ThaiPublica > Sustainability > Contributor > อุรุกวัยใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 98% ทำไมคนไทยไม่เรียนรู้

อุรุกวัยใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 98% ทำไมคนไทยไม่เรียนรู้

9 มิถุนายน 2025


ประสาท มีแต้ม

ที่มาภาพ : https://earth.org/the-uruguay-way-achieving-energy-sovereignty-in-the-developing-world/

หนึ่ง ทำไมต้องนำเรื่องนี้มาบอกเล่า

ผมมีเหตุผล 2 ประการที่นำเรื่องในอุรุกวัยมาเขียน คือเพราะว่า (1) ประเทศอุรุกวัยเคยประสบกับวิกฤตพลังงานครั้งใหญ่ที่เกิดจากภัยแล้งและภัยจากการปั่นราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก แต่ก็สามารถแก้วิกฤติได้อย่างยั่งยืนในเวลาไม่ถึง 10 ปี และ (2) เมื่อเรื่องนี้ถูกนำไปเล่าต่อในแวดวงวิชาการระดับโลก ผู้ฟังต่างตั้งคำถามว่า “เฮ้ย ทำได้อย่างไร ไม่เคยรู้มาก่อน และสามารถนำไปทำตามทำซ้ำได้ไหม ซึ่งคำตอบจากวิทยากรบอกว่าได้อย่างแน่นอน”

เพื่อให้เกิดความสนใจโดยเร็ว ผมขอยกเอาข้อความในภาพข้างต้นมาบอกก่อนว่า จากการเปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียน ส่งผลให้มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นถึง 3% ของจำนวนคนวัยทำงาน แล้วถ้าเราเทียบกับประเทศไทยจะได้ว่ามีการจ้างงานเพิ่มถึง 1.2 ล้านคน แถมต้นทุนการผลิตไฟฟ้าลดลงเกือบครึ่งหนึ่ง

เพียงแค่นี้คนไทยผู้ประสบภัยค่าไฟฟ้าแพงมายาวนานก็น่าจะร้องว้าวแล้ว

สอง วิกฤติและความไวในการมองเห็นวิกฤติ

ผมรับรู้เรื่องนี้จากการได้ฟัง TED Talk ผ่าน YouTube ในหัวข้อ “ประเทศนี้ใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนถึง 98%” โดย Dr. Ramón Méndez Galain ซึ่งพูดเมื่อกลางปี 2023 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา

อุรุกวัยเป็นประเทศเล็กๆที่มีประชากรเพียง 3.5 ล้านคน ได้คะแนน “การรับรู้การทุจริต” ถึง 76 จาก 100 มีชายแดนติดกับ 2 ประเทศขนาดใหญ่ในทวีปอเมริกาใต้คือบราซิลและอาร์เจนตินา เมื่อ 15 ปีก่อน ภาคพลังงานของอุรุกวัยต้องเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่ เศรษฐกิจเติบโตในอัตราที่ไม่เคยมีมาก่อน ความยากจนลดลงซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องดีมาก แต่ในขณะเดียวกันความต้องการพลังงานก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วซึ่งไม่ใช่เรื่องดีนัก

ในปี 2005 อุรุกวัยผลิตไฟฟ้าด้วยแหล่งพลังงานเพียง 2 ชนิดคือ พลังน้ำ 87% และน้ำมัน 13% แต่ในปี 2006 ได้เกิดภัยแล้งเนื่องจากโลกร้อน การผลิตไฟฟ้าด้วยพลังน้ำจึงลดเหลือ 64% จึงต้องใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นเป็น 36% ในราคาตลาดโลก $74 ต่อบาร์เรล ด้วยเหตุนี้จึงเกิดการเรียกร้องให้เปลี่ยนไปใช้พลังงานหมุนเวียนและพึ่งตนเองให้มากขึ้น

