ThaiPublica > เกาะกระแส > อิทธิพลพุ่งสูงขึ้นของกระทรวงต่างประเทศจีน กับภารกิจ “ความคิดสี จิ้นผิง” ด้านการทูต

อิทธิพลพุ่งสูงขึ้นของกระทรวงต่างประเทศจีน กับภารกิจ “ความคิดสี จิ้นผิง” ด้านการทูต

21 มิถุนายน 2024


รายงานโดย ปรีดี บุญซื่อ

หวัง เหวินบิน ทูตจีนคนใหม่ประจำกัมพูชา ที่มาภาพ : fmprc.gov.cn

เว็บไซต์ asia.nikkei.com รายงานว่า หวัง เหวินบิน (Wang Wenbin) อดีตโฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน หรือ MOFA (Ministry of Foreign Affairs) ที่มีชื่อเสียงจากการทำหน้าที่ตอบคำถามผู้สื่อข่าวตะวันตก ในสไตล์พร้อม “สู้รบ” ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเอกอัครราชทูตจีนคนใหม่ ประจำกัมพูชา

หวัง เหวินบิน เป็นที่รู้จักกันในฐานะนักการทูต “นักรบหมาป่า” (wolf warrior) ที่แถลงข่าวด้วยข้อความแข็งกร้าว ต่อประเทศตะวันตกและญี่ปุ่น ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งโฆษกกระทรวงต่างประเทศ เป็นเวลา 4 ปี นับจากปี 2020 เป็นต้นมา โฆษกกระทรวงต่างประเทศของจีน ถือเป็นตำแหน่งที่มีฐานะสูงโดดเด่น รัฐมนตรีต่างประเทศจีนหลายคน เคยดำรงตำแหน่งนี้มาก่อน ส่วนกัมพูชามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีน จีนเข้ามาลงทุน หลายโครงการในกัมพูชา ที่เป็นส่วนหนึ่งของ “การริเริ่มหนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง”

หวัง อี้ รมต ต่างประเทศจีนพบปะสะเหลิมไซ กมมะสิด รมต. ต่างประเทศลาว ที่มาภาพ : fmprc.gov.cn

ความสำคัญของกระทรวง ตปท.

หนังสือ China’s Rising Foreign Affairs (2024) เขียนไว้ว่า เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกในเรื่องที่จีนก้าวขึ้นมาเป็นชาติมหาอำนาจ และผลกระทบที่มีต่อการเมืองระหว่างประเทศ แต่เมื่อนักวิเคราะห์ประเมินความสัมพันธ์ที่จีนมีต่อต่างประเทศ มักจะเน้นเรื่องอิทธิพลอำนาจของจีนในทางทหารกับเศรษฐกิจ และเรื่องบทบาทผู้นำจีน

การประเมินดังกล่าวทำให้มองข้ามองค์กรที่มีความสำคัญของรัฐบาลจีน คือบทบาทและอิทธิพลของกระทรวงต่างประเทศ ที่มีต่อการพุ่งขึ้นมาเป็นมหาอำนาจของจีน

ในอดีต นักสังเกตการณ์การเมืองระหว่างประเทศ มักมองกระทรวงต่างประเทศ ว่าเป็นหน่วยงานรัฐของจีน ที่มีอิทธิพลต่ำ ไม่ได้มีอิทธิพลอำนาจเหมือนกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ หรือของอังกฤษ ที่ผ่านมา ผู้นำจีนก็ไม่ได้ให้ความสำคัญต่อกระทรวงนี้ นโยบายต่างประเทศจีนเองก็แยกเป็นส่วนๆ ทำให้กระทรวงต่างประเทศ ต้องแข่งกับหน่วยงานอื่นของจีน ที่ต่างๆมีบทบาทในด้านต่างประเทศ เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง หรือคณะกรรมาธิการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ (NDRC) ที่ทรงอิทธิพล เป็นต้น

