ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำ: “‘ไม่ได้จะมา’ เฟซบุ๊ก แจง ‘มาร์ก’ ไม่มีแผนมาไทย” และ “บุช-โอบามา กังวล สังคมสหรัฐฯ บ้าคลั่ง-แบ่งแยก”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำ: “‘ไม่ได้จะมา’ เฟซบุ๊ก แจง ‘มาร์ก’ ไม่มีแผนมาไทย” และ “บุช-โอบามา กังวล สังคมสหรัฐฯ บ้าคลั่ง-แบ่งแยก”

21 ตุลาคม 2017


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 14-20 ต.ค. 2560

  • “ไม่ได้จะมา” เฟซบุ๊ก แจง “มาร์ก” ไม่มีแผนมาไทย
  • ศาลอุทธรณ์ สั่งจำคุก 3 ปี “เบญจา หลุยเจริญ” ช่วยโอ๊ค-เอม เลี่ยงภาษีซื้อหุ้นชินฯ
  • รถไฟฟ้าสายสีม่วง รถไฟฟ้าสายสีม่วงช่วงเตาปูน-คลองบางไผ่ “เลิกลดก่อนกำหนด” 1 พ.ย. นี้เริ่มใช้อัตราปรกติ
  • จ่อเงินเดือน 20,000 จ่ายประกันสังคม 1,000 บาท – ยัน ผู้ประกันตน-นายจ้าง สนับสนุน
  • บุช-โอบามา กังวล สังคมสหรัฐฯ บ้าคลั่ง-แบ่งแยก
  • “ไม่ได้จะมา” เฟซบุ๊ก แจง “มาร์ก” ไม่มีแผนมาไทย

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์มติชนออนไลน์ (https://www.matichon.co.th/?p=700850)

    ภายหลังจากที่มีการยืนยัน ทั้งโดยนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายักรัฐมนตรี ในวันที่ 16 ต.ค. 2560 และจาก พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แลนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 17 ต.ค. 2560 ว่า มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ผู้บริหารเฟซบุ๊ก จะเดินทางมาหารือกับนายกรัฐมนตรีในช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้ โดย พล.อ. ประยุทธ์ บอกว่า “เป็นการขอเข้าพบเพื่อพูดคุยหารือร่วมกัน เพื่อแสวงหาความร่วมมือในการป้องกันและลดผลกระทบจากอาชญากรรมข้ามชาติ”

    ล่าสุด เว็บไซต์มติชนออนไลน์รายงานว่า ทางโฆษกของเฟซบุ๊กได้ทำการชี้แจงเรื่องดังกล่าว โดยบอกว่า “ในช่วงนี้ผู้นำระดับสูงของเฟซบุ๊กยังไม่มีแผนที่จะเดินทางมายังประเทศไทย”

    ต่อความไม่ตรงกันดังกล่าว เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า ในวันที่ 19 ต.ค. 2560 พล.อ. ประยุทธ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.น.จ.) เจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่าให้สื่อมวลชนส่งคำถาม ซึ่งสื่อมวลชนได้ส่งคำถามเรื่องความชัดเจนของกำหนดการที่นายมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก จะเดินทางมาเข้าพบ และได้มีการเตรียมโพเดียมเตรียมที่จะแถลงข่าว แต่ปรากฏว่าหลังจากประชุมเสร็จสิ้นเจ้าหน้าที่แจ้งยกเลิกว่านายกฯ ไม่ได้ให้สัมภาษณ์ โดยนายกฯ ได้เดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ไปทันที ขณะที่นายสมคิดก็ไม่ได้เข้าร่วมประชุม ก.น.จ. โดยได้แจ้งลาป่วย

    ศาลอุทธรณ์ สั่งจำคุก 3 ปี “เบญจา หลุยเจริญ” ช่วยโอ๊ค-เอม เลี่ยงภาษีซื้อหุ้นชินฯ

    จากกรณีที่เมื่อ พ.ศ. 2548 นางเบญจา หลุยเจริญ ขณะดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาฐานภาษี (ซี 10) ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร ได้ลงนามในหนังสือกรมสรรพากรที่ กค 0706/7896 ลงวันที่ 21 กันยายน 2548 ตามความเห็นของสำนักกฎหมาย กรมสรรพากร เพื่อตอบข้อหารือนางสาวปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ เลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร กรณีการซื้อหุ้นชินคอร์ปฯ จากแอมเพิลริช ว่า

