รายงานโดย ปรีดี บุญซื่อ
หลังจากเจรจาเป็นเวลา 4 วันระหว่างวันที่ 6-10 มีนาคม 2566 ที่กรุงปักกิ่ง จีน ซาอุดีอาระเบีย และอิหร่าน ก็ออกแถลงการณ์ 3 ฝ่าย เรื่องซาอุฯ และอิหร่านบรรลุความตกลงที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตขึ้นมาใหม่ และการเปิดสถานทูตของสองประเทศภายใน 2 เดือน สองประเทศยังยืนหยัดที่จะเคารพอธิปไตยของแต่ละประเทศ และไม่แทรกแซงกิจการภายในของอีกประเทศหนึ่ง
บทบาทของจีนในการสร้างสันติภาพระหว่างซาอุฯ กับอิหร่าน ถือเป็นการพัฒนาที่สำคัญของภูมิภาคตะวันออกกลาง เป็นการยุติความจัดแย้งของสองประเทศที่มีมานาน 7 ปี ซึ่งจะมีผลต่อการแก้ปัญหาในตะวันออกกลาง ตั้งแต่เลบานอน ซีเรีย อิรัก และเยเมน นอกจากนี้ ยังสะท้อนบทบาทนำที่โดดเด่นทางการทูตของจีน ที่กลายเป็นมหาอำนาจผู้ได้รับความไว้วางใจจากประเทศที่เคยเป็นคู่ขัดแย้ง
ยุติความขัดแย้งของภูมิภาค
การแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างซาอุฯ-อิหร่าน มีความหมายสำคัญที่สุดต่อสันติภาพในตะวันออกกลาง การแข่งขันระหว่างซาอุฯ-อิหร่านในตะวันออกกลาง เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้ตะวันออกกลางขาดเสถียรภาพ ภูมิภาคนี้เกิดการแบ่งขั้วระหว่างนิกายชีอะห์กับสุหนี่ และระหว่างอาหรับกับเปอร์เซีย
ความขัดแย้งซาอุฯ อิหร่านขยายตัวเป็นครั้งแรกเมื่อเกิดสงครามอิรักในปี 2003 ต่อมาคือสงครามกลางเมืองในซีเรียและเยเมน และข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านในปี 2015 ความตึงเครียดพัฒนามาถึงจุดอันตรายในปี 2019 เมื่ออิหร่านโจมตีทางทหารต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำมันของซาอุฯ ทุกวันนี้ สองประเทศยังเผชิญหน้ากันในเยเมน อิรัก และเลบานอน เพราะเหตุนี้ ความสัมพันธ์ที่กลับมาปกติของสองประเทศ จะมีส่วนทำให้อุปทานการผลิตน้ำมัน มีความมั่นคงมากขึ้น เพราะสองประเทศเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก

ภาพลักษณ์ “การทูตนักรบหมาป่า”
ความสำเร็จของจีนในการเป็นคนกลางการเจรจาระหว่างซาอุฯ-อิหร่าน เกิดจากการที่จีนได้รับความไว้วางใจจากประเทศคู่ขัดแย้ง จีนสามารถสร้างความสัมพันธ์กับซาอุฯ และอิหร่าน โดยไม่เข้าข้างฝ่ายหนึ่งหนึ่งฝ่ายใด จีนไม่มีสนธิสัญญาทางทหารกับประเทศใดในตะวันออกกลาง ไม่มีฐานทัพทางทหารในภูมิภาคนี้ อาศัยเพียงอิทธิพลทางเศรษฐกิจ จากฐานะดังกล่าว ทำให้จีนสามารถก้าวขึ้นมามีบทบาทแก้ปัญหาความขัดแย้งของสองประเทศ
บทบาทการเป็นคนกลางของจีนดังกล่าว ช่วยลบภาพลักษณ์ที่สื่อมวลชนตะวันตกเคยให้ฉายาการทูตแบบเผชิญหน้าของจีนว่า “การทูตนักรบหมาป่า” (wolf warrior diplomacy) โดยเป็นชื่อจากภาพยนตร์ของจีน ที่เป็นเรื่องราวกลุ่มทหารกองทัพปลดแอกประชาชน ที่ถูกส่งไปช่วยพลเรือนจีนในประเทศแถบแอฟริกา โปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่องนี้เขียนโปรยหัวไว้ว่า “แม้จะห่างออกไปหลายพันไมล์ ใครที่ดูถูกจีนจะต้องรับผิดชอบ”

