
การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 29 (UNFCCC COP29) ณ กรุงบากู สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน ระหว่างวันที่ 11 – 22 พฤศจิกายน 2567 มีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมประมาณ 70,000 คน รวมถึงประมุขแห่งรัฐและรัฐบาลที่จะเข้าร่วมในส่วนของผู้นำในวันที่ 12-13 พฤศจิกายน
แต่ปรากฎว่าในการประชุมเมื่อวันอังคาร(12 พ.ย) ไม่มีชื่อประเทศใหญ่ๆ ค่อนข้างมากและประเทศมหาอำนาจก็ขาดหายไปอย่างเห็นได้ชัดจากการรายงานของสำนักข่าว Associated Press(AP)
การเจรจาที่ผ่านมามักมีผู้นำระดับดาวดัง แต่การประชุมที่กำลังมีขึ้นในอาเซอร์ไบจานไม่มีผู้นำระดับสูงของประเทศที่สร้างมลพิษคาร์บอนไดออกไซด์ที่ใหญ่ที่สุด 13 ประเทศ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีส่วนต่อการสะสมก๊าซดักความร้อนกว่า 70% ที่ปล่อยออกมาเมื่อปีที่แล้ว
“คนที่รับผิดชอบเรื่องนี้ไม่มา” ประธานาธิบดีอเล็กซานเดอร์ ลูกาเชนโก ของเบลารุสกล่าวระหว่างการปราศรัยที่การประชุมสุดยอด “ไม่ใช่เรื่องที่น่าภูมิใจ”
ผู้ก่อมลพิษรายใหญ่ที่สุดของโลกและเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งที่สุด จีนและสหรัฐอเมริกา ไม่ได้ส่งผู้นำอันดับหนึ่งมา เช่นเดียวกับอินเดียและอินโดนีเซีย ทั้งที่เป็น 4 ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกซึ่งมีสัดส่วนมากกว่า 42% ของประชากรโลก
“มันเป็นอาการของการขาดเจตจำนงทางการเมืองที่จะดำเนินการ ไม่ตระหนักถึงความเร่งด่วน” บิล แฮร์ นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Climate Analytics กล่าว และชี้ว่าเรื่องนี้อธิบายถึง “ความยุ่งเหยิงที่เรากำลังเผชิญอยู่”

ผู้นำเน้นย้ำเลี่ยงภาวะโลกร้อนขึ้นไม่ได้-การเปลี่ยนผ่านพลังงาน
นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวกับบรรดาผู้นำโลกที่มาเข้าร่วมประชุมว่า โลกกำลังเผชิญกับ “การทำลายสภาพภูมิอากาศระดับสูง” ในปีนี้ที่แน่นอนว่าน่าจะร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์
แต่นายกูเตอร์เรสยังมีความหวัง โดยกล่าวชี้ไปที่การที่โดนัลด์ ทรัมป์คว้าชัยการเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกาอีกครั้งว่า “การปฏิวัติพลังงานสะอาดอยู่ตรงนี้ ไม่มีกลุ่มไหน ไม่มีธุรกิจไหน ไม่มีรัฐบาลสามารถหยุดยั้งได้”
เจ้าหน้าที่ของสหประชาชาติกล่าวว่า เมื่อทรัมป์ได้รับเลือกครั้งแรกในปี 2559 โลกมีพลังงานสะอาด 180 กิกะวัตต์ และรถยนต์ไฟฟ้า 700,000 คัน ปัจจุบันมีพลังงานสะอาด 600 กิกะวัตต์ และรถยนต์ไฟฟ้า 14 ล้านคัน
นายอิลฮัม อาลิเยฟ ประธานาธิบดีอาเซอร์ไบจานที่เป็นเจ้าภาพในปีนี้ กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมผู้นำโลกที่ใช้เวลา 2 วัน ด้วยการโจมตีอาร์เมเนีย สื่อข่าวตะวันตก นักเคลื่อนไหวด้านสภาพอากาศ และนักวิจารณ์ประวัติศาสตร์และการค้าน้ำมันและก๊าซอันอุดมสมบูรณ์ของอาเซอร์ไบจาน และบอกว่าคนกลุ่มเหล่านี้ตีสองหน้า เนื่องจากสหรัฐฯอเมริกา เป็นประเทศผลิตน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก และว่ามัน “ไม่ยุติธรรม” ที่จะเรียกอาซอร์ไบจานว่า “รัฐปิโตรเลียม(Petrostate)” เพราะอาเซอร์ไบจานผลิตน้ำมันและก๊าซน้อยกว่า 1% ของโลก
น้ำมันและก๊าซเป็น “ของขวัญจากพระเจ้า” ก็เหมือนกับดวงอาทิตย์ ลม และแร่ธาตุ นายอาลีเยฟกล่าว “ประเทศต่างๆ ไม่ควรถูกตำหนิเพียงเพราะว่าดี และไม่ควรถูกตำหนิที่นำทรัพยากรเหล่านี้ออกสู่ตลาดเพราะตลาดต้องการสิ่งเหล่านี้”