    “กรณีนายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทา ชินวัตร (โอ๊คและเอม) ซื้อหุ้นชินคอร์ปในราคาต่ำกว่าราคาตลาด เป็นการซื้อทรัพย์สินในราคาถูก ซึ่งเป็นเรื่องของการตกลงกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย อันเป็นเรื่องปกติทั่วๆ ไปของการซื้อขายตามมาตรา 453 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ส่วนต่างของราคาซื้อกับราคาตลาดไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ส่วนกรณีบริษัทแอมเพิลริชขายหุ้นชินคอร์ปฯ ให้นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ชินวัตร ซึ่งเป็นกรรมการบริษัท ในราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท ก็ไม่เข้าข่ายพนักงาน หรือ กรรมการ ได้รับแจกหุ้น หรือ ได้ซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรที่ 28/2538 เพราะหุ้นชินคอร์ปฯ ที่บริษัทแอมเพิลริชซื้อไว้ ถือเป็นทรัพย์สินหรือสินค้าของบริษัท ไม่ใช่หุ้นที่บริษัทแอมเพิลริชเป็นผู้ออกเอง”

    จนนำไปสู่การที่นายพานทองแท้ และ นางสาวพินทองทา ชินวัตร จึงนำหุ้นชินคอร์ปฯ ขายให้กับกองทุนเทมาเส็กผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นผลให้กระบวนการซื้อ-ขายหุ้นชินคอร์ปฯ ตั้งแต่บริษัทแอมเพิลริชฯ ขายหุ้นชินคอร์ปฯ ให้นายพานทองแท้ และนางสาวพิณทองทา ราคา 1 บาท เพื่อนำไปขายต่อให้เทมาเส็กในตลาดหลักทรัพย์ ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ทุกทอด

    แต่หลังจากคณะกรรมการปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ยึดอำนาจการปกครองรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร สำเร็จในเดือนกันยายน 2549 ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ตรวจสอบการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปฯ โดย คตส. ได้สรุปผลการสอบสวนเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2551 ชี้มูลความผิดกลุ่มข้าราชการกรมสรรพากรนี้มีความผิดฐานฐานละเว้นและปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 154, 157, 83 โดยวินิจฉัยให้ผู้เสียภาษีไม่ต้องเสียภาษี หรือเสียภาษีน้อยไปกว่าที่ควรต้องเสีย จึงส่งสำนวนคดีให้สำนักงานอัยการสูงสุดดำเนินคดีอาญากับข้าราชการสรรพากรกลุ่มนี้และนางสาวปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ ซึ่งต่อมาอัยการสูงสุดมีความเห็นไม่ส่งฟ้อง ทำให้ต่อมา วันที่ 3 ธันวาคม 2558 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จึงเป็นโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลอาญา แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบเองโดยไม่ผ่านอัยการสูงสุด กล่าวหานางเบญจา หลุยเจริญ กับพวก รวม 5 คน เป็นจำเลย ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

    ซึ่งในคดีนี้นั้น วันที่ 28 กรกฎาคม 2559 ศาลอาญาพิพากษา คดีดำหมายเลข อท 43/2558 โดยตัดสินจำเลยที่ 1-4 [นางเบญจา หลุยเจริญ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง(สมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร], นางสาวจำรัส แหยมสร้อยทอง, นางสาวโมรีรัตน์ บุญญาศิริ, นายกริช วิปุลานุสาสน์ อดีตผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย) มีความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ 83 ให้จำคุกคนละ 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา ส่วนจำเลยที่ 5 (นางสาวปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์) มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ 86 มีโทษ 2 ใน 3 จึงสั่งให้จำคุก 2 ปี โดยไม่รอการลงอาญาเช่นกัน ทั้งนี้ จำเลยทั้ง 4 ได้นำหนังสือรับรองการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ที่ต้องหาคดีของกรมสรรพากรวงเงินไม่เกิน 420,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 5 ยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสด 300,000 บาท เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน เพื่อต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์

    ล่าสุด เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2560 ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ได้มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น เนื่องจากคำอุทธรณ์ของจำเลยทั้ง 5 ราย ทุกประเด็นฟังไม่ขึ้น ศาลจึงสั่งจำคุกนางเบญจาและพวกคนละ 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา ส่วนนางสาวปราณี ศาลสั่งจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา

    อนึ่ง หลังจากถูกควบคุมตัวไว้หนึ่งคืน เว็บไซต์มติชนออนไลน์รายงานว่า ศาลฎีกาได้มีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวนางเบญจาเป็นการชั่วคราวแล้ว