หนังสือ China’s Civilian Army เขียนถึงนักการทูตจีนที่มีฐานะเป็นกองทัพพลเรือนว่า การทูตนักรบหมาป่ามีส่วนทำให้เกิดการหวาดระแวงต่อการพุ่งขึ้นมาเป็นมหาอำนาจของจีน การใช้การทูตแบบเผชิญหน้าของจีน ทำให้ถูกเรียกว่า “การทูตนักรบหมาป่า” ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ไปทั่วโลก นักการทูตจีนตอบโต้กลับ เมื่อมีการกล่าวหาว่าจีนว่าเป็นฝ่ายแพร่โรคระบาดนี้ จ้าว ลีเจียง (Zhao Lijian) โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนกล่าวว่า ไวรัสอาจปล่อยออกมาอย่างจงใจโดยกองทัพสหรัฐฯ
China’s Civilian Army บอกว่า พฤติกรรมแสดงออกแบบเผชิญหน้าของนักการทูตจีน เกิดจากนักการทูตจีนไม่สามารถแยกตัวออกจากการถูกควบคุมโดยระบบการเมืองจีน ที่เป็นแบบปิดลับและระแวงสงสัยคนอื่น แต่วิธีการทางการทูตของจีนก็มีจุดแข็ง นักการทูตยุโรปบอกว่า การเจรจากับจีนเป็นเรื่องที่อ่อนล้า เพราะเจ้าหน้าที่จีนไม่เคยมีท่าทีออกห่างจากแนวทางที่เป็นทางการเลย ไม่มีใครสงสัยในท่าทีของจีนต่อสิ่งที่เป็น “แกนผลประโยชน์” ของจีนในเรื่องไต้หวัน ฮ่องกง และทิเบต
มารู้จักกับหวัง อี้

ความตกลงซาอุฯ-อิหร่าน เพื่อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตขึ้นมาใหม่ ถือเป็นผลงานความสำเร็จของ “หวัง อี้” นักการทูตระดับสูงสุด และรัฐบุรุษของจีน หวัง อี้ อายุ 69 ปี และปัจจุบันดำรงตำแหน่ง หัวหน้าคณะกรรมการกิจการต่างประเทศกลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีน
หวัง อี้ ได้รับการยอมรับว่าเป็นนักการทูตจีนที่มีประสบการณ์มากที่สุด และได้สร้างความสัมพันธ์กับบรรดารัฐมนตรีต่างประเทศของซาอุฯ อิหร่าน และประเทศในแถบตะวันออกกลางมาอย่างยาวนาน
China’s Civilian Army เขียนไว้ว่า เมื่อสี จิ้นผิง ขึ้นเป็นผู้นำจีนในปี 2012 ได้ถือเอาเรื่องการฟื้นฟูพลัง “ความฝันของจีน” เป็นเป้าหมายของนโยบายทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศ การบรรลุเป้าหมายด้านต่างประเทศดังกล่าว จึงเป็นภารกิจและหน้าที่ของหวัง อี้ ที่ขึ้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศจีนในช่วงปี 2013-2022
หวัง อี้ เกิดในปี 1953 ที่กรุงปักกิ่ง ปีเดียวกันกับที่ สี จิ้นผิง เกิดในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม หวัง อี้ ออกไปทำงานใช้แรงงานเป็นเวลา 8 ปี ที่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ในช่วงเวลาดังกล่าว เขาศึกษาด้วยตัวเองในเรื่องประวัติศาสตร์และวรรณกรรม เพื่อนนักศึกษาคนหนึ่งบอกกับหนังสือพิมพ์ Christian Science Monitor ว่า “เขาเป็นคนมีจิตใจรับฟัง เขาไม่รับอะไรในสิ่งที่ถูกบอก”