แต่นับจากที่สี จิ้นผิง ขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดของจีนในปี 2012 เป็นต้นมา ความสำคัญของกระทรวงต่างประเทศ ก็เพิ่มมากขึ้น ปี 2018 สี จิ้นผิง ประกาศว่า การทูตจีนคือ “ตัวแทนเจตนารมณ์ของรัฐ” กระทรวงต่างประเทศ จึงเป็นกลไกขับเคลื่อน “ท่าทีหนักแน่นเชิงรุกของจีน”

เดือนตุลาคม 2022 หวัง อี้ (Wang Yi) รัฐมนตรีต่างประเทศได้รับเลือกเป็นสมาชิกกรมการเมือง หรือ Poliburo ที่มีทั้งหมด 24 คน
แต่สิ่งที่สะท้อนความเชื่อมั่นและการสนับสนุนของผู้นำต่อกระทรวงต่างประเทศ นอกจากรัฐมนตรีต่างประเทศเป็นสมาชิกกรมการเมือง ก็คือการยกระดับองค์กรด้านต่างประเทศในพรรคคอมมิวนิสตจีน ขึ้นเป็น “คณะกรรมาธิการกิจการต่างประเทศศูนย์กลาง” (Central Foreign Affairs Commission) การเพิ่มงบประมาณกระทรวงฯจาก 30 พันล้านหยวนในปี 2011 เป็น 60 พันล้านหยวนในปี 2018 ทำให้ปัจจุบัน จีนมีสำนักงานตัวแทนการทูตทั่วโลก 276 แห่ง มากกว่าสหรัฐฯที่มี 273 แห่ง

“ความคิด สี จิ้นผิง” เรื่องการทูต

เดือนธันวาคม 2023 พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้จัดการประชุม Central Foreign Affairs Work Conference (CFAWC) หรือ “การประชุมภาระกิจการต่างประเทศศูนย์กลาง” เพื่อประเมินความสำเร็จทางการทูตของจีนในช่วงที่ผ่านมา วิเคระห์สถานการณ์ต่างประเทศ และการวางแนวทางการทูตของจีนในอนาคต สี จิ้นผิง เข้าร่วมประชุม CFAWC ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ก่อนหน้านี้ สี จิ้นผิงได้เข้าร่วมประชุม CFAWC ในปี 2014 และ 2018

เว็บไซต์ globaltimes.cn รายงานคำปราศรัยของสี จิ้นผิง ต่อที่ประชุม CFAWC เมื่อปีที่แล้วว่า ในเรื่องความสำเร็จที่ผ่านมา จีนได้สนับสนุนการสถาปนาชุมชนที่มีอนาคตร่วมกันของมนุษยชาติ ชี้ทิศทางที่นำสังคมมนุษย์ไปสู่การพัฒนาร่วมกัน การมีสันติภาพและความมั่นคงที่ดำเนินไปยาวนาน และการเรียนรู้กันและกันของอารยธรรมต่างๆ

สี จิ้นผิงยังกล่าวว่า ที่ผ่านมา ในกิจการระหว่างประเทศ จีนได้แสดงบทบาทสำคัญและสร้างสรรค์เพิ่มมากขึ้น ใช้ท่าทีแบบ “บูรณาการรวม” (holistic) ในความสัมพันธ์กับประเทศภาคีต่างๆ เพื่อส่งเสริมพลวัต ที่มีลักษณะการอยู่ร่วมอย่างสันติ รักษาเสถียรภาพโดยรวม และการพัฒนาที่สมดุล

คำปราศรัยของสี จิ้นผิง ยังสะท้อนถึงแนวคิด ที่มีนัยยะด้านต่างประเทศของโครงการ “การริเริ่มหนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” ว่า จีนได้เพิ่มการออกแบบทางยุทธศาสตร์ ที่รวมทุกอย่างที่เกี่ยวข้องเข้ามา สร้างเครือข่ายการเป็นหุ้นส่วน ในขอบเขตทั่วโลก ที่มีคุณภาพสูงและกว้างขวาง ความร่วมมือใน “การริเริ่มหนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” จึงเป็น “ระบบปฏิบัติการ” (platform) สำหรับความร่วมมือระหว่างประเทศ ที่ครอบคลุมทุกส่วน และใหญ่ที่สุดของโลก

