ThaiPublica > เกาะกระแส > “อรพรรณ์ เมธาดิลกกุล” ทวงคืนชีวิตแพทย์ รื้อระบบ 30 บาทสกัดหมอลาออก

“อรพรรณ์ เมธาดิลกกุล” ทวงคืนชีวิตแพทย์ รื้อระบบ 30 บาทสกัดหมอลาออก

9 ธันวาคม 2024


แพทย์หญิงอรพรรณ์ เมธาดิลกกุล กลับคืนเวที รื้อระบบประกันสุขภาพ หลังแพทย์ลาออกต่อเนื่อง ชี้ระบบสาธารณสุขเดินมาถึงจุดต่ำสุดของโลก ประกาศหนุนทีมเพื่อแพทย์เข้าชิงแพทยสภา เพื่อแก้ไขกฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ทวงคืนชีวิตการทำงานแพทย์ระดับปฏิบัติ ไม่ให้ลาออก สร้างระบบสาธารณสุขที่สมดุล

“แพทย์หญิงอรพรรณ์ เมธาดิลกกุล” แพทย์ผู้เชี่ยวชาญอาชีวเวชศาสตร์ สมาคมอาชีวเวชศาสตร์และสิ่งแวดล้อม

“หมอทำงานหนัก ไม่มีความสุขในการทำงาน จนต้องลาออก” ยังคงเป็นปัญหาต่อเนื่อง แม้ที่ผ่านมาจะมีความพยายามในการแก้ปัญหา แต่ยังดูเหมือน ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เพราะระบบสาธรณสุขมีปัญหาขาดความสมดุลทำให้แพทย์ต้องรับภาระหนักในการทำงาน

แพทย์หญิงอรพรรณ์ เมธาดิลกกุล” ซึ่งเป็นแพทย์ที่เชี่ยวชาญ อาชีวเวชศาสตร์ หรือ โรคที่เกิดจากการทำงาน  ซึ่งเป็นหนึ่งในแพทย์ที่ติดตามการทำงานของระบบสาธารณสุข หลังเกิดสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)ในปี2545 มาอย่างต่อเนื่อง

“ 20 ปี สปสช.ถือว่าระบบสาธารณสุขไทยเดินมาถึงจุดต่ำสุด  แม้จะมีคนบอกว่าผู้ป่วยเข้าถึงการรักษามากขึ้น แต่ในมุมของเรากลับกัน แม้ว่าคนไข้เข้าถึงการรักษาแต่หมอไม่สามารถรักษาได้เพราะทำงานไม่ไหวก็เป็นปัญหา”

แพทย์หญิงอรพรรณ์ อยากเห็นระบบสาธารณสุขมีความสมดุลระหว่างคนไข้และแพทย์ การทำงานอย่างมีความสุข ขณะที่ผู้ป่วยก็ได้รับการรักษาที่ดีมีคุณภาพได้มาตรฐาน แต่ที่ผ่านมาไม่มีใครเป็นเจ้าภาพในการแก้ไขระบบ ขณะที่หน่วยงานที่ดูแลแพทย์อย่างแพทสภาไม่ได้นำเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ทำให้แพทย์ในระดับปฏิบัติหารือกัน และ ร่วมกันตั้งกลุ่มเพื่อแพทย์นำโดย นพ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ เพื่อเข้าไปชิงตำแหน่งบริหารแพทยสภา เพื่อเป็นเจ้าภาพในการเสนอพัฒนาปรับปรุงกฎหมายสาธารณสุขที่เป็นอุปสรรคในการทำงานด้านสาธารณสุขของประเทศ โดยให้แพทย์ออกมาใช้สิทธิตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2567-14 มกราคม 2568

“ตอนนี้อายุมาก 68-69 ปีเข้าใจกลไกทะลุปรุโปร่ง แตกต่างจากในช่วงก่อตั้งสปสช. ยังไม่มีความเข้าใจเรื่องระบบสุขภาพมากนัก ดังนั้นจึงเห็นว่าก้าวแรกในการแก้ไขเรื่องนี้ คือการเข้าไปสู่กลไกที่จะทำหน้าที่รับผิดชอบ และพัฒนาระบบแพทย์ก็คือแพทยสภา ซึ่งกฎหมายให้อำนาจสามารถเสนอแก้ไขปรับปรุงได้ทั้งระบบ”

