รายงานโดย ปรีดี บุญซื่อ

หนังสือพิมพ์ US News & World Report รายงานการจัดอันดับประเทศดีที่สุดในโลกปี 2024 ปรากฏว่าสวิตเซอร์แลนด์ ประเทศเล็กในยุโรปกลาง ได้รับเลือกเป็นประเทศดีที่สุดอันดับ 1 ของโลก นับเป็นปีที่ 3 ที่สวิสครองตำแหน่งอันดับ 1 ติดต่อกัน และเป็นการครองอันดับ 1 เป็นครั้งที่ 7 หลังเคยครองอันดับ 1 ติดต่อกันในช่วงปี 2017-2020 แคนาดาสลับขึ้นมาครองอันดับ 1 ในปี 2021
การจัดอันดับมาจากการสำรวจความเห็นคนทั่วโลก 17,000 คน จาก 89 ประเทศ โดยจัดจากหลักเกณฑ์ 10 ข้อ เช่น สภาพแวดล้อมเปิดกว้างต่อธุรกิจ คุณภาพชีวิต จิตวิญญาณการเป็นผู้ประกอบการธุรกิจ การมีเป้าหมายทางสังคม เป็นต้น แม้สวิสจะไม่อยู่ในอันดับ 1 ในหลักเกณฑ์เหล่านี้ แต่ก็ติดอันดับที่โดดเด่นในทุกด้าน โดยเฉพาะภาพรวมการมีเสถียรภาพการเมือง เศรษฐกิจ ด้านการศึกษา และนวัตกรรม ด้านคุณภาพชีวิตคือการมีอาชญากรรมต่ำ และระบบขนส่งที่เข้มแข็ง มีคอร์รัปชันน้อย และกฎระเบียบของรัฐที่โปร่งใส
เหตุผลทำให้สวิสติดอันดับ 1
บทความใน swissobserver.com เรื่อง 11 Reasons why Switzerland is The Best Country in the World อธิบายจุดเด่นต่างๆ ของสวิสไว้ว่า สวิสเป็นประเทศไม่มีพรมแดนติดทะเล ไม่มีท่าเรือ มีประชากร 8.8 ล้านคน GDP มูลค่า 885 พันล้านดอลลาร์ เศรษฐกิจใหญ่อันดับ 20 ของโลก รายได้ต่อคน 99,995 ดอลลาร์ คนสวิสจึงมั่งคั่งอันดับ 3 ของโลก เพราะเหตุนี้ จากการสำรวจต่างๆ สวิสจะติดอัน 1 ด้านคุณภาพชีวิต ความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ และความมั่งคั่งโดยรวมมาตลอด
บทความดังกล่าวอธิบายเหตุผล 11 ประการ ที่ทำให้สวิตได้รับการยอมรับว่าเป็นประเทศดีที่สุดในโลก
1) เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ สวิสมีระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเสรี และเป็นประเทศที่รายได้ต่อคนสูงสุดของโลกประเทศหนึ่ง เงินฟรังก์สวิสเป็นเงินสกุลแข็งค่าและมีเสถียรภาพ อัตราการว่างงานต่ำอย่างต่อเนื่อง นโยบายการคลังที่เข้มงวด ทำให้สวิสมีงบประมาณเกินดุลมาตลอด เงินเฟ้อต่ำ แรงงานมีทักษะสูง สามารถสนองภาคเศรษฐกิจมูลค่าสูง เช่นบริการทางการเงิน และการผลิตอุปกรณ์ที่ความแม่นยำสูง ทำให้เศรษฐกิจสวิสประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง
2) อัตราภาษีต่ำ แม้ไม่ใช่ประเทศมีภาษีต่ำมาก (tax haven) แต่สวิสก็เป็นที่รู้จักกันว่ามีอัตราภาษีต่ำ ทำให้ประชาชนมีรายได้เหลือใช้เพิ่มขึ้น รายได้จากภาษีของสวิสมีสัดส่วน 27.8% ของ GDP สัดส่วนเฉลี่ยของสมาชิก OECD คือ 34% อัตราภาษีรายได้ของสวิสอยู่ที่ 1-13% เทียบกับสหรัฐฯ 10-37% สวิสไม่มีการเก็บภาษีกำไรจากการขายทรัพย์สิน (capital gain tax) หรือหลักทรัพย์ อัตราภาษีเหมาะสมเป็นปัจจัยอย่างหนึ่งทำให้สวิสมีมาตรฐานการครองชีพสูง
