
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/
เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2568 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุม ครม. และข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
พอใจผลเจรจา ‘กัมพูชา’ สถานการณ์สงบแล้ว
นางสาวแพทองธาร รายงานสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาว่า ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลพยายามอย่างเต็มที่ในการคลี่คลายสถานการณ์ความขัดแย้งตามแนวชายแดน มีการปฏิบัติงานร่วมกันผ่านการพูดคุยกับหลายภาคส่วน ตั้งแต่ระดับนโยบายคือหน่วยงานความมั่นคงและกองทัพ ตลอดจนการประสานความร่วมมือระหว่างประเทศตามความร่วมมือของทวิภาคี ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศและระหว่างกระทรวง
“ตอนนี้ผลออกมาค่อนข้างสงบเรียบร้อยดีหมด ตัวดิฉันเองก็ได้คุยกับ พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และสมเด็จฮุน เซน ประธานองคมนตรี และประธานวุฒิสภากัมพูชา มีการประสานงานกันเพื่อเจรจาทั้งหมด เพื่อรักษาอธิปไตยของประเทศชาติ และผลประโยชน์สูงสุดของประชาชน ผลลัพธ์ออกมาคือเราสามารถเจรจากันด้วยสันติวิธี และทำให้ไม่ต้องมีการปะทะกันที่รุนแรงเกิดขึ้น” นางสาวแพทองธาร กล่าว
นางสาวแพทองธาร กล่าวถึงระดับพื้นที่ว่า หน่วยงานความมั่นคงและกองทัพได้มีการประสานกับผู้นำเหล่าทัพของกัมพูชาในหลายครั้ง เพื่อจะพูดคุยและเจรจากันบริเวณชายแดน เนื่องจากแต่ละหน่วยคุ้นเคยกันอยู่แล้วจึงทำให้การพูดคุยเป็นไปด้วยดี
นางสาวแพทองธาร กล่าวต่อว่า สมเด็จฮุน เซน ได้ประสานงานและส่ง พล.อ.ญึก บุญชัย อดีตรองนายกฯ กัมพูชา เพื่อขอความร่วมมือในการดำเนินการแก้ไขบริเวณที่มีการพิพาทกัน โดยลงพื้นที่และได้รายงานกลับไป ทำให้ทั้งสองประเทศเข้าใจกันมากขึ้น และมีการปรับกำลังพลในพื้นที่ให้อยู่ในสถานการณ์ปกติ เฉพาะพื้นที่ที่พิพาท ส่วนบริเวณพื้นที่อื่นๆ ยังมีกำลังพลตามเดิม
ไม่ไปศาลโลก ยันใช้การทูตเจรจา ‘กัมพูชา’ ผ่าน JBC 14 มิ.ย.นี้
นางสาวแพทองธาร กล่าวต่อว่า กระทรวงการต่างประเทศเน้นย้ำการประชุม JBC ที่จะเกิดขึ้นวันที่ 14 มิถุนายน 2568 โดยมีการคอนเฟิร์มทุกระดับแล้ว ไม่ว่าจะเป็นระดับกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศ หรือ ระดับนายกฯ
“กัมพูชามีความประสงค์และส่งเรื่องไปยัง ICJ (International Court of Justice) ทางรัฐบาลไทยยืนยันว่า ไทยไม่รับเขตอำนาจศาลโลก ที่ผ่านมากระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการผ่านวิธีทางการทูต ซึ่งเป็น best practice อยู่แล้ว เป็นที่ยอมรับในเวทีสากล มีผลลัพธ์ที่ออกมาดีโดยตลอด แน่นอนบางเรื่องไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดต่อสาธารณชนได้ เพราะเป็นการเคารพการพูดคุยในเรื่องการพูดคุยของทั้งสองประเทศ นี่เป็นสิ่งจำเป็นที่อาจไม่สามารถรายงานได้ตลอด” นางสาวแพทองธาร กล่าว
นางสาวแพทองธาร กล่าวถึงมาตรการระหว่างชายแดนต่างๆ ซึ่งมีการกำชับให้มีการเปิดปิดด่านชายแดนตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด และไม่ได้มีการปิดด่านถาวรตามที่มีข่าวลือออกมา เพราะถ้าปิดทั้งหมดจะส่งผลเสียต่อประชาชน
“ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องที่ได้มีส่วนในการเจรจาครั้งนี้ ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ดิฉันได้คุยกับหัวหน้าหน่วยทุกคน ซึ่งได้รายงานตรงตลอดเวลา และบางอย่างยังไม่ให้นายกฯ ออกมาพูดได้ เพราะจะเกิดผลกระทบที่ค่อนข้างไม่ดี แต่มีหลายข้อมูลเล็ดลอดออกไปบ้าง ก็บอกกัมพูชา ได้พูดคุยตกลงได้และเข้าใจซึ่งกันและกัน ก็ต้องขอบคุณทุกท่านมากๆ” นางสาวแพทองธาร กล่าว
“ขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนในเรื่องการสื่อข้อมูลที่ถูกต้อง และให้ทุกท่านไม่สร้างความแตกแยกกันเองภายในประเทศเพื่อให้เกิดความมั่นคงและสร้างความมั่นใจให้พี่น้องประชาชนด้วยว่า เราจะผ่านเรื่องนี้ไปได้ด้วยสันติวิธี และผู้ประกอบการตรงนั้นก็จะได้มีความมั่นใจด้วย เป็นสิ่งที่ขอเน้นย้ำ รัฐบาลขอยืนยันอีกครั้งว่าการเจรจาทั้งหมดนี้ผ่านไปด้วยดี และเน้นย้ำว่าจะไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชนอย่างแน่นอน” นางสาวแพทองธาร กล่าว
เผยไทย-กัมพูชา ปรับกำลังพลทั้ง 2 ฝั่งแล้ว
ผู้สื่อข่าวบอกว่า นายกฯ มั่นใจว่าจะไม่มีสงครามเกิดขึ้นแน่นอน โดย นางสาวแพทองธาร ตอบเพียง “ค่ะ”
ถามต่อว่า นายกฯ มั่นใจกับท่าทีกับทางฝั่งกัมพูชามากน้อยขนาดไหน เพราะมีการแถลงการณ์ปรับกำลังพลกัน นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “จริงๆ แล้ว เราก็สื่อสารเรื่องนี้ในลักษณะที่ค่อนข้างคล้ายกันในหลายๆ จุด เช่น การจะพูดคำว่าถอยของทั้งสองฝั่ง เราก็ไม่อยากใช้คำนี้ เราใช้คำว่า ‘ปรับกำลัง’ อย่างที่คุยกันแล้วเราปรับกำลังทั้งคู่ เพราะเป็นการให้เกียรติกันทั้งสองฝั่ง ไม่ใช่แค่กัมพูชาอย่างเดียว แต่ของเราด้วย เราก็ปรับกำลังเช่นกัน”
“ในการพร้อมรับมือเราก็พร้อมเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการปะทะแบบไหน เราต้องเตรียมความพร้อมไว้ก่อน อย่างที่เคยบอกไว้อยู่แล้วว่าต้องมีการเตรียมความพร้อม เพราะมันมีเหตุการณ์ก็ต้องมีความพร้อมเท่านั้นเอง” นางสาวแพทองธาร ตอบ
เร่งแก้เศรษฐกิจ-เน้นความจริงใจ หมัดเด็ดเจรจากัมพูชา
