
แพทยสภาพรึบลงมติเกิน 2 ใน 3 ยืนยันลงโทษหมอรักษา ‘ทักษิณ’ 3 ราย ด้าน ‘สมศักดิ์ เทพสุทิน’ แจงเหตุใช้สิทธิ์ ‘วีโต้’ 15 นาที ยันได้ทำหน้าที่สมบูรณ์แล้ว
หลังจากนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.จังหวัดนครนายก พรรคประชาธิปัตย์ ไปยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยขอให้ศาลฎีกาฯไต่สวนการบังคับโทษจำคุกแก่จำเลย (นายทักษิณ ชินวัตร) ในคดีหมายเลขแดงที่ อม.4/2551 , อม.10/2552 และอม.5/2551 ว่าได้เป็นไปตามที่ศาลฎีกาฯ พิพากษาของ หรือไม่
ยื่นคำร้องครั้งแรก เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 ปรากฏว่า ศาลฎีกามีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณา จึงไปยื่นคำร้อง ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 ศาลฏีกา ฯ ก็มีคำสั่งไม่รับคำร้องนายชาญชัย ไว้พิจารณาอีก โดยให้เหตุผลสั้นๆว่า “กรณีนี้ไม่ปรากฏมีการทุเลาการบังคับโทษ จึงไม่ต้องตามบทบัญญัติ ป.วิอาญา มาตรา 246 และมาตราอื่นที่ผู้ร้องอ้างมา จึงไม่ต้องไต่สวน ให้ยกคำร้อง” คำสั่งศาลฎีกาครั้งนี้ ทำให้นายชาญชัย มั่นใจว่าการนำนักโทษออกไปรักษาตัวนอกเรือนจำนั้น เป็นอำนาจของศาล แต่ไม่ได้มาขออนุญาตศาล
นายชาญชัย จึงดำเนินการยกร่างคำร้องขอให้ศาลฎีกาไต่สวนการบังคับโทษนายทักษิณ เป็นครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2568 โดยรวบรวมพยานหลักฐานจากหน่วยงานต่างๆ ทำหน้าที่ตรวจสอบกรณีการนำตัวนายทักษิณ ชินวัตร ออกไปพักรักษาตัวที่ห้อง VIP ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ไม่ว่าคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค , แพทยสภา ซึ่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนแพทย์ที่เกี่ยวข้อง , คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และ ป.ป.ช. พร้อมคำร้องส่งให้ศาลฎีกาพิจารณา เป็นครั้งที่ 3 ปรากฏว่าครั้งนี้ ศาลฎีกาฯมีคำสั่งเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 รับไต่สวนการบังคับโทษจำคุกนายทักษิณไว้พิจารณาเอง หลังจากที่นายชาญชัยนำความ หรือ หลักฐานไปปรากฏต่อศาลฎีกา แม้นายชาญชัยจะไม่ใช่คู่ความ ไม่ใช่ผู้ได้รับความเดือดร้อน หรือ เสียหายจากการบังคับโทษจำคุกแก่จำเลยในคดีดังกล่าว ไม่มีสิทธิยืนคำร้องต่อศาลนี้ แต่เมื่อนำความมาปรากฏต่อศาลแล้ว ศาลฎีกา จึงมีอำนาจไต่สวนคดีนี้
และศาลฎีกาก็ได้มีคำสั่งให้นำคำร้อง และหลักฐานของนายชาญชัยส่งให้ ให้โจทก์-จำเลยในคดีนี้ , ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร , อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ชี้แจ้งข้อกล่าวหาของนายชาญชัย แล้วแจ้งให้ศาลฎีกาทราบ พร้อมกับหลักฐานที่เกี่ยวข้องภายใน 30 วัน และนัดไต่สวน หรือ นัดพร้อมไต่สวนในวันที่ 13 มิถุนายน 2568 เวลา 9.30 น.