3) โครงสร้างพื้นฐานระดับโลก สวิสยังมีความเป็นเลิศด้านโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น ถนน สนามบิน และรถไฟ สนามบินซูริคและเจนีวาได้รับการยอมรับเรื่องประสิทธิภาพ และการเชื่อมโยงได้ทั่วโลก การลงทุนสม่ำเสมอของรัฐทำให้ถนน สะพาน อุโมงค์ และเครือข่ายรถไฟ ได้รับการบำรุงรักษาอย่างดี 99% ของประชากรเข้าถึงน้ำสะอาด และ 100% เข้าถึงไฟฟ้า โครงสร้างพื้นฐานระดับโลก ทำให้การทำธุรกิจสะดวก และคุณภาพชีวิตโดยรวมเพิ่มมากขึ้น
4) ความมั่นคงปลอดภัย สวิสมีอัตราการก่ออาชญากรรมต่ำ โดยเฉพาะอาชญากรรมที่ใช้ความรุนแรง เมืองในสวิสแทบทั้งหมดได้รับการจัดอันดับสูงมากเรื่องความปลอดภัยของบุคคล มีกฎหมายควบคุมอาวุธปืนเข้มงวด เตรียมการอย่างดีในการรับมือภัยธรรมชาติ การบังคับกฎหมายควบคุมอาคาร ที่หลบภัยฉุกเฉิน และระบบเตือนภัยต่างๆ รวมทั้งฐานะความเป็นกลางทางการเมือง ช่วยเพิ่มเสถียรภาพและความปลอดภัยโดยรวม

5) ความสวยงานของธรรมชาติ ทิวทัศน์ของสวิสได้รับการยอมรับจากทั่วโลกเรื่องความสวยงามของธรรมชาติ เทือกเขาแอลป์ครอบคลุมพื้นที่ 60% ของประเทศ ที่ประกอบด้วยยอดเขาปกคลุมด้วยหิมะ ธารน้ำแข็ง ทะเลสาบ และหุบเขา ความสวยงามของธรรมชาติ และความสะดวกในการเข้าถึงธรรมชาติ ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของสวิสอย่างมาก เหมือนคำพูดที่ว่า จุดเด่นการท่องเที่ยวของสวิสคือขายหิมะ
6) ความสมดุลของงานกับชีวิต คนสวิสทำงานหนัก มีผลิตภาพการทำงานในระดับสูงสุดของโลก แต่คนสวิสก็ให้ความสำคัญแก่การพักผ่อนและครอบครัว พนักงานมีเวลาหยุดพักผ่อนปีหนึ่ง 4-5 สัปดาห์ โดยได้รับค่าจ้างเทียบกับในสหรัฐฯ 2 สัปดาห์ ในหมู่ประเทศ OECD สวิสมีชั่วโมงทำงานน้อยที่สุดคือ 36 ชม. ต่อสัปดาห์ ทำให้สวิสติดอันดับสูงสุดเรื่องความสมดุลของงานกับชีวิต
7) ระบบสาธาณสุข สวิสใช้ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า แต่ไม่ใช่ที่ระบบรัฐให้บริการสุขภาพฟรีเหมือนกับอังกฤษ กฎหมายปี 1994 กำหนดให้คนที่พักอยู่ในประเทศต้องซื้อประกันสุขภาพ ประชาชนแต่ละคนเป็นคนจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพเอง หากเบี้ยประกันสูงเมื่อเทียบกับรายได้ รัฐบาลจะให้เงินอุดหนุนช่วยจ่ายเบี้ยประกัน กลุ่มการเมืองต่างๆ พอใจกับระบบประกันสุขภาพสวิส ฝ่ายก้าวหน้าสนับสนุน เพราะเป็นการประกันที่ครอบคลุมทุกคน ฝ่ายอนุรักษ์สนับสนุน เพราะอาศัยธุรกิจประกันภาคเอกชน และประชาชนมีทางเลือกที่จะซื้อแผนประกันสุขภาพที่สูงกว่าแบบมาตรฐาน
8) ระบบการศึกษา OECD จัดอันดับให้การศึกษาสวิสอยู่ในระดับดีเลิศของโลก ทั้งในด้านคุณภาพและโอกาสความเท่าเทียม การใช้จ่ายด้านการศึกษาต่อนักเรียนสูงเป็นอันดับ 3 ของโลก โครงสร้างพื้นฐานของโรงเรียนเทียบเท่ามหาวิทยาลัยชั้นนำ ในด้านคณะผู้สอนและชั้นเรียนที่มีขนาดเล็ก การศึกษาสวิสเน้นที่การฝึกงานและด้านอาชีวศึกษา โดยการร่วมมือของโรงเรียนกับนายจ้าง ส่วนการศึกษาระดับสูงของสวิสประกอบด้วยมหาวิทยาชัยชั้นนำ และ IMD Business School