ในปี 2008 ภัยแล้งรุนแรงก็เกิดขึ้นอีก การผลิตด้วยน้ำลดลงเหลือ 51% น้ำมันเพิ่มขึ้นเป็น 39% แต่คราวนี้ราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ขึ้นไปเป็นเกือบ 2 เท่าตัว ที่เหลืออีก 10% เป็นการผลิตจากชีวมวลซึ่งถือว่าได้เพิ่มขึ้นค่อนข้างมากในเวลาเพียง 2 ปี

ดร.เมนเดซเล่าว่า ในปีที่แห้งแล้งเราต้องนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิลมากขึ้น เราถูกบังคับให้นำเข้าไฟฟ้าจากเพื่อนบ้านของเราด้วยราคาที่สูงมาก ค่าใช้จ่ายส่วนเกินอาจสูงถึงหนึ่งพันล้านดอลลาร์ หรือ 2% ของจีดีพีของเรา และที่แย่กว่านั้น เราเริ่มประสบกับไฟดับ เราเผชิญกับพายุที่สมบูรณ์แบบ

และสองวิกฤตินี้แหละที่เป็นโอกาสในการเปลี่ยนแปลงประเทศ ตามวลีที่เราท่องๆกันจนติดปาก(แต่จริงๆแล้วไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนัก) ว่า “เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส” แต่ก่อนที่จะไปเรียนรู้ว่าเขาเปลี่ยนอะไรและอย่างไร ผมขอนำข้อมูลที่ผมได้ค้นคว้ามาประกอบดังภาพครับ

ดังที่ได้มีการตั้งคำถามว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นในอุรุกวัยสามารถเกิดขึ้นกับประเทศอื่นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศไทยของเราเอง ผมจึงขอสรุปข้อมูลที่สำคัญของประเทศไทยพร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่า อุรุกวัยมีความไวในการมองเห็นวิกฤติจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 2 ครั้ง แต่ประเทศไทยเรา แม้ว่ามูลค่าเข้าพลังงานเพิ่มขึ้นถึง 34% ในปี 2008 กับ 70% หลังเหตุการณ์รัสเซียบุกยูเครนในปี 2022 แต่รัฐบาลไทยก็ยังมองไม่เห็น ดังหลักฐานในแผ่นภาพครับ

สาม พลังของการเคลื่อนไหว

วิทยากรใน TED Talk ครั้งนี้ คือ ดร.เมนเดซ (เกิด 1960) จบปริญญาเอกสาขาฟิสิกส์จากประเทศอาร์เจนตินา เขาสนใจเรื่อง Big Bang (การกำเนิดและวิวัฒนาการของจักรวาลในช่วง 1 ล้านวินาทีแรก) แต่ไม่เคยสนใจเรื่องพลังงานในประเทศของตนเองมาก่อนเลย แต่เมื่อประเทศเกิดวิกฤติ นักฟิสิกส์เชิงทฤษฎีผู้นี้จึงเริ่มครุ่นคิดถึงทางออกจากปัญหาของประเทศ เขาเล่าถึงตัวเขาเองว่า

“ผมมองเห็นความจำเป็นที่ผมจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ เพื่อเข้าไปมีส่วนร่วมในการแสวงหาทางออกของประเทศ ผมเริ่มศึกษาประเด็นด้านพลังงาน และจัดสัมมนาเพื่อจะได้หารือกับผู้เชี่ยวชาญหลากหลายด้าน ผมก็เข้าใจว่าประเด็นพลังงานมีความซับซ้อนเพียงใดและมีหลายมิติมากแค่ไหน แน่นอนว่ามีมิติทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจ แต่ยังรวมถึงมิติด้านสิ่งแวดล้อม สังคม ภูมิรัฐศาสตร์ วัฒนธรรม และแม้แต่มิติด้านจริยธรรมด้วย”