    อ่านรายละเอียดเส้นทางคดีได้ที่นี่

    รถไฟฟ้าสายสีม่วง รถไฟฟ้าสายสีม่วงช่วงเตาปูน-คลองบางไผ่ “เลิกลดก่อนกำหนด” 1 พ.ย. นี้เริ่มใช้อัตราปรกติ

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ (https://www.prachachat.net/?p=55850)

    วันที่ 17 ต.ค. 2560 เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า นายฤทธิกา สุภารัตน์ รองผู้ว่าการฝ่ายบริหารและรักษาการผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยว่าเมื่อวันที่ 16 ต.ค.2560 คณะกรรมการ (บอร์ด) รฟม. มีมติเห็นชอบให้ รฟม.ปรับอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีม่วงช่วงเตาปูน-คลองบางไผ่ กลับไปใช้อัตราปกติ 14-42 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2560 เป็นต้นไป จากปัจจุบันมีการจัดโปรโมชั่นลดค่าโดยสารอยู่ที่ 14-29 บาท และวันหยุด 15 บาทตลอดสาย คาดว่าจะทำให้ผู้โดยสารลดลง 10% แต่จะมีรายได้เพิ่มขึ้น 30%

    “เดิมจะลดราคาถึงสิ้นปี แต่เนื่องจากมีการเดินรถต่อเชื่อม 1 สถานีจากเตาปูน-บางซื่อ ทำให้การเดินทางสะดวกมากขึ้นแล้ว และมีคนมาใช้บริการมากขึ้น เฉลี่ยอยู่ที่ 47,000 เที่ยวคนต่อวัน แต่หากผู้โดยสารใช้ทั้งสายสีม่วงและใต้ดินจะยังคงลดค่าแรกเข้าต่อที่ 2 ให้เหมือนเดิม และจะมีการออกบัตรโดยสารหลากหลายประเภทมากขึ้น เช่น ตั๋วเดือน ตั๋วไม่จำกัดจำนวนเที่ยว”

    นอกจากนี้ในส่วนของการใช้บริการอาคารจอดแล้วจรตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. นี้ จะเก็บค่าใช้บริการตามปกติคือ 2 ชั่วโมง 10 บาท จากปัจจุบันเก็บอยู่ที่ 2 ชั่วโมง 5 บาท

    จ่อ เงินเดือน 20,000 จ่ายประกันสังคม 1,000 บาท – ยัน ผู้ประกันตน-นายจ้าง สนับสนุน

    เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่า เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2560 นพ.สุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กล่าวถึงการเตรียมขยายเพดานเก็บเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมว่า ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปลายปี 2559 โดยรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งร้อยละ 81 เห็นด้วยกับการขยายเพดานการเก็บเงินสมทบ จาก 15,000 เป็น 20,000 บาท โดยเก็บร้อยละ 5 ของค่าจ้าง แต่สูงสุดไม่เกิน 1,000 บาท เช่น คนที่ได้เงิน 16,000 บาท เก็บ 800 บาท เงินเดือน 17,000 บาท เก็บ 850 บาท คือสูงสุดเก็บไม่เกิน 1,000 บาท ส่วนผู้ที่มีฐานเงินเดือน 20,000 บาทขึ้นไป จะเก็บเงินสมทบเข้ากองทุน 1,000 บาท ซึ่งคณะกรรมการ สปส. ได้ทำเป็นร่างกฎกระทรวง เสนอกระทรวงแรงงาน เพื่อพิจารณาเสนอเข้าคณะรัฐมนตรีและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป คาดว่าน่าใช้ได้จริงภายใน 3 เดือนนี้

    ส่วนที่มีหลายฝ่ายเห็นว่าไม่เป็นธรรมเนื่องจากขยายการเก็บเงินสมทบเพิ่มแต่เรื่องเงินชราภาพกลับมีเงื่อนไขมาก ที่สำคัญ เมื่อผู้ประกันตนที่เสียชีวิตไปแล้วเงินนั้นไม่ตกแก่ทายาท นพ.สุรเดช กล่าวว่า ยืนยันว่า สปส. ไม่ได้เอาเปรียบผู้ประกันตน เรื่องการจ่ายบำนาญชราภาพให้ทายาทผู้ประกันตนนั้น คณะกรรมการได้หารือกันว่าอาจจะปรับเปลี่ยนการจ่ายให้กับทายาทได้ เช่น กรณีที่เดือดร้อน มีความจำเป็น ซึ่งอยู่ระหว่างการรับฟังความเห็นในเรื่องเหล่านี้