  • วิเคราะห์/วิจารณ์ร่าง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … ( 1)
  • 2 คำถาม ถึงประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ศ.คลินิก นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร
  • ความร่วมมือของกระทรวงสาธารณสุขและ สปสช. ในการปรับปรุงหลักเกณฑ์งบประมาณปี 2558
  • “แพทย์หญิงอรพรรณ์ เมธาดิลกกุล” แพทย์ผู้เชี่ยวชาญอาชีวเวชศาสตร์ สมาคมอาชีวเวชศาสตร์และสิ่งแวดล้อม

    แพทยสภา เจ้าภาพรื้อระบบหลักประกันสุขภาพ 

    แพทย์หญิงอรพรรณ์  ชี้ให้เห็นว่า อำนาจของพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม มาตรา 7  (5) ที่กำหนดให้แพทยสภาให้คำปรึกษาหรือข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลเกี่ยวกับปัญหาการแพทย์และการสาธารณสุขของประเทศ ในการเสนอปรับปรุงแก้ไขระบบหลักประกันสุขภาพได้  แต่ที่ผ่านมาแพทยสภา ไม่ได้ใช้อำนาจดังกล่าว ดังนั้นกลุ่มเพื่อแพทย์จึงจะเข้าไปรับเลือกตั้งเพื่อใช้อำนาจตามมาตราดังกล่าวเสนอแก้ไขปัญหาทั้งระบบ

    สำหรับข้อเสนอแก้ไขระบบหลักประกันสุขภาพ(กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ)มี 3 ระดับประกอบด้วย1.การแก้ไขแบบเล็ก คือ การปรับสัดส่วนคณะกรรมการบริหารหลักประกันสุขภาพ ซึ่งต้องไม่มีตัวแทนภาคประชาชน/เอ็นจีโอ เพราะไม่ใช่ตัวแทนที่แท้จริง เปลี่ยนให้มีผู้ปฏิบัติงานเข้ามาเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิแทน เช่น ผู้แทนโรงพยาบาลศูนย์/ โรงพยาบาลทั่วไป/ผู้แทนคลินิกชุมชน /โรงพยาบาลชุมชน เพราะผู้ปฏิบัติงานเหล่านี้รู้ปัญหาที่แท้จริง

    “ภาคประชาชน ซึ่งกฎหมายกำหนดว่าให้เป็นผู้แทนจากคนกลุ่มน้อย ไม่ต้องมีแล้ว เพราะโลกมันเปลี่ยนไปมาก ให้เน้นผู้ปฏิบัติงาน เพื่อจะได้ให้การบริการมีคุณภาพ ส่วนผู้ทรงคุณวุฒิก็ควรจะเปิดกว้าง โดยเอาผู้ทรงคุณวุฒิจริงๆมาเป็นกรรมการ ไม่ใช่วนเวียนอยู่ที่แพทย์ในเครือข่ายแพทย์บางกลุ่ม”

    แพทย์หญิงอรพรรณ์ อธิบายเพิ่มว่า ที่ต้องแก้ไขกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ  7 คนที่มีภาคประชาชนเอ็นจีโอ 5 คนเป็นกรรมการ ปรากฎว่าตั้งแต่ปี 2545 ผ่านมา20 ปี คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติยังมีรายชื่อเอ็นจีโอ 5 คนเป็นกรรมการอยู่เช่นเดิม จึงอยากให้แก้ไขและเปิดโอกาสให้บุคลากรทางแพทย์ที่ในระดับปฏิบัติเข้ามานั่งเป็นกรรมการทดแทน