ถามต่อว่า นายกฯ ได้เห็นหนังสือที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ยื่นเรียกร้องให้รัฐบาลรักษาอธิปไตย นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “ยังไม่เห็นหนังสือ แต่ทราบว่ามีการมา” และกล่าวต่อว่า “ทุกความคิดเห็น รัฐบาลก็รับฟังอยู่แล้ว และสิ่งที่เราได้ทำอยู่ ทางกองทัพก็มีการวางกำลังและมีหน่วยในการดูแลอยู่แล้วด้วย ก็รับฟังทุกข้อเสนอ”
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกฯ จะนำข้อเรียกร้องเรื่อง MOU44 (ข้อพิพาททางทะเล) ที่ต้องการให้รัฐบาลยกเลิกมาพิจารณาด้วยหรือไม่ หลังถามจบ นางสาวแพทองธาร แย้งว่า “มัน MOU43 นะเรื่องนี้”
เมื่อผู้สื่อข่าวยืนยันว่า ข้อเรียกร้องหมายถึง MOU44 ด้วย ทำให้นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “หมายความว่าจะเอามาเหมารวมกันหมดเลย”
ผู้สื่อข่าวย้ำว่า นายกฯ จะนำ MOU44 มาพิจารณาด้วยหรือไม่ อาจถือโอกาสยกเลิกด้วย เพราะเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา โดย นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “ขอสื่อสารแบบนี้ เราขอพิจารณาเป็นเรื่องต่อเรื่องไป เหมือนที่เรายืนยันกับทางกัมพูชาว่าเราขอโฟกัสที่เรื่องข้อพิพาทนี้ ไม่ใช่เอาทุกเรื่องมาปนกันหมด ไม่อย่างนั้นจะไม่ชัดเจนในแต่ละหัวข้อ แน่นอนเรื่องที่มีปัญหาหรือยังไม่จบ ทางฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายบริหารก็ต้องพิจารณาดูแลอยู่แล้ว”
ผู้สื่อข่าวบอกว่า พูดได้ไหมว่ารัฐบาลแก้ทีละปมๆ แก้ทีละจุด เมื่อถามจบ นางสาวแพทองธาร ถอนหายใจแล้วบอกว่า “เอ๊ะ…เรา” จากนั้นกล่าวต่อว่า “ใช่ค่ะ แก้ทีละปม แก้ทีละจุดแน่นอน”
สุดท้ายถามว่า นายกฯ มีหมัดเด็ดอะไรในการเจรจาต่อรองจนฝั่งกัมพูชายอมปรับกำลัง
นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “เราคุยกันตามความจริงใจว่าเรามีความจริงใจแบบนี้ และเราก็ไม่ต้องการเห็นคนทั้งสองประเทศมีปัญหากัน และต้องการความสงบ ถึงเวลาที่เรา drive เราเร่งเครื่องเรื่องเศรษฐกิจมากกว่า ก็ไม่อยากให้มาเป็นสนามรบหรืออะไร”
เผยกัมพูชากลบ “คูเลต” – ปรับกำลังพลแล้ว
นายจิรายุ รายงานว่า วันนี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและพลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้รายงานต่อนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีว่า การแก้ไขปัญหาชายแดน ไทย-กัมพูชา นับตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบางเรื่องไม่สามารถเปิดเผยได้ในทุกขั้นตอนของการเจรจา แต่รัฐบาลได้ยึดประโยชน์และความปลอดภัยของประชาชนและประเทศเป็นหลัก
ทั้งนี้ ผลการดำเนินการของกระทรวงกลาโหม และกระทรวงการต่างประเทศ ในการเจรจาซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการให้พื้นที่ ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี กลับไปอยู่ในสภาพเดิมเหมือนเช่นเมื่อปี 2567 โดยรัฐบาลกัมพูชาได้ดำเนินการตามการเจรจาของรัฐบาลไทยเป็นที่เรียบร้อย โดยได้กลบคืน “คูเลต” (แนวสนามเพลาะ) คืนสู่สภาพเดิมและปรับกำลังกลับไปอยู่ในที่ตั้งเดิม ตามข้อตกลง MOU 43 ทั้งนี้ รัฐบาล พร้อมร่วมประชุม คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย – กัมพูชา (Joint Boundary Commission – JBC) ในวันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน นี้
นายจิรายุ กล่าวต่อไป ว่าพลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมยืนยัน ว่าประเทศไทยยืนยันไม่รับเขตอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือศาลโลก ส่วนการแก้ไขปัญหาชายแดนได้เสนอให้ ไม่มีการปิดด่านถาวร โดยเน้นหลักการ เรื่องความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก โดยได้ลำดับความสำคัญ เช่น การจำกัดคนเข้า-ออก จำกัดเวลาปิด การปิดบางจุดหรือปิดตลอดแนวตามสถานการณ์ความเหมาะสม โดยมีเป้าหมายสำคัญให้ประชาชนได้รับความปลอดภัย
เตือนทุกกระทรวงจัดงบปี’69 ระวังขัดรัฐธรรมนูญ ม.144
นายจิรายุ กล่าวถึงข้อสั่งการเรื่องการจัดทำโครงการต่างๆ และการพิจารณางบประมาณขณะนี้ ซึ่งมีการพิจารณางบประมาณที่สำคัญในหลายส่วน ทั้งนี้ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งได้มีมติรับหลักการวาระ 1 ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ไปแล้ว เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 และขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของกรรมาธิการ
ทั้งนี้ ในส่วนของงบกลางปี 2568 สำหรับกระตุ้นเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการ รวมถึงงบกลางต่างๆ ที่แต่ละกระทรวงได้เสนอมา และอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงบประมาณนั้น
นายจิรายุ กล่าวต่อว่า นายกฯ กำชับให้ทุกกระทรวง พิจารณางบประมาณและโครงการที่เสนอของบประมาณด้วยความละเอียดรอบคอบ ตลอดจนผ่านการพิจารณาและกลั่นกรองอย่างถี่ถ้วน จากสำนักงบประมาณและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เป็นไปตามกรอบของกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรา 144 ของรัฐธรรมนูญที่บัญญัติไว้ว่า “การกระทำด้วยประการใด ๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือ กรรมาธิการ มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรง หรือ ทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย จะกระทำมิได้” ทั้งนี้ เพื่อให้โครงการต่างๆ ที่ผ่านการอนุมัติของ ครม. เป็นไปด้วยความรอบคอบ ถูกต้อง และสอดคล้องกับข้อกฎหมาย
มติ ครม.มีดังนี้

ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/
ใช้หนี้ กฟน.-กฟภ. แบกค่าไฟแทน ปชช. 1,418 ล้าน
นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติให้การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน 1,418.01 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าให้แก่ประชาชน ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ สำหรับค่าไฟฟ้าประจำเดือนตุลาคม 2567 ถึงเดือนธันวาคม 2567 โดยเป็นกรอบวงเงินของ กฟน. วงเงิน 222.96 ล้านบาท และ กฟภ. วงเงิน 1,195.05 ล้านบาท และให้ กฟน. และ กฟภ. เบิกจ่ายเงินจากสำนักงบประมาณ (สงป.) ต่อไป
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องจากสถานการณ์ราคาพลังงานที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคาพลังงานของประเทศมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ดังนั้น เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาระค่าครองชีพของประชาชน และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ กระทรวงมหาดไทย (กฟน.และ กฟภ.) จึงได้ดำเนินการตามมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายต้านไฟฟ้าให้แก่ประชาชน สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2567 สำหรับค่าไฟฟ้าประจำเดือนตุลาคม – ธันวาคม 2567
อนุมัติร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กฯ
นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. …. โดยมีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ทั้งฉบับที่ใช้บังคับมาเป็นเวลานานและปรับปรุงเป็นฉบับใหม่ เพื่อให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน รวมทั้งรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. …. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ เป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเด็ก เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และสอดคล้องกับหลักการของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่กำหนดบทบาทให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีหน้าที่และอำนาจในการดูแลและจัดทำบริการสาธารณะและกิจกรรมสาธารณะ เพื่อประโยชน์ของประชาชนและการคุ้มครองเด็กในชุมชนรวมทั้งอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
โดยมีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 และแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติขึ้นใหม่ โดยกำหนดสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กให้มีความชัดเจน เช่น การมีชีวิตอยู่รอด การได้รับความคุ้มครองจากการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ (เดิมมิได้กำหนดไว้) กำหนดหน้าที่ของผู้ปกครองและหน่วยงานของรัฐ โดยผู้ปกครองมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดู อบรมสั่งสอน และพัฒนาเด็ก ปกป้องคุ้มครองเด็กมิให้ตกในภาวะอันเกิดอันตรายแก่ร่างกายและจิตใจ รวมทั้งต้องให้เด็กมีพฤติกรรมที่ดี (เพิ่มเติมจากเดิมเพื่อกำหนดให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น) และหน่วยงานของรัฐมีหน้าที่สนับสนุนหน้าที่ของผู้ปกครอง (เดิมมิได้กำหนดไว้) กำหนดให้มีคณะกรรมการแบ่งเป็น 3 คณะ ได้แก่ คณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ คณะกรรมการคุ้มครองเด็กกรุงเทพมหานคร และคณะกรรมการคุ้มครองเด็กจังหวัด ซึ่งคณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติทำหน้าที่ในการเสนอนโยบายและมาตรการในการคุ้มครองเด็ก (ปรับปรุงหน้าที่ให้เป็นเชิงบริหารมากยิ่งขึ้น) และคณะกรรมการคุ้มครองเด็กกรุงเทพมหานครและคณะกรรมการคุ้มครองเด็กจังหวัดทำหน้าที่ในการกำกับดูแลให้ อปท. และหน่วยงานของรัฐในเขตจังหวัด (ปรับปรุงหน้าที่ในการกำกับดูแลการคุ้มครองเด็กให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น)
นอกจากนี้ ได้มีการเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับการคุ้มครองเด็ก โดยกำหนดให้มีสมัชชาคุ้มครองเด็กระดับจังหวัดและกรุงเทพฯ เพื่อเสนอความคิดเห็นเชิงนโยบาย และเพิ่มบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดทำแผน งบประมาณ และฐานข้อมูลเด็ก รวมถึงแต่งตั้งพนักงานคุ้มครองเด็กเพื่อให้ความช่วยเหลือ พร้อมกำหนดกระบวนการช่วยเหลือเด็กในภาวะเสี่ยง การพิจารณาคดีเด็กโดยศาลที่ไม่ต้องเผชิญหน้า และเพิ่มมาตรการคุ้มครองเด็กในกลุ่มเสี่ยง รวมถึงเด็กที่เกิดจากเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ โดยให้มีการบำบัดฟื้นฟูและดูแลด้านสุขภาพจิตและร่างกาย พร้อมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์การจัดตั้งสถานรองรับเด็กใหม่ให้สอดคล้องกับอำนาจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และกำหนดหน้าที่ของโรงเรียนและนักเรียนในการคัดกรองและคุ้มครองเด็กอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น รวมถึงกำหนดให้มี “กองทุนส่งเสริมการคุ้มครองเด็ก” ในกรมกิจการเด็กและเยาวชน เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับใช้จ่ายในการส่งเสริมการคุ้มครองเด็ก รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือผู้ที่อยู่ในกระบวนการคุ้มครองเด็ก
ไฟเขียว AOT เปิดประมูลสัมปทานคลังสินค้า สนามบินสุวรรณภูมิรายที่ 2
