระบุว่า นายกรัฐมนตรีจะเสียภาษีมากกว่าใครนั่นเป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว และมั่นใจว่าคนไทย 60 ล้านคน หรือ มากกว่านั้นเสียภาษีน้อยกว่านายกรัฐมนตรี ซึ่งอยากให้ดูมาตรา 50 (9) ของรัฐธรรมนูญ บุคคลมีหน้าที่ต้องเสียภาษีตามที่กฎหมายบัญญัติประชาชนจะเสียมาก หรือ เสียน้อยทุกคนมีศักดิ์ศรีเท่ากัน
นายวิโรจน์ อภิปรายต่อว่า สรุปว่าเสียภาษีมากน้อยไม่สำคัญตราบใดที่ประชาชนทุกคนเสียภาษีตามที่กฎหมายบัญญัติ ถือว่าทำได้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ เสียภาษีมาก แต่หาเทคนิคในการหลบเลี่ยงหนีภาษีต่างหากที่เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ
“อนุทิน” ปัดแทรกแซง-แลกผลประโยชน์ปมที่ดินอัลไพน์ – เขากระโดง
จากนั้น นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ลุกชี้แจงนายจุลพงษ์ อยู่เกษ สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน กรณีที่ดินเขากระโดง และที่ดินอัลไพน์ ที่มีการพูดในลักษณะว่ามีการเอื้อประโยชน์กับครอบครัวนายกรัฐมนตรีว่า ในฐานะที่กำกับดูแลกระทรวงมหาดไทย ซึ่งกระทรวงมหาดไทยไม่ใช่กิจการของใครคนใดคนหนึ่ง หรือ ครอบครัวของใด จึงจะมาแบ่งประโยชน์ให้ใครไม่ได้ทั้งสิ้น และยืนยันว่านายกรัฐมนตรีไม่เคยเข้ามาแทรกแซง หรือ สั่งการใด ๆกับกระทรวงใดเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทอัลไพน์ หรือใครทั้งสิ้น
ส่วนกรณีการเพิกถอนที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ เป็นปัญหาที่ยืดเยื้อมานานกว่า 20 ปี ผ่านมาหลายรัฐบาล มีคำพิพากษาของศาล มีผู้ที่ถูกต้องโทษไปแล้ว แต่สิ่งสำคัญคือคำพิพากษาเรื่องการเพิกถอนที่ดินมาสิ้นสุดในรัฐบาลของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร มีนโยบายให้ดำเนินการตามกฎหมาย และความถูกต้องอย่างเคร่งครัดในการดำเนินงาน

ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th
นอกจากนี้อธิบดีกรมที่ดินยืนยันว่า ในการดำเนินการเรื่องที่ดินเขากระโดง และที่ดินอัลไพน์ และยินดีที่จะปฏิบัติตามหน้าที่และกฎหมาย ดังนั้น แทนที่จะกล่าวว่านายก ฯทำเพื่อประโยชน์ของตัวเอง และบุคคลในครอบครัว ควรจะชื่นชมนายก ฯได้สั่งการให้กรมที่ดินและกระทรวงมหาดไทยให้ยึดถือกฎหมายเป็นหลักไม่ต้องคำนึงถึงผลกระทบใด ๆ ที่จะมีกับตัวแทนเองและครอบครัว ซึ่งขณะนี้มีการเพิกถอนที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ไปแล้ว ดังนั้นนายกฯ และครอบครัวจึงเป็นหนึ่งในผู้เสียหายเช่นเดียวกับลูกบ้านอัลไพน์รายอื่น และต้องไปทำเรื่องขอการชดเชยการจากทำธุรกรรมที่บกพร่องของกรมที่ดินในอดีต
ส่วนปัญหาที่ดินเขากระโดง กรมที่ดินได้ทำตามศาลปกครองที่ให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนเรื่องนี้ และคณะกรรมการมีมติว่า ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะเพิกถอนสิทธิ์ ตามข้อเสนอของการรถไฟที่ฟ้องต่อศาลปกครอง ซึ่งศาลปกครองยืนยันว่า เมื่อมีการดำเนินการตามขั้นตอนแล้ว ผลออกมาเป็นอย่างไร ศาลไม่อาจก้าวล่วงได้ เมื่อศาลยังก้าวล่วงไม่ได้แล้วนับประสาอะไรกับนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี จะไปสั่งให้หน่วยงานต่างๆ ดำเนินการใดๆ ได้
ดังนั้นกรณีที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ และที่ดินเขากระโดง ไม่มีความเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด และไม่มีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์อะไรกันแม้แต่เล็กน้อย ซึ่งทั้ง 2 กรณีเกิดขึ้นมาก่อนนายกรัฐมนตรี จะเข้ามาดำรงตำแหน่ง ข้อกล่าวหาของสมาชิกจึงไม่มีข้อเท็จจริง และไม่มีมูลแต่อย่างใด
นายอนุทิน อภิปรายปิดท้ายว่า ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลจึงขอจบด้วยคำว่า “สู้ๆ แพทองธาร”