
‘ณัฐพงษ์’ หัวหน้าฝ่ายค้าน ชำแหละงบปี’69 ไร้ทิศ-ไร้ทาง มีงบในมือ 7-8 ล้านล้าน ใช้ไม่เป็น-ขาดการเชื่อมโยง – ชี้โลกเกิดวิกฤต ขณะที่การจัดงบไทยกลับไม่เปลี่ยน-เสมือนไม่มีนายกฯ บริหารงบประเทศ- ปล่อยราชการจัดงบเอง- แนะเปลี่ยนวิธีคิดบริหารเงินแผ่นดินใหม่
เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ได้เป็นผู้อภิปรายเปิดในส่วนของพรรคร่วมฝ่ายค้านชี้ให้เห็นถึงภาพรวมของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569
โดยณัฐพงษ์ ระบุว่าในปีงบประมาณ 2569 คือปีที่ 2 ติดต่อกันที่รัฐบาลเพื่อไทย ตั้งงบขาดดุลสูงจนเกือบชนเต็มเพดาน โดยกำหนดกรอบงบประมาณรายจ่ายไว้ที่ 3.78 ล้านล้านบาท ขณะที่มีการประมาณการรายได้ของรัฐไว้เพียง 2.92 ล้านล้านบาท ส่งผลให้ต้องกู้เพื่อชดเชยขาดดุล 8.6 แสนล้านบาท หรือ คิดเป็น 4.5% ของ GDP ใน 2568 ยังเป็นปีที่รัฐบาลเพื่อไทยทำสถิติกู้ชดเชยขาดดุลต่อ GDP สูงที่สุดในรอบ 36 ปี
“แต่สิ่งที่น่ากังวลไม่ใช่เรื่องของการกู้ แต่คือการที่รัฐบาลกำลังใช้เงินเกินตัว โดยไม่มีแผนการลงทุนและการหารายได้มารองรับ ไม่มียุทธศาสตร์ ไม่มีความเชื่อมโยงกับการสร้างศักยภาพของประเทศในอนาคต มีแต่การกู้ซ้ำๆ ไปลงกับโครงการเดิม ๆ ไม่ได้สร้างรายได้ ให้กับประเทศ”
และแม้ว่าปีนี้จะเป็นปีที่รัฐบาลเบ่งงบประมาณขึ้นสูงถึง 3.78 ล้านล้านบาท แต่งบประมาณที่นำไปใช้จ่ายได้จริงยังมีน้อยเหมือนเดิม เพราะรายจ่ายบุคลากรก็เพิ่มจากเดิมถึง 20,138 ล้านบาท งบชำระหนี้ก็เพิ่มขึ้นอีก 11,611 ล้านบาท งบผูกพันแม้จะลดลงเล็กน้อย แต่ก็ยังเป็นภาระต่อเนื่อง รวมเงินอุดหนุนให้ท้องถิ่น เงินชดใช้เงินคงคลังต่างๆ เหลือออกมาจะเหลืออยู่เพียงประมาณ 1 ใน 4 ของงบประมาณทั้งก้อน หรือราว 1.06 ล้านล้านบาทเท่านั้น
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อไปว่า ดังนั้นด้วยสถานการณ์ของประเทศในขณะนี้ที่มีพื้นที่ทางการคลังให้กู้ได้อีกไม่มาก และมีพื้นที่งบประมาณให้โครงการใหม่อยู่ก็เหลือน้อย ประชาชนจึงต้องการรัฐบาลที่รู้จักใช้อำนาจในการจัดสรรงบประมาณ และบริหารเงินแผ่นดิน ไม่ใช่รัฐบาลที่เป็นแหล่งรวมของผู้แสวงหาอำนาจ ที่รวมตัวกันเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ และเพื่อให้ตัวเองดำรงอยู่ในอำนาจได้ต่อไป
“งบประมาณปี 2569 จึงเป็นกระจกสะท้อนชั้นดีไปยังรัฐบาลชุดนี้ ที่ไร้ทิศ ไร้ทาง และไร้ภาพ ไม่ได้จัดงบเพื่อหาทางออกให้กับประเทศ แต่ปล่อยให้การบริหารราชการแผ่นดินเดินไปอย่างสะเปะสะปะ อยู่ในระบบราชการประจำ ใช้เวลาไปกับปัญหาความขัดแย้งกันเองภายในพรรคร่วมรัฐบาล สิ่งที่ตอกย้ำภาพนี้ได้ชัดเจนที่สุดคือการนำงบกลางปี 2568 ที่มติคณะรัฐมนตรีเปลี่ยนจากนโยบายแจกเงินหมื่นไปเป็นนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจผ่านการลงทุนระยะสั้น 1.57 แสนล้านบาท ที่สะท้อนว่ารัฐบาลไม่มีภาพในหัวเลย มันคือการโยนเงิน 1.57 แสนล้านให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 7,850 แห่ง ส่งคำขอรับงบประมาณเข้ามาให้ทันภายในเวลาเพียง 3 วัน แสดงให้เห็นว่านโยบายรัฐบาลไม่มีแผนแม่บท ไม่มีวิสัยทัศน์ร่วม ไม่มีเป้าหมายระดับประเทศ”