เอกสารของที่ประชุม CFAWC อธิบายเพิ่มเติมถึงความสำคัญของแนวคิดสี จิ้นผิง ในเรื่อง “ชุมชนที่มีอนาคตร่วมกันสำหรับมนุษยชาติ” แนวคิดนี้คือหัวใจของความคิดสี จิ้นผิงในด้านการทูต และในเรื่อง “หนทางของจีนที่มีต่อโลกแบบไหน ที่เราจะสร้างขึ้นมา และเราจะสร้างขึ้นอย่างไร” สี จิ้นผิงมองว่า แนวคิดนี้จะมีส่วนสำคัญต่อการสร้างระเบียบโลก

ผู้นำต่างประเทศเข้าร่วมประชุม Belt and Road Forum ครั้งที่ 3 ที่มาภาพ : globaltimes.cn

ปัญหาท้าทายสำคัญ

ในที่ประชุม CFAWC กระทรวงต่างประเทศ จีนกล่าวว่า ในระยะที่ผ่านมา จีนมีการริเริ่มโอกาสใหม่ทางการทูต ในแบบเอกลักษณ์ของจีน จีนกลายเป็นประเทศสำคัญ ที่มีบทบาทความรับผิดชอบ ที่มีอิทธิพลระหว่างประเทศมากขึ้น มีความสามารถที่เข้มแข็งมากขึ้น ในการริเริ่มความพยายามใหม่ๆ

Globaltimes.cn อธิบายว่า ในปี 2018 ที่ประชุม CFAWC ได้สถาปนาความคิดสี จิ้นผิงเป็นแนวคิดนำในเรื่องการทูต ทำให้การทูตจีนมีบทบาทสำคัญต่อการฟื้นฟูโลก และการรักษาเสถียรภาพโลก ท่ามกลางการเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ วิกฤติสงครามยูเครนและความขัดแย้งปาเลสไตน์-อิสราเอล สะท้อนว่าโลกอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ จีนและประเทศหุ้นส่วนจำนวนมาก ต้องการให้โลกหันไปสู่ทิศทางการสร้างชุมชนโลกที่มีอนาคตร่วมกัน

ภารกิจทางการทูตในอนาคต

ที่ประชุม CFAWC มองอนาคตข้างหน้าว่า จีนจะเผชิญโอกาสทางยุทธศาสตร์ใหม่ในด้านการพัฒนา โดยจีนจะแสวงหาความก้าวหน้า โดยยังรักษาความมีเสถียรภาพ การเริ่มสิ่งใหม่ ที่ไม่เคยทำมาก่อน แต่ยังยึดมั่นหลักการพื้นฐาน และปกป้องอธิปไตย ความมั่นคง และผลประโยชน์การพัฒนาของจีน สร้างสภาพแวดล้อมระหว่างประเทศ ที่เอื้ออำนวยต่อการสร้างจีน ให้เป็นประเทศสังคมนิยมสมัยใหม่

นักวิเคราะห์จีนมองว่า ในอนาคต จีนจะยังเป็นทำหน้าที่เป็นประเทศสำคัญที่มีความรับผิดชอบ และเป็นผู้รักษาเสถียรภาพของระบบนานาชาติ ผลักดันให้มีการปฏิรูปและปรับปรุง “ระเบียบระหว่างประเทศ” ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และ “โลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจ” ในทางสร้างสรรค์

แต่เนื่องจากฐานะของจีนในเวทีโลกสูงขึ้น วิสัยทัศน์ของจีนก็ถูกยกสูงขึ้นสู่ระดับใหม่ ชุมชนนานาชาติเองมีความคาดหวังต่อจีนมาก ภารกิจทางการทูตของจีน ในการรับมือกับปัญหาที่ท้าทายโลกเรา สิ่งนี้จึงเป็นเรื่องที่ยากลำบากและซับซ้อน เพราะจีนต้องไปเกี่ยวข้องกับอำนาจต่างๆมากขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น และจัดการกับปัญหาต่างๆ ที่จีนไม่เคยทำมาก่อน

เอกสารประกอบ

China’s Rising Foreign Ministry, Dylan M.H. Loh, Stanford University Press, 2024.
Xi stresses fostering new dynamics in ties with world, December 09, 2023, globaltimes.cn