นายอาลีเยฟกล่าวว่า อาเซอร์ไบจานจะผลักดันสำหรับการเปลี่ยนผ่านที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและลดเชื้อเพลิงฟอสซิล “แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องอยู่กับความเป็นจริง”

เมื่อรุ่นใหญ่จำนวนมากไม่อยู่ ประเทศอื่นๆเข้ามาแทนที่
หนึ่งในผู้นำที่โดดเด่นที่สุดในการเจรจาคือนายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์แห่งสหราชอาณาจักร เขาประกาศเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซลง 81% จากระดับปี 1990 ภายในปี 2035 ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายข้อตกลงปารีสในการจำกัดภาวะโลกร้อนให้อยู่ที่ 1.5 องศาเซลเซียส (2.7 องศาฟาเรนไฮต์) เหนือช่วงก่อนอุตสาหกรรม ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 78% ที่สหราชอาณาจักรให้คำมั่นไว้แล้ว
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกในสหราชอาณาจักรลดลงเกือบครึ่งหนึ่งจากระดับในปี 1990 สาเหตุหลักมาจากการเลิกใช้ถ่านหินในการผลิตไฟฟ้าเกือบทั้งหมด
นักวิเคราะห์สภาพอากาศหลายคนตอบรับกับการประกาศดังกล่าว “นี่เป็นการสร้างมาตรฐานที่แข็งแกร่งสำหรับประเทศอื่นๆ” เด็บบี ฮิลลิเออร์ หัวหน้าฝ่ายนโยบายสภาพภูมิอากาศระดับโลกของ Mercy Corps กล่าว ขณะที่ นิก มาบีย์ จากสถาบันวิจัยสภาพภูมิอากาศ E3G กล่าวว่า “ประเทศอื่นๆ ควรทำตามด้วยเป้าหมายที่วางไว้สูง”
นอกจากนี้ยังมีการแสดงออกที่แข็งแกร่งจากผู้นำของประเทศที่เปราะบางต่อสภาพภูมิอากาศมากที่สุดในโลก ประธานาธิบดีประเทศหมู่เกาะเล็กๆ หลายแห่งและผู้นำหลายสิบคนจากประเทศต่างๆ ทั่วแอฟริกา ได้พูดในการประชุมสุดยอดผู้นำโลกที่กำหนดไว้สองวัน
“บรรพบุรุษของเราทำแผนผังกระแสน้ำด้วยไม้ ใบมะพร้าว และกะลา มันอยู่ในสายเลือดของเราที่จะรู้ว่าเมื่อใดที่กระแสน้ำกำลังเปลี่ยน และสภาพอากาศ น้ำกำลังเปลี่ยนในวันนี้” ฮิลดา ไฮน์ ประธานาธิบดีหมู่เกาะมาร์แชลกล่าว “เวลาจะเป็นตัวตัดสินผู้ที่ล้มเหลวในการเปลี่ยนผ่าน”
นายกรัฐมนตรีเปโดร ซานเชซของสเปนชี้ไปที่เหตุการณ์น้ำท่วมร้ายแรงในประเทศของเขาเมื่อเดือนที่แล้ว “จะมีโอกาสน้อยลงและรุนแรงน้อยลงหากไม่มีผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ”
“เราต้องแน่ใจว่าภัยพิบัติทางธรรมชาติจะไม่ทวีคูณหรือซ้ำรอย” เขากล่าว “มาทำในสิ่งที่เราสัญญาไว้ว่าจะทำในปารีสเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว”
มีอา อามัวร์ มอทลีย์ นายกรัฐมนตรีบาร์เบโดสกล่าวว่า โลกอยู่ใน “ช่วงเวลาที่สุดสุด” บาร์เบโดสถูกโจมตีด้วยพายุเฮอริเคนเบริล (Beryl ) เมื่อต้นปีนี้
“เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่โลกกำลังเผชิญอยู่ทุกวัน บ่งชี้ว่ามนุษยชาติและโลกกำลังมุ่งสู่หายนะ” เธอกล่าว
เจ้าหน้าที่ของสหประชาชาติเมินการไม่ร่วมประชุมของบรรดาเหล่าผู้นำ โดยกล่าวว่าทุกประเทศมาแล้วและแข็งขันในการเจรจาเรื่องสภาพอากาศ
ในสัปดาห์หน้า ผู้นำของประเทศที่ทรงอิทธิพลที่สุดครึ่งโลกจะต้องเดินทางไปบราซิลเพื่อเข้าร่วมการประชุม G20 การเลือกที่เพิ่งผ่านพ้นไปในสหรัฐอเมริกา การล่มสลายของรัฐบาลเยอรมนี ภัยพิบัติทางธรรมชาติ และความเจ็บป่วยส่วนบุคคล ยังทำให้ผู้นำบางคนไม่ได้เข้าร่วม

กลุ่มธนาคารเพื่อการพัฒนาคาดต้องใช้เงิน 170 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030