    ทั้งนี้ เลขาธิการ สปส. ยังกล่าวอีกด้วยว่า ส่วนที่เรียกร้องให้จ่ายให้โดยไม่มีเงื่อนไขสุดท้าย หากสังคมต้องการอย่างนั้นก็จ่ายให้ได้ แต่สิ่งอยากจะบอกคือถ้าเราคิดแต่เรื่องกำไรส่วนตัว การดูแลสังคมร่วมกันก็จะไม่เกิดขึ้น เรื่องความคิดต่อส่วนรวมตั้งช่วยกันสร้าง

    บุช-โอบามา กังวล สังคมสหรัฐฯ บ้าคลั่ง-แบ่งแยก

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์เดลินิวส์ (https://goo.gl/89dVNN)

    เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานโดยอ้างสำนักข่าวต่างประเทศว่า เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2560 อดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา เดินทางไปยังเมืองนวร์ก ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ เพื่อร่วมแคมเปญหาเสียงของนายฟิล เมอร์ฟีย์ ตัวแทนพรรคเดโมแครต ในการลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐนิวเจอร์ซีย์ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 7 พ.ย. 2560 นี้ โดยอดีตผู้นำสหรัฐคนที่ 44 กล่าวในช่วงหนึ่งของการปราศรัยบนเวที เรียกร้องให้ชาวอเมริกันก้าวข้ามผ่าน “ความแตกแยก” และ “ความหวาดกลัว” ทางการเมือง พร้อมทั้งกล่าวย้อนไปถึงสงครามกลางเมืองฝ่ายเหนือ-ฝ่ายใต้ ในช่วงศตวรรษที่ 19 ว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่จะต้อง “ไม่เกิดซ้ำรอย”

    โอบามากล่าวต่อไปว่า หากนักการเมืองชนะการเลือกตั้งด้วยการทำแคมเปญหาเสียงที่มีวัตถุประสงค์ของการ “สร้างความแบ่งแยก” ผู้นำคนนั้นจะไม่มีทางปกครองประชาชนได้ และไม่สามารถสร้างความสมานฉันท์ได้เช่นกัน หลังจากนั้นอดีตผู้นำสหรัฐเดินทางไปยังเมืองริชมอนด์ ในรัฐเวอร์จิเนีย เพื่อช่วยสมาชิกพรรคเดโมแครตหาเสียงสำหรับการเลือกตั้งท้องถิ่น และขึ้นเวทีปราศรัยในช่วงหนึ่งว่า การเมืองอเมริกันในตอนนี้กำลังทำให้ชาวอเมริกันถอยห่างออกจากคุณค่าพื้นฐานของความเป็นอเมริกันมากขึ้นเท่านั้น

    ในวันเดียวกัน อดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ผู้นำสหรัฐคนที่ 43 ร่วมงานเสวนาของสถาบันเสรีภาพและความมั่นคงแห่งชาติ ที่นครนิวยอร์ก และกล่าวในช่วงหนึ่งว่าสังคมอเมริกันกำลังมีความเป็นอันธพาลและอคติต่อกันมากขึ้น กลายเป็น “ความบ้าคลั่ง” ที่สร้างพฤติกรรมเลียนแบบให้แก่เยาวชน กระแสชาตินิยมที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศตอนนี้ได้บิดเบือนความเป็นชาติภูมินิยมของสหรัฐ จนประชาชนมองข้ามกลไกของผู้อพยพที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมอเมริกันมาจนถึงปัจจุบัน เช่นเดียวกับการค้าขายและติดต่อสื่อสารกับนานาประเทศ

    ทั้งนี้ ถ้อยแถลงของทั้งโอบามาและบุชไม่มีการเอ่ยชื่อบุคคลที่สามแม้แต่ครั้งเดียว แต่เป็นที่เข้าใจไปในทางเดียวกัน ว่าหมายถึงประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐคนปัจจุบัน  ที่ก่อนหน้านี้เคยวิจารณ์ว่าโอบามาและบุช เป็นอดีตประธานาธิบดีที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ ขณะที่นับตั้งแต่รับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ม.ค. ที่ผ่านมา ทรัมป์ได้สร้าง “วาทกรรม” มากมายกับอดีตผู้นำและผู้นำปัจจุบันของหลายประเทศ และการทำ “สงครามสื่อ” กับสำนักข่าวกระแสหลัก ที่ทรัมป์ตราหน้าว่าเป็น “สำนักข่าวเท็จ”