นอกจากนี้ที่ประชุม ครม.ยังมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) หรือ “AOT” (ทอท.) ดำเนินโครงการให้บริการคลังสินค้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของผู้ประกอบการรายที่ 2 ตามที่คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (คณะกรรมการนโยบายฯ) ได้พิจารณา โดยเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนโครงการในรูปแบบ PPP Net Cost มูลค่าของโครงการรวม 15,253 ล้านบาท โดยมีสาระสำคัญดังนี้
1. ปัจจุบันบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) เป็นผู้ดำเนินการบริหารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยในส่วนของการให้บริการคลังสินค้า ทอท. ได้ให้สิทธิการประกอบกิจการแก่ผู้ประกอบการจำนวน 2 ราย ดังนี้ (1) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (บริษัท การบินไทยฯ) (ผู้ประกอบการรายที่ 1) หมดสัญญาปี 2583 และ (2) บริษัท ดับบลิวเอฟเอสพีจีคาร์โก้ จำกัด (ผู้ประกอบการรายที่ 2) หมดสัญญาปี 2569 ซึ่งตามนัยมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 บัญญัติให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำแนวทางการดำเนินโครงการภายหลังจากสัญญาร่วมลงทุนสิ้นสุดลงอย่างน้อย 5 ปี ก่อนที่สัญญาจะสิ้นสุด (ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้มีผู้ประกอบการรายที่ 3 ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างกระบวนการคัดเลือกเอกชนโดยคาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2571) ประกอบกับปัจจุบันปริมาณการจราจรทางอากาศจำนวนของผู้โดยสาร ปริมาณการขนส่งสินค้าทางอากาศ และการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดนของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการฯ ของผู้ประกอบการทั้ง 3 ราย มีศักยภาพรองรับปริมาณสินค้าสรุปได้ ดังนี้
ทั้งนี้ จากการคาดการณ์ปริมาณสินค้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิพบว่า ในปี 2570 จะมีปริมาณสินค้าจำนวน 1.67ล้านตัน และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกปี ดังนั้น หากผู้ประกอบการรายที่ 2 หมดสัญญา ในปี 2569 แล้วยังไม่สามารถพิจารณาให้สิทธิการประกอบกิจการแก่ผู้ประกอบการรายที่ 2 รายใหม่ก่อนสัญญากับรายเดิมจะสิ้นสุดลงจะทำให้เหลือเพียงบริษัท การบินไทยฯ ผู้ประกอบการรายที่ 1 เพียงรายเดียว ที่ให้บริการคลังสินค้า ซึ่งจะไม่เพียงพอกับความต้องการในการใช้บริการคลังสินค้าที่จะเพิ่มสูงขึ้นได้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องพิจารณาให้สิทธิกับผู้ประกอบการที่มีคุณสมบัติเหมาะสมล่วงหน้า ก่อนที่อายุสัญญาของผู้ประกอบการรายที่ 2 จะสิ้นสุดลง ซึ่งสอดลดล้องกับที่พระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 มาตรา 49 ที่บัญญัติให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำแนวทางการดำเนินโครงการภายหลังจากสัญญาร่วมลงทุนสิ้นสุดลงอย่างน้อย 5 ปี ก่อนที่สัญญาจะสิ้นสุด
2. โครงการให้บริการคลังสินค้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (โครงการฯ) ของผู้ประกอบการรายที่ 2 มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
-
2.1 มูลค่าโครงการ : 15,253 ล้านบาท [ประเมินจากผลรวมของ (1) ค่าผลประโยชน์ตอบแทน (2) ค่าเช่าพื้นที่ (3) ค่าลงทุนสิ่งปลูกสร้าง และ (4) ค่าลงทุนอุปกรณ์และระบบ]
2.2 ระยะเวลาดำเนินโครงการ : 20 ปี นับจากวันส่งมอบพื้นที่ (รายละเอียดการส่งมอบพื้นที่จะพิจารณาอีกครั้งในชั้นของการคัดเลือกเอกชน)
2.3 รูปแบบการลงทุน: ร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนในรูปแบบ PPP Net Cost เนื่องจากเป็นรูปแบบการร่วมลงทุนที่มีความคุ้มค่าของเงิน (VFM) มากที่สุดโดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
-
โดยเอกชนมีหน้าที่จัดหาเงินทุนเพื่อลงทุนสิ่งปลูกสร้าง อุปกรณ์ และระบบ รวมทั้ง การดำเนินงานและบำรุงรักษาโครงการฯ ของผู้ประกอบการรายที่ 2 ส่วนภาครัฐมีหน้าที่จัดหาที่ดินสำหรับการพัฒนาโครงการและกำกับดูแลและติดตามตรวจสอบคุณภาพ การดำเนินงานโครงการฯ ของผู้ประกอบการรายที่ 2 ทั้งนี้ เอกชนจะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรายได้ของโครงการฯ ของผู้ประกอบการรายที่ 2 และเป็นผู้รับความเสี่ยงทางด้านรายได้โดยตรงโดยจะต้องจ่ายค่าผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่ภาครัฐเป็นรายปีตามเงื่อนไขที่กำหนด
[กำหนดให้เอกชนจ่ายค่าผลประโยชน์ตอบแทนโดยเปรียบเทียบกันระหว่างค่าส่วนแบ่งรายได้ ร้อยละ 10 ของรายได้ต่อเดือน และค่าตอบแทนขั้นต่ำในจำนวนที่แน่นอน (เอกชนจะเป็นผู้เสนอในขั้นตอนการคัดเลือกเอกชน) โดยเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ให้เอกชนจ่ายให้ภาครัฐในรายการที่มีมูลค่าสูงกว่า] 2.4 ประมาณการรายได้โครงการ : เอกชนจะมีรายได้ตลอดอายุโครงการ 20 ปี ประมาณ 42,205.17 ล้านบาท
2.5 ประมาณการค่าใช้จ่ายโครงการ : ค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ของผู้ประกอบการรายที่ 2 จำนวน 34,161.76 ล้านบาท ประกอบด้วย (1) ค่าลงทุนสิ่งปลูกสร้าง อุปกรณ์ และระบบ จำนวน 1,120 ล้านบาท (2) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและบำรุงรักษา จำนวน 33,041.76 ล้านบาท (เอกชนเป็นผู้รับผิดชอบจัดหาเงินทุนเพื่อใช้จ่ายตามกิจกรรมดังกล่าวทั้งหมด)
2.6 ความคุ้มค่าทางการเงิน/ทางเศรษฐศาสตร์
3. กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ (สงป.) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และประธานกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนพิจารณาแล้ว เห็นชอบ/ไม่ขัดข้อง โดยมีความเห็นเพิ่มเติม เช่น สงป. เห็นว่า ควรมีการจัดทำแผนการปฏิบัติงานในภาพรวมของโครงการ เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด และเป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้