จุดสนใจหลักของการเจรจาในปีนี้คือการเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประเทศที่ร่ำรวยกว่าจะชดเชยประเทศยากจนสำหรับความเสียหายจากสภาพอากาศสุดขั้วของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ช่วยจ่ายเงินให้ประเทศยากจนเพื่อเปลี่ยนเศรษฐกิจลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล และช่วยเหลือในการปรับตัว
“ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ประเทศที่ร่ำรวยกว่ากำลังพยายามมองข้ามความสำคัญทางการเงินที่สำคัญของ COP นี้” ราเชล คลีตัส จากUnion of Concerned Scientistsองกล่าว “พวกเขากำลังพยายามหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบในการชดใช้”
ประเทศต่างๆ กำลังเจรจาเรื่องเงินจำนวนมหาศาล ตั้งแต่ 100 พันล้านดอลลาร์ต่อปีไปจนถึง 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี เงินนั้น “ไม่ใช่การกุศล แต่เป็นการลงทุน”นายกูเตอร์เรสกล่าว “ประเทศกำลังพัฒนาจะต้องไม่กลับออกจากบากูด้วยมือเปล่า”
ในวันที่ 12 พฤศจิกายน วันแรกของการประชุมสุดยอดการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศของผู้นำโลก กลุ่มธนาคารเพื่อการพัฒนาพหุภาคี (Multilateral Development Banks-MDB) ชั้นนำได้ประกาศ ประมาณการทางการเงินร่วมกันประจำปีสำหรับประเทศที่มีรายได้น้อยและปานกลาง
โดยสำหรับประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง การสนับสนุนทางการเงินเพื่อสภาพภูมิอากาศโดยรวมประจำปีจากกลุ่ม MDB คาดว่าจะมีมูลค่าสะสมถึง 120 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 ซึ่งรวมถึง 42 พันล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับการปรับตัว MDB ยังตั้งเป้าที่จะระดมเงินจำนวน 65 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจากภาคเอกชนทุกปี สำหรับประเทศที่มีรายได้สูง การจัดหาเงินทุนเพื่อสภาพภูมิอากาศโดยรวมประจำปีนี้คาดว่าจะสูงถึง 50 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งรวมถึง 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับการปรับตัว และ MDB ตั้งเป้าที่จะระดมเงิน 65 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจากภาคเอกชน
การประมาณการเงินสนับสนุนนี้มาจากธนาคารพหุภาคหลายราย ประกอบด้วย ธนาคารพัฒนาเอเชีย(Asian Development Bank-ADB) ธนาคารโลก(World Bank Group) ธนาคารพัฒนาอัฟริกา(African Development Bank-AfDB), ธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของเอเชีย (Asian Infrastructure Investment Bank-AIIB)สภาธนาคารพัฒนายุโรป(Council of Europe Development Bank-CEB) ธนาคารเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาของยุโรป(European Bank for Reconstruction and Development -EBRD) ธนาคารเพื่อการลงทุนของยุโรป(European Investment Bank-EIB) ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งทวีปอเมริกา(Inter-American Development Bank Group-IDB) ธนาคารอิสลามเพื่อการพัฒนา (Islamic Development Bank-IsDB)และ ธนาคารเพื่อการพัฒนาใหม่(New Development Bank)
ประมาณการของ MDB สูงกว่าการคาดการณ์ทางการเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของปี 2025 ที่ตั้งไว้ในปี 2562 โดยเพิ่มขึ้น 25% ในการจัดหาเงินทุนเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยตรง และการระดมทุนเพื่อการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศซึ่งเพิ่มขึ้นสองเท่าในปีที่ผ่านมา