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า นี่ไม่ใช่การกระจายอำนาจอย่างมียุทธศาสตร์แต่เป็นการกระจายภาระไปให้ท้องถิ่นคิดแทนรัฐบาล หรือ อาจถูกตั้งคำถามว่า เป็นการกระจายผลประโยชน์ให้เฉพาะเครือข่ายกลุ่มคนใกล้ชิดรัฐบาลที่รู้ข่าวล่วงหน้า ถึงจะสามารถจัดทำคำของบงประมาณเข้ามาได้ทันภายในกรอบระยะเวลาอันสั้นนี้ใช่หรือไม่ ทั้งหมดนี้สะท้อนชัดเจนว่าเรากำลังมีรัฐบาลที่ขาดเจตจำนงในการบริหารประเทศ ไส้ในแทบไม่เปลี่ยนจากปี 2568 ความไร้ภาพนี้ไม่ใช่ความบังเอิญ แต่คือผลผลิตจากความไร้สภาพของรัฐบาลในการบริหารประเทศ
นายณัฐพงษ์ยังกล่าวต่อไปว่าในปีที่โลกปั่นป่วน อุณหภูมิโลกร้อนแรง การค้ารุนแรง เศรษฐกิจโลกเปราะบาง เรายังใช้งบประมาณสูตรเดิมที่ล้มเหลวกันมาต่อเนื่องหลายปี งบประมาณปี 2569 คือคำตอบว่าประเทศไทยจะฝ่าวิกฤตนี้ไปได้หรือไม่ ทั้งอุณหภูมิโลกที่ร้อนแรง และความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ ในสถานการณ์ที่แย่ที่สุดไทยมีโอกาสสูญเสีย GDP สูงถึง 45% และภาคส่วนที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบสูงสุดคือ ท่องเที่ยวและภาคการเกษตร สำหรับสงครามการที่ค้ารุนแรง กำแพงภาษีทรัมป์จะกระทบต่อการส่งออกสินค้าของไทย ซ้ำเติมปัญหาการนำเข้าสินค้าราคาถูก และการสวมสิทธิจากต่างประเทศ
“ที่ผ่านมา GDP ภาคการผลิตและการบริโภคของไทยจะเติบโตไปในทิศทางเดียวกันตลอด นโยบายการแจกเงิน เพื่อกระตุ้นการบริโภคสามารถกระตุ้นภาคการผลิตในอดีตได้ แต่หลังปี 2565 เป็นต้นมา GDPภาคการผลิตกับการบริโภคโตสวนทางกัน แปลว่าเงินที่แจกไปไหลออกไปทางอื่น ไม่ตกถึงมือผู้ผลิตไทยในประเทศ หนำซ้ำยังถูกซ้ำเติมจากสินค้านำเข้า และสินค้าเถื่อนราคาถูก”
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า แม้แต่เครื่องจักรที่ช่วยหาเงินเข้าประเทศอย่างการส่งออกก็กำลังจะทรุดหนักจากสงครามการค้า ผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐอเมริกา 6,300 ราย จ้างงาน 1.5 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็น SMEs 4,990 ราย ที่เอาตัวรอดมาได้จากโควิด-19 สามารถแข่งกับจีนและเวียดนามได้ แต่วันนี้อาจกำลังจะตายจากกำแพงภาษีที่รัฐบาลช้า และทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง
เมื่อเดือนมีนาคม IMF คาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตเศรษฐกิจโลกปี 2568 – 2569 จะอยู่ที่ 3.2-3.3% แต่ภายหลังจากวันปลดแอกของทรัมป์ ในเดือนเมษายน IMF ก็ออกมาปรับลดตัวเลขต่ำกว่า 3% เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวอาจส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของไทยในอนาคตแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวที่จะกระจายตัวลงไปยังธุรกิจต่างๆ ในประเทศ รวมถึงค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เริ่มมีแนวโน้มเริ่มหดตัวลง ยังไม่นับรวมความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์อีกหลายแห่ง ที่กำลังปะทะกับโครงสร้างที่อ่อนแอของประเทศไทย
นายณัฐพงษ์ ระบุว่า เศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาการส่งออก การท่องเที่ยว และภาคการเกษตร กำลังถูกกดดันพร้อมกันในทุกด้าน สัดส่วนรายได้รัฐต่อ GDP ของไทยมีแนวโน้มลดลงมาโดยตลอด ความสามารถในการชำระหนี้ของรัฐบาลถูกตั้งคำถาม มุมมองต่ออนาคตของประเทศไทยถูกปรับเป็นทางลบ ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาด้านการคลังอย่างรุนแรงในอนาคต หากรัฐบาลยังลงทุนไม่ถูกจุด ไม่มีเป้าหมายการใช้จ่ายงบประมาณที่ชัดเจน แล้วจะฝากความหวังไว้กับร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ได้อย่างไร
2 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่การเลือกตั้งปี 2566 ถ้าเรามีรัฐบาลที่มีสมาธิในการบริหารประเทศ และให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง อย่างเช่น การปฏิรูประบบงบประมาณ ประเทศไทยจะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลง 5 ด้าน ให้เห็นผลเป็นรูปธรรมได้แน่นอน ไม่ว่าจะเป็น
-
1) การจัดทำงบประมาณที่มีการรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างสมดุล มีพื้นที่เผื่อเหลือเผื่อขาดพื้นที่การคลังเพื่อรับมือกับความวิกฤตในอนาคต ไม่ใช่การขยายกรอบแล้วขยายกรอบอีก ขยายเพื่อกู้ ทำลายศักยภาพในการรับมือกับวิกฤตของประเทศในอนาคต
2) การลงทุนในเครื่องจักรเศรษฐกิจใหม่ไปพร้อมกับการฟื้นฟูเครื่องจักรเศรษฐกิจเดิม เช่น การลงทุนในอุตสาหกรรมไฮเทค การฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยว และการพัฒนาภาคการเกษตร ตลอดจนการยกระดับ SMEs ให้แข่งขันกับต่างประเทศได้ ไม่ใช่การจัดสรรงบประมาณแบบสะเปะสะปะ ปล่อยให้หน่วยราชการคิดทำกันเอง งบลงทุนส่วนใหญ่ของประเทศเอาไปตัดถนน ขุดคลอง ไม่ก็สร้างตึก
3) ได้งบประมาณที่ดูแลคุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม การศึกษา และสวัสดิการที่ทั่วถึงและเพียงพอ ไม่ใช่งบประมาณที่ทำให้การศึกษาไม่ไปไหน การจัดการด้านสิ่งแวดล้อมอยู่ในระดับต่ำ และงบประมาณด้านสวัสดิการซึ่งเป็นงบอุดหนุนรายหัวที่ตั้งขาดและตกหล่นทุกปี
4) ได้เห็นงบประมาณที่โปร่งใส ทั้งเงินในและเงินนอกงบประมาณที่แฝงตัวอยู่ในธุรกิจกองทัพ รัฐวิสาหกิจ และรัฐพาณิชย์ต่างๆ ถูกเปิดเผยให้มีการตรวจสอบ มีการจัดทำงบประมาณจะเป็นแบบรวบยอด มองเห็นข้อมูลทั้งฝั่งรายได้ รายจ่าย และภาระทางการคลังอื่นๆ ของรัฐที่ไม่ได้อยู่ในนิยามของคำว่าหนี้สาธารณะ รวมถึงการมองเห็นข้อมูลตั้งแต่ชั้นคำของบประมาณ