“ผมเริ่มเขียนถ่ายทอดความคิดของตัวเองลงไปและแทบไม่รู้ตัวว่าผลลัพธ์ที่ได้คือข้อเสนอที่เป็นองค์รวม ซึ่งมุ่งเน้นการเปลี่ยนผ่านอย่างเป็นธรรมไปสู่พลังงานหมุนเวียน โดยมีเป้าหมายที่ทะเยอทะยานมาก วันหนึ่งผมได้รับโทรศัพท์ที่ไม่คาดคิด ข้อเสนอของผมได้ไปถึงประธานาธิบดี(ตาบาเร บาส์เกซ, Tabaré Vázquez – คนแรกที่มาจากพรรคฝ่ายซ้ายเมื่อ 2005-2010 และ 2015-2020 อาชีพเดิมเป็นนายแพทย์ด้านมะเร็ง) และท่านก็เชิญชวนให้ผมลงมือดำเนินการตามข้อเสนอนั้น ลองจินตนาการถึงความประหลาดใจของผมดูสิครับ ท่านเชิญผมให้เป็นผู้นำฝ่ายการเมืองของหน่วยงานพลังงานแห่งชาติ (National Director of Energy) ของเรา ซึ่งในสหรัฐอเมริกาจะเรียกว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และผมรับปาก”

หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ (โฆเซ่ มูฆีกา, José Mujica จากพรรคเดิม) ได้ขอร้องให้ ดร.เมนเดซ อยู่ในตำแหน่งเดิมต่อไป

ดร.เมนเดซ เล่าต่อไปว่า “ท่านประธานาธิบดีคนใหม่ได้ขอผมในเรื่องสำคัญหนึ่งข้อ คือให้ทำให้นโยบายนี้ได้รับการยอมรับจากทุกพรรคการเมือง เราอดทนเจรจากับทุกพรรคที่มีตัวแทนในรัฐสภา และเราก็บรรลุเป้าหมายหลังจากที่พวกเขายอมรับการปรับเปลี่ยนเล็กน้อยบางประการ”

ผม(ผู้เขียนบทความนี้) ได้ขอให้ ChatGPT ค้นประวัติของประธานาธิบดีท่านนี้ ได้ความว่า “อดีตเป็นนักปฏิวัติกลุ่มกองโจรเมือง Tupamaros ถูกคุมขังนานกว่า 13 ปีในยุคเผด็จการทหาร ภายหลังเข้าสู่กระบวนการประชาธิปไตย ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร และต่อมาได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี มีชื่อเสียงว่าเป็น “ประธานาธิบดีที่จนที่สุดในโลก” เนื่องจากใช้ชีวิตเรียบง่าย ขับรถโฟล์คเต่าคันเก่า อาศัยในบ้านไร่นาชานเมืองและบริจาคเงินเดือนส่วนใหญ่ให้กับการกุศล”

สี่ ต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าลดลงเกือบครึ่ง

ดร.เมนเดซเล่าต่อไปว่า ในเวลาเพียงห้าปี เราเปลี่ยนจากการใช้พลังงานผสมที่มีส่วนของเชื้อเพลิงฟอสซิลสูงถึง 50% ไปสู่ระบบที่แทบจะปลอดคาร์บอนโดยสมบูรณ์ ซึ่งในปี 2017 นั้นมีสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนถึง 98% แล้ว สิ่งที่ทำให้กรณีของอุรุกวัยโดดเด่นคือ เกือบครึ่งหนึ่งของไฟฟ้าที่ผลิตได้มาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน พลังงานลม แสงอาทิตย์และชีวมวลที่ยั่งยืน

พลังงานลมเพียงอย่างเดียวสามารถผลิตไฟฟ้าได้ถึง 40% ของการใช้ไฟฟ้าทั้งหมดซึ่งเป็นสัดส่วนที่เทียบเคียงได้กับแชมป์โลกด้านพลังงานลมอีกประเทศหนึ่งคือ เดนมาร์ก และยังมีไฟฟ้าอีก 15 ถึง 20% ที่ได้มาจากชีวมวลที่ยั่งยืน อุรุกวัยเป็นประเทศเกษตรอุตสาหกรรมที่มีของเสียอินทรีย์จำนวนมาก ซึ่งมีพลังงานสูง เช่น เปลือกข้าว ฟางอ้อย และน้ำดำจากโรงงานเยื่อกระดาษ ของเสียเหล่านี้ตอนนี้ไม่ได้เป็นภาระต่อสิ่งแวดล้อมอีกต่อไป แต่กลายเป็นทรัพย์สินทางพลังงาน

จากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ทำให้ต้นทุนรวมในการผลิตไฟฟ้าได้ลดลงจากปีละ $1,100 ล้าน เหลือเพียง $600 ล้าน ส่วนที่ลดได้ $500 ล้าน คิดเป็นประมาณ 1% ของจีดีพีของประเทศ

นอกจากนี้ “เกิดการสร้างงานใหม่ขึ้น 50,000 ตำแหน่ง ซึ่งอาจดูน้อยสำหรับประเทศสหรัฐอเมริกา แต่สำหรับประเทศที่มีประชากรเพียง 3.4 ล้านคน นั่นหมายถึงราว 3% ของกำลังแรงงานทั้งหมดของประเทศอุรุกวัย”

แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ง่ายเลย เราต้องสร้างนวัตกรรม และต้องเข้าใจว่าระบบพลังงานแบบนี้ต้องการการวางแผนและการดำเนินงานที่แตกต่างจากระบบแบบดั้งเดิมอย่างมาก

ดร.เมนเดซได้รับหน้าที่ออกแบบนโยบายพลังงานระยะยาว (Energy Policy 2008–2030) อย่างมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายและนำพาประเทศเข้าสู่ระบบไฟฟ้าหมุนเวียนถึง 98% ตั้งแต่ปี 2017

ห้า ปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่อยากฝาก

ดร.เมนเดซ ได้กล่าวในช่วงท้ายของการบรรยายว่า “ตลอดสองสามปีที่ผ่านมาหลังจากที่ผมออกจากรัฐบาล ผมได้ทำงานในหลายประเทศ ตั้งแต่สาธารณรัฐโดมินิกันไปจนถึงชิลี และอีกหลายประเทศในลาตินอเมริกา รวมถึงในยุโรปและภูมิภาคอื่นๆด้วย ข่าวดีก็คือแนวทางแก้ปัญหาของอุรุกวัยสามารถใช้ได้ผลในบริบทของประเทศและระบบพลังงานที่แตกต่างกัน แต่เพื่อให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นได้

“มีปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้ นั่นคือ การมีภาวะผู้นำที่เข้มแข็งและเจตจำนงทางการเมืองที่แน่วแน่ในการเดินหน้าต่อไป และเพื่อให้แน่ใจว่าการเปลี่ยนผ่านจะดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว สิ่งที่แนะนำอย่างยิ่งคือการสร้างฉันทามติทางการเมืองที่กว้างขวางที่ไม่ขึ้นกับรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง”

เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2025 ดร.เมนเดซให้รับการเลือกตั้งให้เป็นประธานองค์กร Renewable Energy Policy Network for the 21st Century – REN21 ซึ่งก่อตั้งปี 2004 โดยได้รับการสนับสนุนจากหลายภาคส่วนทั้งรัฐบาล,องค์กรพัฒนาเอกชน, ภาควิชาการ ธุรกิจและองค์การระหว่างประเทศ

หก สรุปเพื่อตอกย้ำ

หลังจากที่ดร.เมนเดซได้รับการเลือกตั้งให้เป็นประธาน REN21 เขาได้กล่าวผ่านสื่อสำนักหนึ่ง ผมว่าเป็นข้อความสั้นๆ ที่สรุปเรื่องที่ผมได้เล่ามาแล้วทั้งหมด คือ “เราได้พิสูจน์แล้วว่าการเปลี่ยนผ่านพลังงานสามารถเป็นจริงได้ แต่จะไม่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง ทั้งนโยบาย กฎระเบียบ กฎหมาย และโครงสร้างองค์กร”

ขอบคุณนะครับ