
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 7 ต่อ 2 สั่ง ‘แพทองธาร’ หยุดปฏิบัติหน้าที่ นายกฯ ตั้งแต่วันนี้ไปจนกว่าจะมีคำวินิจฉัย พร้อมสั่งให้ผู้ถูกร้องแก้ข้อกล่าวหาปมคลิปเสียง ‘ฮุนเซน’ ภายใน 15 วัน
เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ศาลรัฐธรรมนูญ ได้พิจารณาคดีที่นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้ยื่นคำร้องของสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 36 คน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นนายกรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ (เรื่องพิจารณาที่ 18/2568)
หลังจากที่ปรากฎคลิปเสียงการสนทนาระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี (ผู้ถูกร้อง) กับสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา เผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ซึ่งผู้ถูกร้องแถลงข่าวยอมรับว่าเป็นเสียงการสนหนาของตนกับสมเด็จฮุนเซน จริง แม้ผู้ถูกร้องจะแถลงข่าวในเวลาต่อมาว่าเป็นการพูดคุยทางโทรศัพท์แบบส่วนตัว โดยมีเจตนาที่จะเจรจาต่อรองอย่างนุ่มนวล เพื่อรักษาไว้ซึ่งความสงบสุขและอธิปไตยของไทยก็ตาม
แต่ผู้เข้าชื่อเสนอคำร้องเห็นว่า ผู้ถูกร้องแสดงออกถึงความนิ่งเฉย และไม่ปฏิบัติหน้าที่โต้ตอบ หรือ กำหนดมาตรการรวมถึงการเจรจาระหว่างประเทศด้วยตนเองให้เป็นที่ประจักษ์ ตามหน้าที่ความรับผิดชอบที่บคคลผู้อยู่ในสภาวะ วิสัย และพฤติการณ์แห่งความเป็นนายกรัฐมนตรีพึ่งกระทำ เพราะเหตุแห่งความสัมพันธ์ส่วนตัวในลักษณะเป็นฝั่งเดียวกันกับกัมพูชา พร้อมที่จะทำตาม หรือ จัดการตามที่ฝ่ายกัมพูชาต้องการมาโดยตลอด
ส่วนกรณีแม่ทัพภาคที่ 2 ผู้ถูกร้องเห็นว่า เป็นฝ่ายตรงกันข้าม ผู้ถูกร้องไม่มีความชื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืน หรือ ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรดหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) และขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ สั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อนจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
ผลการพิจารณา
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้อง และและเอกสารประกอบคำร้องแล้วเห็นว่า กรณีเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 7 (4) ศาลรัฐธรรมนูญญมีมติเป็นเอกฉันท์ มีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย แจ้งผู้ร้องทราบ และให้ผู้ถูกร้องยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธธรรมญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 54
สำหรับคำขอให้สั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีนั้น ศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก (7 ต่อ 2) เห็นว่า ปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่า ผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสามประกอบมาตรา 82 วรรคสอง มีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี นับแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568เป็นต้นไป จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย แจ้งให้ผู้ร้องและผู้ถูกร้องทราบ
ทั้งนี้ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย จำนวน 2 คน คือ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ และนายอุดม สิทธิวิรัชธรรม เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องยังไม่ยุติชัดเจน ให้ปรากฎเหตุอันควรสงสัยว่าผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 วรรคสอง แต่เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างร้ายแรงที่ยากแก่การแก้ไขเยียวยาในกายหลัง ให้ใช้มาตรการ หรือ วิธีการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 71 ห้ามมิให้ผู้ถูกร้องใช้หน้าที่และอำนาจด้านความมั่นคง ด้านการต่างประเทศ และต้านการคลัง จนกว่าศาลรัฐธรรมญจะมีคำวินิจฉัย
ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีชั่วคราว ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป จนกว่าศาลฯจะมีคำวินิจฉัย ในเวลา 14.00 น.ของวันเดียวกันนั้น นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนบริเวณทางเชื่อมตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า ตนมีความตั้งใจมาตลอดที่จะทำหน้าที่รักษาภาพลักษณ์ของประเทศชาติ และทำงานเพื่อบ้านเมืองให้ดีที่สุด
นางสาวแพทองธาร กล่าวน้อมรับต่อผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ โดยต่อจากนี้ นายกรัฐมนตรีจะหยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่จะไม่หยุดทำเพื่อประเทศชาติในฐานะประชาชนคนไทย ซึ่งหลังจากนี้ คาดว่าจะมีเวลาประมาณ 15 วันในการชี้แจงต่อศาลฯ ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่แท้จริง และจะชี้แจงอย่างครบถ้วนเกี่ยวกับคลิปเสียงที่หลุดออกมา เพื่อแสดงให้เห็นว่าเจตนาของนายกรัฐมนตรีทั้งหมดเกิน 100% ตั้งใจทำเพื่อประเทศชาติ เพื่อรักษาไว้ซึ่งอธิปไตยของไทย เพื่อรักษาไว้ซึ่งชีวิตของทหารของกองทัพไทยทุกคน เพื่อสันติภาพของประเทศไทย และมั่นใจในสิ่งที่ได้กระทำไป
แม้ว่าวิธีการที่ได้ทำไปอาจจะถูกใจ และไม่ถูกใจหลายฝ่าย แต่จะพยายามพิสูจน์ถึงความจริงใจ เป็นความตั้งใจ เป็นความพยายามที่จะทำเพื่อประเทศชาติจริง ๆ พร้อมยืนยันว่า นายกรัฐมนตรีไม่มีเจตนาทำเพื่อตนเอง หรือแสวงหาผลประโยชน์ใด ๆ ต้องการเพียงให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย ไม่ให้ทหารต้องเสียเลือดเนื้อ และย้ำว่า หากได้ฟังในรายละเอียด จะเข้าใจว่านายกรัฐมนตรีมิได้มีเจตนาร้าย พร้อมขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่ง และขอโทษพี่น้องประชาชนคนไทย ที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“ขอยืนยันว่า ดิฉันตั้งใจทำงานเพื่อประเทศชาติ และแม้จะหยุดปฏิบัติหน้าที่ ยังขอทำเพื่อประเทศชาติต่อไป ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง และพร้อมที่จะทำงานไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งหรือฐานะใดก็ตาม ขอทำเพื่อประเทศชาติเต็มที่ต่อไปทุกนาที” นางสาวแพทองธาร กล่าว