9) นวัตกรรม นักวิทยาศาสตร์ บริษัทยาและเคมีภัณฑ์ของสวิส มีบทบาทนำในด้านไบโอเทคและชีววิทยาศาสตร์ งบด้านวิจัยและพัฒนาเทียบกับ GDP สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก การสนับสนุนนวัตกรรมของรัฐ ผ่านทางกลุ่มอุตสาหกรรมในท้องถิ่นต่างๆ และการเป็นหุ้นส่วนระหว่างมหาวิทยาลัยกับบริษัทธุรกิจ นวัตกรรมจึงเพิ่มศักยภาพการแข่งขันทางเศรษฐกิจ และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์
10) มาตรฐานความเป็นอยู่ การผสมผสานระหว่างควารุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ ความปลอดภัย ธรรมชาติ และความมีประสิทธิภาพ ทำให้สวิสเป็นหนึ่งในประเทศดีที่สุดในการอยู่อาศัย การจัดอันดับในกลุ่ม OECD สวิสมีคะแนนมากกว่าคะแนนเฉลี่ยในด้านการทำงาน รายได้ ที่พักอาศัย สุขภาพ สิ่งแวดล้อม การศึกษา ความปลอดภัย ความสมดุลของงานกับชีวิต และความพึ่งพอใจในชีวิต มาตรการความเป็นอยู่ที่สูงได้ประโยชน์จากพื้นฐานเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง และการมีเมืองที่น่าอยู่อาศัย
11) ระบบการเมือง ระบบการเมืองที่กระจายอำนาจ บนพื้นฐานของประชาธิปไตยแบบกึ่งทางตรง ความเป็นกลางระหว่างประเทศ ระบบสหพันธรัฐ และการไม่รวมศูนย์อำนาจเข้าส่วนกลาง ทำให้สวิสเป็นประเทศที่รุ่งเรือง มีเสถียรภาพ ประชาชนสวิสสามารถเสนอให้มีการลงประชามติ ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผ่านการลงประชามติ ส่วนรัฐต่างๆ ที่เรียกว่า Canton กับองค์กรปกครองท้องถิ่น มีอำนาจอิสระของตัวเองอย่างมาก ระบบการเมืองจึงเป็นการรักษาความสมดุล ระหว่างความเป็นอิสระของรัฐท้องถิ่น กับความเป็นเอกภาพหนึ่งเดียวของประเทศ
ความสำเร็จของสวิสเป็นอีกโมเดลหนึ่งที่แตกต่างจากประเทศในสแกนดิเนเวีย แต่มั่งคั่งมากกว่า มีระบบสวัสดิการแห่งรัฐกว้างขวางแบบเดียวกัน เศรษฐกิจเปิดกว้าง อัตราภาษีต่ำกว่า และอาศัยกลไกรัฐที่มีประสิทธิภาพมากกว่า มีรายได้ต่อคนสูงที่สุดของโลกประเทศหนึ่ง แม้ไม่วัดกันที่ตัวเงิน สวิสก็เป็นหนึ่งในประเทศที่คนมีความสุขมากที่สุดของโลกประเทศหนึ่ง

แม้บริษัทข้ามชาติสวิสจะตั้งอยู่ในเมืองใหญ่ แต่เศรษฐกิจสวิสมีการกระจายออกไปตามรัฐต่างๆ เหมือนระบบการเมืองที่มีการกระจายอำนาจ มีดพับ Victorinox ของกองทัพสวิสที่โด่งดัง ผลิตจากเมือง Schwyz นาฬิกา Rolex จากเจนีวา และ Lindt ช็อกโกแลตชื่อดังจากเมือง Kilchberg
บทเรียนสำคัญจากความสำเร็จของสวิสก็คือ การให้เลือกระหว่างเศรษฐกิจที่ภาคเอกชนเป็นผู้นำการขับเคลื่อน กับการมีรัฐสวัสดิการอย่างกว้างขวาง อาจเป็นการแบ่งแยกที่ผิด ประเทศที่ยึดแนวทางภาคปฏิบัติ ยึดประสิทธิภาพความเป็นจริงอย่างสวิส สามารถสร้างระบบนิเวศที่ดีเลิศในการเป็นมิตรต่อธุรกิจ คู่ขนานกับความเท่าเทียมกันทางสังคม โดยการแสวงหาความสมดุลของสองสิ่งนี้
เอกสารประกอบ
Why Switzerland Is the World’s Best Country – Again, September 10, 2024. usnews.com
11 Reasons why Switzerland is The Best Country in The World, February 15, 2024 swissobserver.com