ผ่านร่าง พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ รองรับการระดมทุนอิเล็กทรอนิกส์
ด้านนายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (หลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์) (ร่างพระราชบัญญัติฯ) ที่ได้ผ่านการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) แล้ว โดยสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติฯ เป็นการปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับการออกหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีลักษณะแตกต่างจากหลักทรัพย์ที่เป็นใบตราสารทั่วไปให้ชัดเจน และเหมาะสมยิ่งขึ้น เพื่อรองรับกระบวนการออกหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์และการทำธุรกรรมต่าง ๆ ที่จะอยู่ในระบบอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดตลอดอายุของหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์นั้น เช่น สถานะของหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ การควบคุมกำกับดูแล กระบวนการออกหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ การทำธุรกรรมเกี่ยวกับหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ ผลผูกพันของหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ การเปลี่ยนระบบหลักทรัพย์ในรูปแบบใบตราสารให้เป็นหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น รวมทั้งเพิ่มเติมบทกำหนดโทษเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายสามารถบรรลุตามวัตถุประสงค์ของร่างพระราชบัญญัติฯ เป็นการปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัยเพื่อรองรับการนำเทคโนโลยีมาใช้ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน และเพิ่มขีดความสามารถด้านตลาดทุนของประเทศ สำหรับการดำเนินการในขั้นตอนถัดไป จะมีการนำร่างพระราชบัญญัติฯ เข้าสู่กระบวนการพิจารณาตามขั้นตอนทางกฎหมายเพื่อให้มีผลใช้บังคับต่อไป
เพิ่มเบี้ยเสี่ยงภัย จนท.รถไฟฯในพื้นที่ชายแดนใต้เป็น 3,500 บาท/ด.
นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ปรับเพิ่มเงินสวัสดิการพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงภัยจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการจ่ายเงินสวัสดิการพิเศษเพิ่มเติมให้กับผู้ปฏิบัติงานที่มีสำนักงานอยู่นอกพื้นที่เสี่ยงภัย แต่เข้าไปปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงภัยจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ
นายอนุกูล กล่าวว่า ปัจจุบันการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จ่ายเงินสวัสดิการพิเศษให้กับผู้ปฏิบัติงานที่ปฏิบัติงานประจำสำนักงานในพื้นที่พิเศษ (จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และ 5 อำเภอในจังหวัดสงขลา) ในอัตรา 2,500 บาท ต่อคนต่อเดือน ตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา ซึ่งไม่ครอบคลุมถึงกลุ่มผู้ปฏิบัติงานที่มีที่ตั้งของสำนักงานอยู่นอกพื้นที่พิเศษ แต่มีลักษณะงานจำเป็นต้องเข้าไปปฏิบัติงานในพื้นที่พิเศษ ประกอบกับสถานการณ์ปัจจุบันยังคงมีเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในเขตพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะในเขตพื้นที่พิเศษ ส่งผลให้ผู้ปฏิบัติงานของ รฟท. ตกเป็นเป้าหมายของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ อีกทั้งในปัจจุบันมีภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและค่าครองชีพสูง รฟท. จึงเห็นควรปรับปรุงค่าเสี่ยงภัยในอัตราใหม่และจ่ายค่าเสี่ยงภัยเพิ่มเติมให้แก่กลุ่มผู้ปฏิบัติงานที่มีสำนักงานอยู่นอกพื้นที่พิเศษแต่มีลักษณะงานต้องเข้าไปปฏิบัติงานในพื้นที่พิเศษ เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้ปฏิบัติงานในการเข้าปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่พิเศษ ดังนี้
-
1. ผู้ปฏิบัติงานประจำในพื้นที่พิเศษ จำนวน 219 คน อัตราเดิม 2,500 บาทต่อคนต่อเดือน อัตราใหม่ 3,500 บาทต่อคนต่อเดือน กรณีปฏิบัติงานในพื้นที่ไม่เต็มเดือน หากมีระยะเวลาตั้งแต่ 15 วันขึ้นไป ให้มีสิทธิได้รับเงินสวัสดิการพิเศษในอัตรา 3,500 บาทต่อคนต่อเดือน
2. ผู้ปฏิบัติงานนอกพื้นที่พิเศษ 1) ปฏิบัติงานประจำขบวนรถไฟ จำนวน 115 คน อัตราเดิมไม่จ่าย อัตราใหม่ 233.33 บาท 2) ปฏิบัติงานเข้า – ออกเป็นครั้งคราว จำนวน 165 คน อัตราเดิมไม่จ่าย อัตราใหม่ 233.33 บาทต่อคนต่อวัน
ทั้งนี้ การปรับปรุงการจ่ายเงินสวัสดิการพิเศษในครั้งนี้ จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากเดิม จำนวน 1,357,768.98 บาทต่อเดือน หรือ 16.29 ล้านบาทต่อปี โดยจะใช้จ่ายจากเงินรายได้ของ รฟท. และให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบ
นายอนุกูล กล่าวว่า คณะกรรมการการรถไฟแห่งประเทศไทยและคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ มีมติเห็นชอบแล้ว และกระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน สำนักงบประมาณ (สงป.) สำนักงาน ก.พ. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้พิจารณาแล้วเห็นชอบ/ไม่ขัดข้อง โดยมีความเห็นเพิ่มเติม เช่น สงป. เห็นว่า รฟท. ควรพิจารณาค่าใช้จ่ายบุคลากรในภาพรวม โดยคำนึงถึงสถานะการเงิน ผลการดำเนินงานของกิจการ มีการจัดทำแผนการเพิ่มประสิทธิภาพ การดำเนินงานหรือเพิ่มรายได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นและไม่ก่อให้เกิดภาระแก่ประชาชน ตลอดจนไม่ส่งผลกระทบต่อภาระงบประมาณและฐานะทางการเงินในอนาคต และ สศช. เห็นควรให้ รฟท. กำกับการจ่ายค่าตอบแทนดังกล่าวให้เป็นไปตามความจำเป็นและเหมาะสม พร้อมทั้งกำหนดให้มีระบบควบคุมตรวจสอบเพื่อให้การใช้จ่ายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ผ่อนผันกรมชลฯใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ สร้างอ่างเก็บน้ำน้ำรี
นายอนุกูล กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติผ่อนผันยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เพื่อให้กรมชลประทานเข้าใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ จำนวนเนื้อที่ 550 ไร่ 3 งาน 72 ตารางวา ดำเนินการโครงการอ่างเก็บน้ำน้ำรี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดน่าน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอ
นายอนุกูล กล่าวว่า เนื่องจากโครงการอ่างเก็บน้ำน้ำรี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดน่าน มีพื้นที่อ่างเก็บน้ำซับซ้อนพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ จำนวนเนื้อที่ 550 ไร่ 3 งาน 72 ตารางวา จึงจำเป็นต้องขออนุมัติผ่อนผันยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2529 เรื่องมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง กำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำยมและน่าน และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ โดยมาตรการการใช้ที่ดินในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ หัวข้อ 1.1 ตามข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำยมและน่าน ระบุไว้ว่า “ข้อ 1.1 ห้ามมิให้มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะพื้นที่ป่าไม้เป็นรูปแบบอื่นอย่างเด็ดขาด ทั้งนี้ เพื่อรักษาไว้เป็นพื้นที่ต้นน้ำลำธารอย่างแท้จริง” และมติดณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2532 เรื่อง ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ เพื่อก่อสร้างทางเพื่อความมั่นคง “ข้อ 2. ต่อไปจะไม่อนุมัติให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ อีกไม่ว่ากรณีใด” กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงขอเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติผ่อนผันยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2529 และมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2532 ให้แล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2567 เพื่อนำมติดังกล่าวประกอบการขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติดอยภูคา และป่าผาแดง เพื่อให้สามารถดำเนินการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำรี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดน่าน ตามแผนงานในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569
ประโยชน์และผลกระทบ
1 ประโยชน์ที่ประเทศไทยและภาคส่วนต่างๆ จะได้รับ
-
1.1 สามารถเก็บกักน้ำเพื่อเป็นแหล่งน้ำต้นทุนสำหรับการอุปโภค-บริโภค เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละประมาณ 1.32 ล้านลูกบาศก์เมตร และสำหรับส่งน้ำเพื่อการเกษตรในพื้นที่ 22,100 ไร่ ในเขตอำเภอเฉลิมพระเกียรติ อำเภอทุ่งช้าง และอำเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน มีประชาชนได้รับผลประโยชน์จำนวน 12,007 ครัวเรือน
1.2 สามารถส่งน้ำเข้าสู่ถังพักน้ำอุปโภค-บริโภคเดิมบริเวณที่ว่าการอำเภอเฉลิมพระเกียรติ จำนวน 1,500 ลูกบาศก์เมตร โรงเรียนมัธยมพระราชทานเฉลิมพระเกียรติ จำนวน 1,600 ลูกบาศก์เมตร และโรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ จำนวน 500 ลูกบาศก์เมตร รวมทั้งหมด 3,600 ลูกบาศก์เมตร และส่งน้ำเข้าสู่พื้นที่เกษตรกรรมบ้านห้วยโก๋น รวมประมาณ 950 ไร่
1.3 สามารถลดภาระค่าใช้จ่ายในการซื้อน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค ของราษฎรในเขตตำบลหัวยโก๋น อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดน่าน
1.4 สามารถส่งน้ำเข้าสู่พื้นที่เกษตรกรรมบริเวณริมอ่างเก็บน้ำบ้านกิ่วจันทร์ ตำบลขุนน่าน อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดน่าน ประมาณ 600 ไร่
1.5 สามารถส่งน้ำเข้าสู่พื้นที่เกษตรกรรมประมาณ 19,520 ไร่ และสูบส่งน้ำ เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนของอ่างเก็บน้ำเดิมในพื้นที่อำเภอทุ่งช้าง และอำเภอเชียงกลาง จำนวน 6 อ่าง ซึ่งมีความจุประมาณ 2.596 ล้านลูกบาศก์เมตร
1.6 มีน้ำสนับสนุนให้แก่พื้นที่เกษตรน้ำฝนบริเวณริมห้วยหมูเน่า ห้วยโก๋น และบริเวณริมลำน้ำรีท้ายอ่างเก็บน้ำน้ำรี ประมาณ 1,030 ไร่
1.7 ราษฎรมีน้ำสำหรับการเกษตร การปศุสัตว์ ที่เพียงพอตลอดทั้งปีส่งผลให้มีผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มขึ้น รายได้เฉลี่ยต่อปีของครัวเรือนเพิ่มขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
1.8 ภาวการณ์ว่างงานลดน้อยลง ลดการเคลื่อนย้ายแรงงานออกจากถิ่นที่อยู่
1.9 เป็นแหล่งเพาะขยายพันธุ์ปลา เพื่อส่งเสริมอาชีพการประมงให้แก่ราษฎรในพื้นที่โครงการ
โอนเงิน 13,280 ล้าน ใช้หนี้ FIDF 1 – 3