5) ได้เห็นงบประมาณที่ท้องถิ่นมีสัดส่วนรายได้ต่อรัฐส่วนกลางเพิ่มมากขึ้น ผ่านการเร่งรัดการถ่ายโอนภารกิจ ที่งานไปพร้อมกับเงินและเงินไปพร้อมกับคน ส่งเสริมให้ท้องถิ่นเป็นกลไกหลักในการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน และเป็นกลไกเสริมในการพัฒนาเศรษฐกิจร่วมกับรัฐบาล ไม่ใช่งบประมาณที่สัดส่วนรายได้ท้องถิ่นไม่เคยเพิ่ม ไม่เคยเกิน 30% ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อไปว่า ทั้งหมด 5 ข้อนี้ คือ ความล้มเหลวเชิงโครงสร้าง ทั้งระบบงบประมาณที่ล้มเหลว รัฐบาลที่ล้มเหลว ประชาชนจึงได้งบประมาณสูตรเดิม งบประมาณในปีนี้จึงเป็นเพียงแค่การจัดกลุ่มตัวเลขในเอกสารงบประมาณรายจ่ายประจำปี ไม่ใช่การจัดลำดับความสำคัญให้กับประชาชน และตนยืนยันว่าการจัดทำงบประมาณสูตรใหม่นั้นทำได้ แต่การเมืองไทยยังล้มเหลว รัฐบาลสักแต่ตั้งงบเพื่อให้มีงบไปใช้ ไม่ได้คิดตั้งงบเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงใดๆ งบลงทุนส่วนใหญ่ของประเทศจึงยังคงถูกใช้ตัดถนน ขุดคลอง และสร้างตึกอยู่แบบทุกวันนี้ มองไม่เห็นการลงทุนแบบมียุทธศาสตร์เลย
“ประเทศไทยในตอนนี้ไม่ได้ขาดเงิน งบประมาณแผ่นดินปีละ 3.78 ล้านล้านบาท เป็นแค่งบก้อนเดียว แต่ถ้าจะพาประเทศผ่านพ้นวิกฤตไปได้รัฐบาลต้องบริหารเงินแผ่นดินที่ หมายถึง เงินที่อยู่ในหน่วยงานของรัฐทุกหน่วย ทั้ง 1) งบประมาณรายจ่ายประจำปี 3.78 ล้านล้านบาท 2) เงินที่อยู่ในรัฐวิสาหกิจ 4 ล้านล้านบาท หักเงินอุดหนุนจากส่วนกลาง 1.43 แสนล้านบาท เหลือเงินรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นเงินแผ่นดินที่รัฐบาลพอบริหารจัดการได้ 3.86 ล้านล้านบาท 3) งบประมาณรายจ่ายท้องถิ่นทั่วทั้งประเทศ 7.51 แสนล้านบาท บวกกับเงินสะสม อปท. 3.3 แสนล้านบาท หักเงินอุดหนุนจากส่วนกลาง 3.89 แสนล้านบาท เหลือเงินท้องถิ่นซึ่งเป็นเงินแผ่นดินที่รัฐบาลพอบริหารจัดการได้ราว 7 แสนล้านบาท และ 4) ทุนสังคมจากเงินภาคเอกชน ภาคประชาสังคมที่ใช้ในการพัฒนาหลายแสนล้านบาท ทั้งบริษัทพัฒนาเมือง 10 แห่ง รวมถึงธุรกิจเพื่อสังคม”
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า “เมื่อรวมตัวเลข 3 ก้อนแรก รัฐบาลจะมีทรัพยากรในมือถึง 7-8 ล้านล้านบาทต่อปี คิดเป็น 40% ของGDP แต่ปัญหาที่ผ่านมา คือ ไม่มีใครเชื่อมโยงเม็ดเงินเหล่านี้เข้าหากัน รัฐวิสาหกิจต่างคนต่างใช้ ต่างคิด และต่างลงทุนตามลำพัง ท้องถิ่นส่วนใหญ่ใช้งบไปตามหน้าที่ ไม่ได้เชื่อมโยงกับเป้าหมายระดับประเทศ บริษัทพัฒนาเมืองที่มีความพร้อม มีเงิน อยากพัฒนาบ้านเกิดของตัวเองก็ทำไม่ได้เพราะถูกกฎระเบียบภาครัฐกดทับเอาไว้”