    ส่วนการแก้ไขประเด็นที่ 2.เป็นการแก้ไขในระดับที่ใหญ่ขึ้นมา คือ การย้ายสปสช. ไปสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้เป็นกองสาธารณสุข หรือ ยกระดับขึ้นมาเป็นกรมสปสช.  มีหน้าที่ทำระเบียบการเงินการคลังของแผ่นดิน แต่ไม่ต้องคิดระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างเอง  เพราะการที่แยกหน่วยงานบริการ โรงพยาบาลที่เดิมขึ้นตรงต่อ กระทรวงสาธารณสุขทำให้มีปัญหาในเรื่องของการบริหารจัดการงบประมาณ

    3.ข้อเสนอแก้ไขในระดับที่ใหญ่มากขึ้น คือ การใช้ พ.ร.บ.ประเมินผลสัมฤทธิ์ โดยให้กระทรวงสาธารณสุข ทำหน้าเสนอและประเมิน ซึ่งหากพบว่าการบริหารจัดการของ สปสช.เป็นอุปสรรคในการบริหารราชการแผ่นดินก็เสนอยุบหน่วยงานได้เลย

    “การแก้ไขกฎหมายหลักประกันสุขภาพต้องมีเจ้าภาพ  ซึ่งฝากความหวังให้นักการเมืองมีโอกาสน้อยมาก  มันจะต้องมีคนจริงใจที่จะเข้ามาทำงานตรงนี้ ทำให้เราคิดว่าต้องตัดสินใจกลับมาทำงานที่แพทยสภา เพราะแพทยสภาสามารถใช้ มาตรา 7 (6 )ของ พรบ.วิชาชีพเวชกรรม เสนอให้แก้ไขได้ หรือเป็นเจ้าภาพในการติดตาม จึงรวมกันเป็นทีมเพื่อแพทย์สมัครเลือกตั้งกรรมการแพทย์สภา”

    แพทย์หญิงอรพรรณ์ เมธาดิลกกุล” แพทย์ผู้เชี่ยวชาญอาชีวเวชศาสตร์ หรือโรคที่เกิดจากการทำงาน

    แพทย์หญิงอรพรรณ์บอกว่า โดยส่วนตัวหลังจากตัดสินใจกลับมากได้ใช้เวลาประมาณ 2 เดือนเพื่อรวมทีมทำงานก่อนจะตัดสินใจเข้ารับสมัครประมาณ2 สัปดาห์จะปิดรับสมัคร ได้เริ่มติดต่อแพทย์ที่ทำงานปฏิบัติทั่วประเทศ  200 คน เพราะทีมทำงานแพทยสภาในครั้งนี้เราต้องการเน้นแพทย์ภาคปฏิบัติเป็นส่วนใหญ่ มีอาจารย์โรงเรียนแพทย์ 10 %

    “ทีมแพทยสภาเก่าส่วนใหญ่จะเป็นอาจารย์โรงเรียนแพทย์  อาจารย์มหาวิทยาลัย แต่ทีมของเราเน้นแพทย์ปฏิบัติ เช่น แพทย์ผ่าตัด แพทย์ที่ทำงานหน้างาน และรู้ปัญหาจริง เข้ามาทำงานแพทยสภา เพราะแพทยสภาต้องเป็นเจ้าภาพในการใช้ มาตร 7 (6 )เสนอแก้กฎหมายต้องมีความจริงใจในการรับฟัง จึงต้องเอาผู้ปฏิบัติงานมามีส่วนร่วมด้วย”

    นอกจากเสนอแก้กฎหมายระบบหลักประกันสุขภาพแล้ว  แพทย์หญิงอรพรรณยังเสนอแก้กฎหมายระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน หรือ ก.พ. เปลี่ยนมาเป็นกฎหมายระเบียบบริหารราชการสาธารณสุขแบบเฉพาะเพื่อให้ดูแลแพทย์และบุคลากรทางสาธารณสุขโดยเฉพาะ เนื่องจากลักษณะการทำงานมีความพิเศษแตกต่างจากการทำงานในอาชีพอื่นๆ ทำให้ต้องการบริหารแบบเฉพาะ โดยที่ผ่านมาประชาชนเคยเข้าชื่อ 1 แสนคน เสนอกฎหมายดังกล่าว และกำลังจะข้าสภาผู้แทนราษฎร แต่สภาฯถูกยุบไปจากการรัฐประหารในปี 2557