การประมาณการดังกล่าวได้นำเสนอในระหว่างการประชุมระดับสูงในเมืองบากู ซึ่งจัดโดยประธานาธิบดีมุกห์ตาร์ บาบาเยฟ ประธาน COP29 และมีประมุขแห่งรัฐและรัฐบาลอื่นๆ ตลอดจนผู้บริหารระดับสูงจากกลุ่มผู้ให้กู้และองค์กรทางการเงินรายใหญ่อื่นๆ รวมถึงกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เข้าร่วม
หนึ่งในเสาหลักของแผนของประธาน COP29 คือ ทำให้เกิดการดำเนินการ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการจัดหาเงินทุนที่จำเป็นเพื่อสนับสนุนการดำเนินการด้านสภาพอากาศอย่างเร่งด่วน นายมุกตาร์ บาบาเยฟ ประธานาธิบดี COP29ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับการประมาณการนี้ว่า “ยินดีต้อนรับทุกการมีส่วนร่วม แต่ยังคงมีช่องว่างที่ชัดเจนระหว่างจุดที่เราอยู่และจุดที่เราต้องไป เรากำลังทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้ถือหุ้นของสถาบันการเงินระหว่างประเทศที่การประชุม COP29 เนื่องจากเราพยายามสร้างรากฐานของเป้าหมายทางการเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศใหม่ที่เป็นธรรมและมีเป้าหมายสูง”
สำหรับกองทุนชดเชยความสูญเสียและเสียหาย (Fund for responding to Loss and Damage) กองทุนพร้อมรับเงินสมทบภายหลังการลงนามในเอกสารสำคัญแล้ว ในวันที่สองของ COP29 ที่บากู ได้มีพิธีลงนามข้อตกลงผู้ดูแลผลประโยชน์(Trustee Agreement )และข้อตกลงสำนักเลขาธิการประเทศเจ้าบ้าน(Secretariat Hosting Agreement )ระหว่างคณะกรรมการกองทุนฯและธนาคารโลกตลอดจนข้อตกลงประเทศเจ้าบ้าน(Host Country Agreement)ระหว่างคณะกรรมการกองทุนฯ และคณะกรรมการกองทุนฯของประเทศเจ้าบ้านของ ได้แก่ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เมื่อผ่านขั้นตอนสำคัญนี้แล้ว กองทุนฯจึงคาดว่าจะเริ่มโครงการทางการเงินได้ในปี 2025
ภายในงาน สวีเดนยังได้ให้คำมั่นว่าจะบริจาคเงินประมาณ 19 ล้านยูโรให้กับกองทุนฯ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการอนุมัติจากรัฐบาล ส่งผลให้มีเงินทุนตามคำมั่นสัญญาทั้งหมดมากกว่า 720 ล้านดอลลาร์

เจ้าของสินทรัพย์มูลค่า 10 ล้านล้านดอลล์มุ่งมั่นดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ
ต่อมาในวันที่สี่ของการประชุม COP29 ที่เน้นประเด็นด้านการเงิน การลงทุน และการค้า เจ้าของสินทรัพย์มูลค่า 10 ล้านล้านดอลลาร์ ให้คำมั่นที่จะดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ
นอกเหนือจากการเจรจา ประธาน COP29 ได้จัดเตรียมเวทีให้ผู้มีบทบาทอื่นๆ ก้าวขึ้นมาและมีส่วนร่วม ในการประชุมวันนี้ที่เกี่ยวกับการเงิน การลงทุน และการค้ามีตัวแทนจากภาคเอกชน ธนาคารพัฒนาพหุภาคี และองค์กรการกุศล กองทุนเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ องค์กรระหว่างประเทศ และภาคประชาสังคม เข้าร่วม เพื่อดำเนินการร่วมกันเพื่อให้ทุนสนับสนุนการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศที่จับต้องได้
การประชุม COP29 Business, Investment และ Philanthropy Climate Platform (BIPCP) จัดขึ้นในวันนี้ มีผู้นำทางธุรกิจ การเงิน และการกุศลกว่า 1,000 รายมาหารือเกี่ยวกับบทบาทเชิงรุกของภาคเอกชนในการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไฮไลท์ของงานนี้คือการประกาศจาก กลุ่มนักลงทุนซึ่งมีสินทรัพย์มากกว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์ว่าพวกเขาจะรวมตัวกันเพื่อจัดทำวิสัยทัศน์และแผนปฏิบัติการร่วมกันเพื่อเร่งการนำเงินทุนภาคเอกชนไปใช้ในตลาดสภาพภูมิอากาศ