หลังการปฏิวัติวัฒนธรรม หวัง อี้เข้าศึกษาต่อที่ Beijing International Studies University ที่เป็นสถานศึกษาสำหรับนักศึกษา ที่จะไปทำงานให้กระทรวงต่างประเทศจีน หลังจากนั้น เข้าทำงานฝ่ายกิจการเอเชียของกระทรวงต่างประเทศ และต่อมาพัฒนามาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านญี่ปุ่นของกระทรวง เป็นนักการทูตที่พูดได้คล่องทั้งภาษาญี่ปุ่นและอังกฤษ ปี 1997-1998 ไปศึกษาต่อที่ Georgetown University ในสหรัฐฯ
China’s Civilian Army บอกว่า หวัง อี้ ได้รับความนิยมจากเจ้าหน้าที่ในกระทรวงต่างประเทศ นักการทูตจีนคนหนึ่งบอกว่า หวัง อี้ มีท่วงทำนองแบบ “นักการเมือง” ไม่ใช่ “เจ้าหน้าที่รัฐ” ในเดือนสิงหาคม 2013 ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ครั้งหนึ่งในการกล่าวต่อเจ้าหน้าที่ใหม่ของกระทรวง 251 คน หวัง อี้กล่าวว่า “ผมได้ยินว่าพวกคุณหลายคนเกิดในทศวรรษ 1990 เมื่อมีอายุเท่าพวกคุณ ผมยังทำงานใช้แรงงานอยู่ในหมู่บ้าน เข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัย เมื่ออายุ 24 ปีแล้ว”
หวัง อี้ ยังกล่าวถึงบทบาทเจ้าหน้าที่การทูตรุ่นใหม่จากทัศนะของสี จิ้นผิง ในเรื่องความฝันของจีนว่า “พวกคุณเข้ามาร่วมคณะทางการทูต ในช่วงเวลาพิเศษและสำคัญมากในประวัติศาสตร์ของเรา ประเทศเราเข้าใกล้เป้าหมายการฟื้นฟูพลังของชาติมากกว่าช่วงเวลาใด และเข้าใกล้กว่าช่วงเวลาใด ที่จะกลายเป็นประเทศที่สำคัญของโลก”
หวัง อี้ ยังกล่าวถึงแบบอย่างนักการทูตของจีนว่า “โจว เอินไหล ยังคงเป็นแบบอย่างของนักการทูต ท่านกล่าวสิ่งที่รู้กันทั่วไปไว้ นักการทูตคือกองทัพปลดแอกประชาชนที่สวมเสื้อพลเรือน นอกจากต้องมีวินัยเข้มงวด และเชื่อฟังผู้บังคับบัญชาแล้ว กองทัพพลเรือนยังต้องมีบุคลิกที่เข้มแข็ง และมีท่วงทำนองการทำงาน ที่รับใช้ประชาชน เหมือนกองทัพปลดแอกประชาชน”
หวัง อี้ เคยกล่าวปกป้องท่าทีที่แข็งกร้าวของนักการทูตจีน ที่สื่อตะวันตกเรียกว่าการทูตนักรบหมาป่าว่า “เราไม่ใช่ฝ่ายที่เริ่มการต่อสู้ หรือรังควานคนอื่นก่อน แต่เรามีหลักการและความมุ่งมั่น เราจะไม่ยอมรับการจงใจดูหมิ่น แน่วแน่ที่จะปกป้องเกียรติภูมิของประเทศ และเราจะปฏิเสธการบิดเบื้อนข้อเท็จจริง ที่ไม่มีหลักฐาน”
ปัจจุบัน จีนเป็นประเทศที่เศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลก เป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ มีกองทัพที่เข้มแข็ง เวลาอาจมาถึงแล้ว ที่จีนจะใช้การทูตที่เข้มแข็ง มาลดความขัดแย้งและสร้างสันติภาพขึ้นในโลก
เอกสารประกอบ
China’s Civilian Army, Peter Martin, Oxford University Press, 2021.