    สำหรับหลักการกฎหมายระเบียบบริหารราชการสาธารณสุข คือ การบริหารราชการที่มีลักษณะเฉพาะแตกต่างจากการบริหารราชการแบบ ก.พ.  ซึ่งบริหารแบบเหมาโหล ขณะที่วิชาชีพของสาธารณสุขมีความจำเพาะสูง เพราะเป็นอาชีพที่เกี่ยวเนื่องกับชีวิตคน จึงต้องออกแบบการบริหารที่ต่างออกไป  เช่นเดียวกับ กฎหมายตุลาการ และ อัยการ

    “เนื้อหาของกฎหมาย จะแก้ปัญหาได้หมด เพราะโครงสร้างการบริหารมีฝ่ายบริหารและฝ่ายปฏิบัติ มีการกำหนดอัตรากำลัง กำหนดลักษณะงาน เช่น หากลักษณะงานเป็นแบบฉุกเฉินตลอด จะต้องมีรูปแบบการหยุดพักอย่างไร การกำหนดฐานเงินเดือน ซึ่งเรื่องรายได้ก็เป็นปัจจัยทำให้หมอลาออกไปทำงานด้าน เอไอ หรือ ไอที จำนวนมาก ซึ่งกฎหมายจะช่วยรักษาระบบสุขภาพให้ดีขึ้น ให้คนมีส่วนร่วม และคนทำงานมีความสุข”แพทย์หญิงอรพรรณ์ กล่าว

    เปิดให้บุคลากรทางการแพทย์รวมกลุ่มกันได้

    แพทย์หญิงอรพรรณ์  ได้ชี้ให้เห็นว่า  การแก้ไขกฎหมายและการออกกฎหมายเฉพาะวิชาชีพสาธารณสุขมีความสำคัญ เพราะระบบสาธารณสุข มีองค์ประกอบที่สำคัญคือ หมอและบุคลากรสาธารณสุข ซึ่งต้องทำงานเป็นทีม และการบริหารระบบต้องมีความสมดุล  ผู้ปฏิบัติต้องสามารถรวมกลุ่มกันเพื่อเรียกร้องให้มีการปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเองได้

    เช่น ระบบสาธารณสุขที่เกาหลีใต้ อังกฤษ ส่งเสริมให้มีการรวมกลุ่มทำงานเป็นทีม  แต่ปัญหาของระบบสาธารณสุขไทย คือการแบ่งแยกกันทำงาน เช่น หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่เทคนิคการแพทย์หรืออื่นๆ แตกออกมาเป็น 10 กว่าวิชาชีพ ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำคือการทำงานเป็นทีมและทำให้บุคลากรทางสาธารณสุขรวมกลุ่มกันได้

    การรวมกลุ่มของบุคลากรทางสาธารณสุขมีความจำเป็น เพราะระบบสาธารณสุขที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จากเปลี่ยนมาใช้ระบบหลักประกันสุขภาพทำให้การทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ต้องแบ่งหน้าทีกันทำอย่างชัดเจน จนเกิดสมาคมวิชาชีพแตกออกไปจำนวนมาก  เช่น สมาคมเภสัชกร/สมาคมพยาบาล และอื่นๆ ซึ่งตามหลักการแล้วควรจะมีกฎอันเดียวกัน หรืออยู่ในร่มเดียวกัน เช่นในต่างประเทศเปิดให้มีสหภาพ หรือการรวมกลุ่มของบุคลากรสาธารณสุข เพียงแต่วิชาชีพที่แตกต่างกัน มีมาตรฐานในการกำกับการทำงานเฉพาะของตัวเอง  เช่น เทคนิคการแพทย์ต้องทำอะไรบ้างให้ตามมาตรฐาน เภสัชต้องทำอะไรบ้าง  แต่รวมกลุ่มกันในนามบุคลากรทางด้านสาธารณสุข