นายอนุกูล กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติให้โอนเงินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟู และพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (กองทุนฯ) เข้าบัญชีสะสม เพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (บัญชีสะสมฯ) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เพิ่มเติม จำนวน 13,820 ล้านบาท โดยให้กองทุนฯ ทยอยโอนเงินดังกล่าวเข้าบัญชีสะสมฯ ตามปริมาณสภาพคล่องของกองทุนฯ
ทั้งนี้ ในเดือนพฤษภาคม 2568 กองทุนฯ ได้รับเงินปันผลจากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) รวมจำนวน 12,409 ล้านบาท รวมกับเงินส่วนแบ่งจากกองทรัพย์สินของสถาบันการเงินที่ล้มละสาย จำนวน 1,411 ล้านบาท รวมเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 13,820 ล้านบาท กองทุนฯ จึงเห็นควรให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้กองทุนฯ โอนเงินที่จะได้รับดังกล่าว เพื่อชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ย FIDF 1 และ FIDF 3 สำหรับปีงบประมาณ 2568 เพิ่มเติมทั้งจำนวน โดยให้กองทุนฯ ทยอยโอนเงินดังกล่าวเข้าบัญชีสะสมฯ ตามปริมาณสภาพคล่องของกองทุนฯ
จัดงบกลาง 1,309 ล้าน เยียวยาเกษตรกรที่ประสบอุทกภัยปี’67 เพิ่มเติม
นายอนุกูล กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 1,309.76 ล้านบาท เพื่อดำเนินแผนงาน/โครงการฟื้นฟูเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ปี 2567 เพิ่มเติม ประกอบด้วย (1) โครงการฟื้นฟูเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ปี 2567 วงเงิน 848.66 ล้านบาท และ (2) โครงการฟื้นฟูเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ปี 2567 วงเงิน 461.10 ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.)
นายอนุกูล กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีมีมติ (5 พฤศจิกายน 2567) อนุมัติงบประมาณปี 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินงานแผนงาน/โครงการฟื้นฟูเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ปี 2567 (ช่วงภัยวันที่ 14 กรกฎาคม – 1 ตุลาคม 2567) จำนวน 8 โครงการ วงเงิน 2,553.01 ล้านบาท เช่น โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ของเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย (กรมการค้าข้าว) จำนวน 1,571.35 ล้านบาท และโครงการ ส่งเสริมทางเลือกอาชีพด้านประมงการเลี้ยงสัตว์น้ำในบ่อพลาสติกและในกระชังบก (กรมประมง) จำนวน 23.92 ล้านบาท โดย กษ. ได้ดำเนินการตามโครงการดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 14 กรกฎาคม – 31 ตุลาคม 2567 แต่งบประมาณในการดำเนินการที่ผ่านมาไม่เพียงพอกับการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย รวมถึงไม่ครอบคลุมกลุ่มเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ปี 2567 ช่วงภัยวันที่ 20 พฤศจิกายน – 31 ธันวาคม2567 กษ. จึงได้จัดทำเรื่อง ขออนุมัติ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. 2568 เพื่อดำเนินแผนงาน/โครงการ ฟื้นฟูเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ปี 2567 เพิ่มเติม เสนอศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบ อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) ซึ่งในคราวประชุม ครั้งที่ 2/68 เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2567 ที่ประชุม ศปช. มีมติเห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน 1,989.72 ล้านบาท ตามที่ กษ. เสนอ โดยขอให้ กษ. ดำเนินการตามขั้นตอน ระเบียบ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปด้วยความโปร่งใส และใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้ กษ. ได้ขอให้สำนักงบประมาณ (สงป.) และกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ตรวจสอบความซ้ำซ้อน ความถูกต้องให้เป็นไปตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
ทั้งนี้ เพื่อให้การช่วยเหลือครอบคลุมเกษตรกรทั่วประเทศ รวมทั้งช่วยให้ เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยปี 2567 สามารถฟื้นฟูและประกอบอาชีพทางการเกษตรได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว รวมทั้งเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนและสร้างขวัญกำลังใจให้เกษตรกรมีความมั่นใจว่า รัฐบาลเล็งเห็นความสำคัญของอาชีพเกษตรกรรมและมีความห่วงใยความเป็นอยู่ของเกษตรกร กษ. จึงขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินแผนงาน/โครงการฟื้นฟูเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ปี 2567 เพิ่มเติม จำนวน 8 โครงการ วงเงิน 1,309.76 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
1. การฟื้นฟูเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยปี 2567 (รวม 2 โครงการ) รวมวงเงิน 848.66 ล้านบาท ประกอบด้วย (1) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวของเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย จำนวนงบประมาณรวม 820.21 ล้านบาท (2) โครงการส่งเสริมทางเลือกอาชีพด้านประมง การเลี้ยงสัตว์น้ำในบ่อพลาสติกและในกระชังบก จำนวนงบประมาณรวม 28.45 ล้านบาท
2. การฟื้นฟูเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ ปี 2567 (รวม 6 โครงการ) รวมวงเงิน 461.10 ล้านบาท ประกอบด้วย
-
1) การฟื้นฟู่อาชีพหลังน้ำลด (รวม 3 โครงการ) รวมวงเงิน 128 ล้านบาท ประกอบด้วย