กลุ่มนักลงทุนนี้ประกอบด้วย CREO Family Office Syndicate (CREO) และ Investor Leadership Network (ILN) ร่วมกันเป็นตัวแทนของสมาชิก ซึ่งรวมถึงสำนักงานครอบครัว มูลนิธิครอบครัว กองทุนบำเหน็จบำนาญ และกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ ได้แถลงการณ์ ว่าพวกเขาจะผนึกกำลังเพื่อพัฒนา วิสัยทัศน์และแผนปฏิบัติการร่วมกันเพื่อเร่งการลงทุนในตลาดเอกชนในด้านโซลูชั่นด้านสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืน โดยจะมุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนผ่านพลังงานทั่วโลกเป็นหลัก รวมถึงในตลาดเกิดใหม่ ซึ่งมีทั้งการลงทุน โอกาส และผลกระทบเชิงบวกต่อสภาพภูมิอากาศ ด้วยการใช้ประโยชน์จากแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดและแบ่งปันความเชี่ยวชาญภายในเครือข่ายของตน และการพัฒนาโซลูชันเพื่อจัดการกับจุดขัดแย้งที่สำคัญ CREO, ILN และพันธมิตรและผู้สนับสนุนเจ้าของสินทรัพย์ในอนาคตจะมุ่งเป้าไปที่การขยายการเงินเพื่อสภาพภูมิอากาศและเพิ่มความยืดหยุ่นของพอร์ตการลงทุนทั่วโลก โครงการริเริ่มนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อร่วมกันที่ว่าการบูรณาการแนวทางการลงทุนที่ยั่งยืนในสินทรัพย์ทุกประเภทจะช่วยลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ เพิ่มมูลค่า และช่วยรักษาโลกของเราสำหรับคนรุ่นปัจจุบันและอนาคต
CREO และ ILN จะจัดการเสวนาตลอดปี 2025 รวมถึงการทำงานและการเสวนาที่ World Economic Forum ในเมืองดาวอสในเดือนมกราคม การประชุมธนาคารโลกในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในเดือนเมษายน และการประชุม Milken Institute Global Conference ในเมืองลอสแอนเจลิส แองเจลิสในเดือนพฤษภาคม
CREO และ ILN ด้วยความร่วมมือกับ Milken Institute จะร่วมเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดเจ้าของสินทรัพย์ที่ COP30 ในบราซิล ซึ่งจะแชร์ความคืบหน้าในการพัฒนาและการดำเนินการแก้ไขปัญหา และรายงานเกี่ยวกับเงินทุนใหม่ที่นำไปใช้กับการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ รวมถึงในตลาดเกิดใหม่
ภาคการธนาคารของอาเซอร์ไบจานประกาศคำมั่นสำหรับโครงการสีเขียว
นอกจากนี้ ในนามของภาคการธนาคารของอาเซอร์ไบจาน นาย ซากีร์ นูริเยฟ ประธานสมาคมธนาคารอาเซอร์ไบจานได้ประกาศรายละเอียดของคำมั่นสัญญาที่จะจัดสรรเงิน 1.2 พันล้านดอลลาร์สำหรับการพัฒนาโครงการสีเขียวและยั่งยืนในอาเซอร์ไบจานจนถึงปี 2030 กองทุนจะสนับสนุนโครงการที่มีส่วนร่วม ถึงการเปลี่ยนผ่านของอาเซอร์ไบจานสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ตามที่ธนาคารกลางแห่งอาเซอร์ไบจานประกาศคู่มือ taxonomy ฉบับใหม่เพื่อเป็นแนวทางในการลงทุนที่ยั่งยืน
สวีเดนร่วมปกป้องสังคมที่มีรายได้น้อยและปานกลาง
สวีเดนได้ประกาศบริจาคเงินจำนวน 730 ล้านดอลลาร์ให้กับกองทุน UN Green Climate Fund (GCF) ซึ่งจะสนับสนุนประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลางลงทุนเพื่อการปรับตัว เพื่อปกป้องสังคมจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และยังจะสนับสนุนการลงทุนในโครงการริเริ่มด้านสภาพภูมิอากาศเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทำให้การบริจาคโดยรวมของสวีเดนในการประชุม COP29 มีจำนวน 749 ล้านดอลลาร์ หลังจากบริจาคให้กับกองทุนเพื่อการสูญเสียและความเสียหาย 19 ล้านยูโร