    “กฎหมายต้องเปิดให้มีการรวมกลุ่ม ซึ่งกฎหมายไทยไม่ได้เปิดโอกาส ทำให้สภาพยาบาลต้องไปจดทะเบียนในรูปแบบUnion ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเขามีกฎหมาย เพราะบุคลากรทางด้านสาธารณสุขไทย อยู่ภายใต้พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน หรือ ก.พ.ซึ่งบอกว่ามีสภาพยาบาลอยู่แล้วไม่ต้องมีสหภาพ และมีแพทยสภาอยู่แล้ว ไม่ต้องมีสหภาพ

    “แต่กฎหมายของแพทยสภาไม่มีวัตถุประสงค์เรื่องการพัฒนาคุณภาพชีวิตและระบบสวัสดิการของแพทย์ ดังนั้น ประเทศไทยจึงไม่มีองค์กรที่ดูแลบุคลากรทางสาธารณสุข และไม่มีกฎหมายเฉพาะที่ดูแลคนทำงาน ทำให้สภาพยาบาลต้องไปจดทะเบียนที่ต่างประเทศ”

    แพทย์หญิงอรพรรณ์  บอกว่า  ตัวระบบ คนทำงาน และระบบบริการ ต้องมีโครงสร้างที่จัดอย่างเป็นระบบสมดุลเพื่อบรรลุเป้าหมายคือสุขภาพที่ดีของประชาชนเพื่อคนไทยมีความสุขได้รับการดูแลที่ดีจริงๆ  แล้วคนทำงานก็ต้องมีความสุขแต่ภายใต้เงื่อนไขที่ทุกคนทำในหน้าที่ของตัวเองได้ดีและเป็นคนที่มีคุณภาพ ทำงานเป็นทีมเดียวกันอยู่ในมาตรฐานที่ดี

    “ในต่างประเทศข้อกำหนดการทำงานร่วมกันเรียกว่า Health professional  ซึ่งเป็นการรวมกันของบุคลากรทางการแพทย์ทั้งหมด เพราะเมื่อทำงานเป็นทีมก็จะสามารถดูแลผู้ป่วยได้ดี โดยไม่จำเป็นต้องไปตั้งสภาวิชาชีพแยกกันแล้วมาขัดแย้งกันเอง  ซึ่งเราอาจจะเรียกว่า HealthTeam   เพื่อมาช่วยดูคนไข้ร่วมกัน ทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับคนไข้”

    แพทย์หญิงอรพรรณ์  ย้ำว่า ระบบสาธารณสุขปัจจุบันทำให้เกิดการแยกงานกันทำ และถือเป็นจุดต่ำสุดของระบบที่แตกต่างจากในอดีต ซึ่งทำงานเป็นทีมอย่างมีความสุข ไม่ได้ทำแค่หน้าที่ตามวิชาชีพของตัวเอง ทำให้เราสามารถพัฒนาพัฒนาความรู้ และการดูแลผู้ป่วยไปพร้อมกันได้

    แพทย์หญิงอรพรรณ์ เมธาดิลกกุล” แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ อาชีวเวชศาสตร์ อาชีวเวชศาสตร์และสิ่งแวดล้อม

    ผู้ป่วยต้องตระหนักรู้สิทธิและหน้าที่

    พร้อมชี้ว่าปัญหาของระบบหลักประกันสุขภาพที่ทำให้การบริการสุขภาพขาดความสมดุล  บุคลากรทางการแพทย์ทำงานหนัก  แพทย์หญิงอรพรรณ์  มองว่า มาจากผู้ป่วยด้วยส่วนหนึ่ง เนื่องจากผู้ป่วยเองไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเอง เรียนรู้เรื่องสิทธิ แต่ขาดการตระหนักเรื่องหน้าที่ เพราะระบบปัจจุบันส่งเสริมให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษา ทำให้มีผู้ป่วยมาใช้บริการฉุกเฉินมากขึ้น โดยที่บางครั้งไม่ได้มีอาการฉุกเฉินจริงจนทำให้แพทย์ต้องทำงานหนักมากขึ้น