-
(1) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ประสบอุทกภัยภาคใต้ จำนวน 51.16 ล้านบาท
(2) โครงการส่งเสริมทางเลือกอาชีพด้านประมง เพื่อฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ จำนวน 62.40 ล้านบาท และ
(3) โครงการฟื้นฟูอาชีพเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยด้านปศุสัตว์ภาคใต้ ปี 2567 จำนวน 14.11 ล้านบาท
2) การฟื้นฟูพื้นที่เกษตรและซ่อมแซมเครื่องจักรกลเกษตร (รวม 2 โครงการ) รวมวงเงิน 231.05 ล้านบาท ประกอบด้วย (1) โครงการฟื้นฟูพื้นที่การเกษตรและปรับเปลี่ยนการผลิตตามแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-Map) ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยภาคใต้ ปี 2567 งบประมาณรวม 33.25 ล้านบาท (2) โครงการสกัดการระบาดของโรคแมลงศัตรูพืช และการสนับสนุนพันธุ์พืช และปัจจัยการผลิตเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบอุทกภัยภาคใต้ ปี 2567/2568 งบประมาณรวม 197.80 ล้านบาท
3) มาตรการลดภาระหนี้สินของสมาชิกสถาบันเกษตรกร/กลุ่มเกษตรกร (กรมส่งเสริมสหกรณ์) (1 โครงการ 2 กิจกรรม) รวมวงเงิน 102.05 ล้านบาท ประกอบด้วย
-
กิจกรรมที่ 1 การชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่เกษตรกรสมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรที่ประสบอุทกภัยภาคใต้ ปี 2567 งบประมาณรวม 52.05 ล้านบาท
กิจกรรมที่ 2 ชดเชยความเสียหายของทรัพย์สินของสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยภาคใต้ปี 2567 งบประมาณรวม 50.00 ล้านบาท
ทั้งนี้ สงป. ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณา โดยนายกรัฐมนตรีเห็นชอบให้ กษ. ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน 1,309.76 ล้านบาท เพื่อเป็น ค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฟื้นฟูเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ปี 2567 เพิ่มเติม จำนวน 8 โครงการ สำหรับ 6 หน่วยรับงบประมาณ และขอให้ กษ. พิจารณาดำเนินการ ดังนี้ 1.ให้ กษ. จัดทำรายละเอียด หลักเกณฑ์และวิธีดำเนินงาน โดยคำนึงถึงการประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย/เขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน จำนวนพื้นที่ให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่เพาะปลูกหรือทำการเกษตร และหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินทดรองราชการ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ตามความจำเป็นเหมาะสม สอดคล้องกับข้อเท็จจริง ตลอดจน การกำหนดกลไกในการตรวจสอบในรูปแบบคณะกรรมการระดับต่าง ๆ ด้วยความรอบคอบ และเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องด้วย และ 2. ให้หน่วยรับงบประมาณที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อขอทำความตกลงในรายละเอียดกับ สงป. ตามขั้นตอนต่อไป
ตั้ง ‘ฐิติพร จิระสวัสดิ์’ เอกอัครราชทูตบังกลาเทศ
นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการและผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานรัฐ มีรายละเอียดดังนี้
1. การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอ แต่งตั้ง นางฐิติพร จิระสวัสดิ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ผู้อำนวยการสถาบัน (ผู้อำนวยการสูง) สถาบันการต่างประเทศเทวะวงศ์วโรปการ สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงธากา สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป
2. การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) เสนอแต่งตั้ง นายไชยยง รัตนอังกูร เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ แทน นายประภาศ คงเอียด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากขอลาออก
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป และให้ผู้ได้รับแต่งตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งตนแทน
3. การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เสนอ แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ จำนวน 7 คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี ดังนี้
-
1. นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ด้านการท่องเที่ยวและนันทนาการ
2. นายจิตรพรต พัฒนสิน ด้านกฎหมาย
3. นายธรรมศักดิ์ ยีมิน ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
4. นางสาวดรรชนี เอมพันธุ์ ด้านอุทยานแห่งชาติ (ผู้แทนภาคเอกชน)
5. นายกมลชัย รัตนสกาววงศ์ ด้านกฎหมาย (ผู้แทนภาคเอกชน)
6. นายพงศ์ศักดิ์ วัฒนสินธุ์ ด้านการท่องเที่ยวและนันทนาการ (ผู้แทนภาคเอกชน)
7. นางสาวพิมพ์ภาวดี พหลโยธิน ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ผู้แทนภาคเอกชน)
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป
4. การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอแต่งตั้ง พลเอก เพชรรัตน์ ลิ้มประเสริฐ (ผู้แทนสถาบันเกษตรกร) เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร แทนผู้แทนสถาบันเกษตรกรซึ่งเป็นกรรมการอื่นเดิมที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ เนื่องจากขอลาออก ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป และผู้ได้รับแต่งตั้งนั้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้ว
อ่าน มติ ครม.ประจำวันที่ 10 มิถุนายน 2568 เพิ่มเติม