สถานการณ์เริ่มพลิกผัน เมื่อ ศ.ดร.นายแพทย์ประสิทธิ์ วัฒนาภา อุปนายกแพทยสภา คนที่หนึ่ง ได้แถลงผลการประชุมคณะกรรมการแพทยสภา ครั้งที่ 5/2568 เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 ประจำเดือนพฤษภาคม 2568 ได้มีมติลงโทษแพทย์ 3 คน โดยเป็นการว่ากล่าวตักเตือน 1 คน กรณีประกอบวิชาชีพเวชกรรมไม่ได้มาตรฐาน (แพทย์โรงพยาบาลราชทัณฑ์) ในกรณีประกอบวิชาชีพเวชกรรมไม่ได้มาตรฐาน และพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม 2 คน (แพทย์โรงพยาบาลตำรวจ) ในกรณีให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับความเป็นจริง
ปรากฎว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ แพทยสภา ได้ใช้สิทธิ์วีโต้มติของแพทยสภาที่ลงโทษแพทย์ 3 คน หากแพทยสภายังยืนยันมติเดิม ต้องใช้เสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของกรรมการทั้งหมด 69 คน โดยมีการบรรจุเข้าสู่วาระการพิจารณาของที่ประชุมแพทยสภาครั้งที่ 6/2568 ในวันที่ 12 มิถุนายน 2568 ปรากฎว่านายสมศักดิ์ เทพสุทิน แสดงความประสงค์ขอเข้าร่วมประชุมด้วย
วันที่ 11 มิถุนายน 2568 ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงสมศรี เผ่าสวัสดิ์ นายกแพทยสภา ได้ทำหนังสือแจ้งนายสมศักดิ์ว่าตามมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 ประกอบข้อ 12 แห่งข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการประชุมคณะกรรมการ พ.ศ. 2560 กำหนดให้เฉพาะสภานายกพิเศษเท่านั้นที่สามารถเข้าฟังการประชุม และชี้แจงแสดงความเห็นในที่ประชุมคณะกรรมการได้ โดยที่ให้ถือเป็นการประชุมลับ ทั้งนี้ในการประชุมดังกล่าวมีระเบียบวาระในการพิจารณาเป็นจำนวนมาก แพทยสภาจึงได้จัดระเบียบวาระ สำหรับสภานายกพิเศษฯไว้ในวาระ เรื่องประธานแจ้งที่ประชุม เพื่อทราบในเวลา 12.00-12.15 น. เพื่อให้สภานายกพิเศษแห่งแพทยสภาได้ชี้แจงและแสดงความเห็นต่อคณะกรรมการแพทยสภา

วันที่ 12 มิถุนายน 2568 เวลา 12.20 น. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนภายหลังจากที่เข้าไปประชุมแพทยสภาได้ 15 นาที ว่า การเข้าร่วมการประชุมกรรมการแพทยสภาครั้งนี้ เพื่อชี้แจงกรณีที่ตนยับยั้ง หรือ วีโต้มติแพทยสภา ตนได้เตรียมเอกสารชี้แจ้งทั้งหมด 10 หน้า ซึ่งมีการระบุถึงจริยธรรมเกี่ยวกับบทลงโทษ ตามมติแพทยสภาก่อนหน้านี้ ที่ให้ลงโทษแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการส่งตัวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จากกรมราชทัณฑ์มารักษาตัวต่อที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ และยังมีเอกสารที่เกี่ยวข้องกับข้อกฎหมาย ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดอีก 2 หน้า
นายสมศักดิ์ มองว่า “มติแพทยสภาดังกล่าว เป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ ที่อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ของแพทย์รุ่นใหม่ในการรักษาผู้ป่วย จึงอยากให้คณะกรรมการแพทยสภา พิจารณาตามคำขี้แจงในเอกสาร โดยเฉพาะ 4 ข้อท้าย หากรู้สึกผิดอยู่ในใจบ้างเล็กน้อย ก็ขอให้ทบทวนเถอะ”
สำหรับผลการลงมติแพทยสภาในวันนี้ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร นายสมศักดิ์ ยืนยันว่า “ได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์แล้ว ในการเข้าชี้แจงและทำความเข้าใจตามข้อกฎหมาย”
ล่าสุด เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2568 เวลา 15.00 น. ศ.ดร.นายแพทย์ประสิทธิ์ วัฒนาภา อุปนายกแพทยสภา คนที่หนึ่ง ได้แถลงผลการประชุมคณะกรรมการแพทยสภา ครั้งที่ 6/2568 เมื่อัวนที่ 12 มิถุนายน 2568 โดยมีวาระสำคัญ คือ การพิจารณาหนังสือยับยั้ง (วีโต้) มติลงโทษผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมขอคณะกรรมการแพทยสภาจากสภานายกพิเศษแห่งแพทยสภา ในวาระนี้มีกรรมการแพทยสภาเข้าร่วมประชุม จำนวน 68 คน จากจำนวนกรรมการแพทยสภาที่มีสิทธิลงคะแนนทั้งสิ้น 69 คน ได้พิจารณาการยับยั้งมติแพทยสภาของสภานายกพิเศษ โดยมีมติด้วยคะแนนเสียงเกินกว่า 2 ใน 3 ของคณะกรรมการฯที่มีสิทธิลงคะแนนทั้งคณะ ยืนยันตามมติเดิมของคณะกรรมการแพทยสภาเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 กระบวนการต่อไปแพทยสภาจะออกคำสั่งบังคับตามมติและแจ้งให้ผู้เกี่ยวข้องได้ทราบต่อไป