    “ในอดีตหมอและบุคลากรทางการแพทย์ ที่เข้าเวรห้องฉุกเฉินทำงานกันได้ เพราะนานๆจะมีผู้ป่วยฉุกเฉินเข้ามา ใครอยู่เวรก็พอได้หลับบ้าง แต่ตอนนี้ไม่ได้เลย มีคนมาตลอดเวลาแล้ว เพราะบอกว่าฉุกเฉินเป็นสิทธิของผู้ป่วย ซึ่งในอดีตประชาชนมีคุณภาพดี แต่เพราะเราส่งเสริมการให้ฟรีมาก ทำให้ประชาชนคิดแต่เรื่องสิทธิ ไม่คิดถึงหน้าที่ เพราะฉะนั้นก็จะวิ่งเข้ามาฉุกเฉินที่โรงพยาบาล ทั้งที่มันไม่ใช่กรณีฉุกเฉินหมอก็ต้องลุกขึ้นมาดูแลตอนกลางคืนมีเวลาพักผ่อนน้อย

    แพทย์หญิงอรพรรณ์ อธิบายเพิ่มเติม  ผู้ป่วยควรจะรู้หน้าที่ ดูแลสุขภาพของตัวเองก่อนไปใช้สิทธิ์ของตัวเอง และดูลำดับความเร่งด่วน เพื่อให้ระบบมันอยู่ได้ แต่ตอนนี้ทำไม่ได้ เพราะทุกคนด่วนหมด

    ซึ่งวิธีคิดที่เรียกว่า ผู้ป่วยเป็นนาย หมอเป็นบ่าว หมอทำไม่ถูกใจก็ฟ้องคดีผู้บริโภค เพื่อให้ได้เงินชดเชยตาม มาตรา41ของกฎหมายหลักประกันสุขภาพ พอฟ้องเรียกเงินชดเชยได้แล้ว ก็มาฟ้องทางแพ่งถ้าคดีไม่หมดอายุความก็ไปฟ้องอาญา ซึ่งถือเป็นสูตรการฟ้องแพทย์

    “การทำงานของแพทย์สมัยก่อนมันหนักจริงแต่มันไม่มีคนคอยฟ้อง แต่ตอนนี้ มีตาเป็นสับปะรดที่จะจัดการหมอ ทำให้หมอ ตัดสินใจลาออกเพื่อให้ชีวิตเขารอด และครอบครัวเขามีความสุข มีหมอบางคนเขารอดพ้นไปได้แล้ว เพราะลาออกไป แต่ก็มีหมอที่อยู่ในระบบอีกมากที่ต้องทำงานหนัก แม้จะมีคนบอกว่าสมัครมาเป็นหมอก็ต้องยอมงานหนัก แต่ไม่มีใครรู้ว่ามันหนักแบบโคตรโคตรจริงๆ ทำให้หมอลาออกเป็นจำนวนมาก”


    ระบบบริการสุขภาพมาถึงจุดต่ำสุด

    แพทย์หญิงอรพรรณ์ บอกอีกว่า ไม่ต้องถามว่า 20 ปี ที่มีระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติดีหรือไม่ เพราะส่วนตัวแล้วเห็นว่าเราเดินมาถึงจุดต่ำสุด แม้จะบอกว่าผู้ป่วยเข้าถึงการรักษามากขึ้น แต่ในมุมกลับกันเห็นว่าคนไข้เข้าถึงการรักษาแต่หมอไม่สามารถรักษาได้ก็เป็นปัญหาเช่นกัน รวมทั้งการที่ สปสช. ส่งเงินให้โรงพยาบาลไม่เท่ากับต้นทุนค่าใช้จ่ายจริง ส่งผลให้โรงพยาบาลหลายแห่งขาดทุนจำนวนมาก อย่าง กรณีข่าวล่าสุดที่ตัวแทนผู้ประกอบการคลินิกชุมชนอบอุ่น พื้นที่กรุงเทพมหานคร ร้องกรณีสำนักงานสปสช. ไม่จ่ายเงินให้กับหน่วยบริการปฐมภูมิตามระยะเวลาที่กำหนด เป็นเหตุให้คลินิกชุมชนอบอุ่น กทม.ขาดสภาพคล่องและไม่สามารถจัดสรรงบประมาณที่เพียงพอสำหรับการรักษาผู้ป่วย เป็นต้น

    ส่วนการบริหารการเงินการคลังไม่มีประสิทธิภาพ และอาจผิดวัตถุประสงค์ อาทิไม่มีหน้าที่ทำวิจัยตามกฎหมาย แต่ปรากฏว่าให้งบประมาณวิจัยกับหน่วยงาน ไม่มีกี่หน่วยงาน และให้อยู่ประจำ 2-3 แห่งเท่านั้น โดยการให้ทุนวิจัยหรือการดำเนินการต่างๆ ได้ทำอย่างเป็นกระบวนการ มีโครงสร้าง แต่ละกิจกรรมมีการสั่งการและมีเป้าหมาย

    แพทย์หญิงอรพรรณ์ บอกว่า “ถ้าระบบประกันสุขภาพดีจริง ต้องมีการประเมินโดยคนทำงานในระดับปฏิบัติ เพราะที่ผ่านมาไม่ได้ถามแพทย์ พยาบาล และบุคลการทางการแพทย์อื่นๆ แม้สปสช.จะบอกว่าประเมินปีละครั้ง แม้จะมีความเห็นของผู้ปฏิบัติ แต่ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติที่ควรเป็นผู้ประเมิน เพราะการประเมินต้องเกิดขึ้นจริงกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นผู้ปฏิบัติหน้างานจริงๆ”

    ทั้งนี้ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขรายงานถึงสถานการณ์แพทย์ในปัจจุบันจำนวนแพทย์ทั้งหมดมีประมาณ 50,000-60,000 คน เป็นแพทย์ในกระทรวงสาธารณสุข 24,649 คน หรือคิดเป็น 48%  แต่ภาระงานเราที่ดูแลคนในระบบหลักประกันสุขภาพฯประมาณ 45 ล้านคน โดยแพทย์เฉลี่ยต่อประชากรจะอยู่ที่ 1 ต่อ 2,000 คน ซึ่งมาตรฐานโลกกำหนดให้ 3 ต่อ 1,000 คน

    ส่วนข้อมูลการลาออกของแพทย์ 10 ปีย้อนหลัง ระหว่างปี 2556-2565 พบว่า มีแพทย์บรรจุรวม 19,355 คน

  • แพทย์ใช้ทุนปีแรก ลาออก 226 คน คิดเป็น 1.2% เฉลี่ยปีละ 23 คน 
  • แพทย์ใช้ทุนปีที่ 2  ตัวเลขอยู่ที่ 1,875 คน คิดเป็น 9.69% เฉลี่ยลาออกปีละ 188 คน
  • แพทย์ใช้ทุนปีที่ 3 ลาออก 858 คน คิดเป็น 4.4% เฉลี่ยปีละ 86 คน
  • แพทย์ลาออกหลังพ้นภาระชดใช้ทุน 1,578 คน คิดเป็น 8.1%  เฉลี่ยปีละ 158 คน
  • โดยสรุปภาพรวมเฉลี่ยลาออกปีละ 455 คน นอกจากนี้ยังมีเกษียณปีละ 150-200 คน รวมประมาณปีละ 655 คน

    แพทย์หญิงอรพรรณ์  ย้ำว่า การแก้ไขระบบหลักประกันสุขาภาพต้องสร้างความสมดุลระหว่างการทำงานของแพทย์ ป้องกันไม่ให้แพทย์ลาออก และผู้ป่วยที่มารับบริการต้องทำให้ทุกคนได้รับประโยชน์สูงสุดในการเข้ารับบริการ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขก็ทำงานอย่างมีความสุข