นอกจากนี้ รัฐบาลยังสามารถใช้กลไกการจัดซื้อจัดจ้าง เช่น Green Procurement เพื่อใช้เงินแผ่นดินในการเหนี่ยวนำให้เกิดการเปลี่ยนผ่านห่วงโซ่อุปทานในประเทศ มีการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่รักษ์โลกมากขึ้น ใช้ทั้งกลไกการจัดซื้อจัดจ้าง และกลไกในการใช้เงินลงทุน ควรจะครอบคลุมไปถึงรายจ่ายทั้งหมดของหน่วยงานของรัฐ โดยเงินแผ่นดินซึ่งครอบคลุมถึง 40% ของGDP รัฐบาลที่บริหารเป็นย่อมเข้าใจ และรู้จักใช้กลไกนี้ นำมาออกแบบนโยบายที่เปิดกว้างและจูงใจ ให้ทุกคนเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศร่วมกันกัน จูงใจให้ทุกคนร่วมลงทุนไปในทิศทางเดียวกัน และสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนมีเห็นทางออก และมีภารกิจเป้าหมายเดียวกันในการพัฒนาประเทศ
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อไปว่า ประเทศไทยตอนนี้ไม่ใช่ประเทศที่ขาดเงิน แต่ขาดวิธีการใช้เงิน ขาดการลงทุนอย่างมีเป้าหมาย เช่น งบการจัดการน้ำที่รัฐบาลทุ่มงบประมาณลงไปกับ ตลิ่ง เขื่อน คลอง มากกว่าการเพิ่มพื้นที่รับน้ำและการพัฒนาระบบเตือนภัย งบเกษตรที่รัฐบาลเน้นใช้งบประมาณไปกับการเยียวยา แต่ไม่มีการลงทุนเพื่อลดต้นทุนและพัฒนาการเกษตรสมัยใหม่ งบซอฟต์พาวเวอร์กลายเป็นงบจัดอีเวนต์ที่ซ้ำซ้อน ไม่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เช่น เกม ภาพยนตร์ หรือวัฒนธรรมชุมชน งบสิ่งแวดล้อมที่ได้แค่ 4% ต่ำที่สุดในบรรดาทุกยุทธศาสตร์ แถมยังเน้นงานสร้าง-ซ่อมมากกว่าการจัดการเชิงระบบ โดยเฉพาะการฟื้นฟูพื้นที่ที่มีความเสียหายทางสิ่งแวดล้อม หรืองบสวัสดิการคนพิการที่ยังคงตกหล่น กระจัดกระจาย ซ้ำซ้อน และขาดการเข้าถึงอุปกรณ์พื้นฐาน
“นี่คือสิ่งที่ประเทศไทยต้องช่วยกันเปลี่ยน จากวิธีการตั้งงบประมาณแบบเดิมไปสู่การตั้งงบประมาณแบบใหม่ที่ให้ผลทวีคูณ เช่น งบประมาณเพื่อประกันสินเชื่อให้ SMEs สามารถสร้างตัวคูณในระบบเศรษฐกิจได้ถึง 7 เท่า งบช่วยเหลือเกษตรกรเปลี่ยนจากเงินแจกเป็นเงินลงทุนแบบมีเป้าหมาย สนับสนุนเครื่องจักรให้เกษตรกรเฉพาะพื้นที่ เฉพาะพืช เฉพาะช่วงเวลา เพื่อให้เกษตรกรลดการเผา ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และลดโลกร้อน การ Matching Fund กับท้องถิ่นรวมถึง Green Procurement เป็นต้น” นายณัฐพงษ์ กล่าว
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อไปว่า สิ่งที่ประเทศไทยขาดในตอนนี้ไม่ได้ขาดเงิน แต่ขาดวิธีการใช้เงินอย่างคุ้มค่า แม้นายกรัฐมนตรีอาจไม่ได้เป็นคนที่ทำงบประมาณด้วยตัวเอง แต่เป็นคนที่คุมสำนักงบประมาณด้วยตัวเอง เมื่อปล่อยให้ประเทศไทยใช้งบอย่างไร้เป้าหมายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่เคยปรับทิศ ไม่เคยปรับทาง ไม่เคยปรับทีม เราจึงต้องตั้งคำถามว่าประเทศไทยมีคนที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำรัฐบาลอยู่จริงหรือไม่
ในระบบราชการแบบไทยที่กระทรวง ทบวง กรม ทำงานกันแยกฝ่ายแยกส่วน ต่างคนต่างวิ่งงบประมาณ ยิ่งต้องมีผู้นำที่กล้ากำหนดทิศทาง เชื่อมเป้าหมายของประเทศเข้าด้วยกัน กล้าตัดงบที่ไม่จำเป็นออก แต่สิ่งที่เห็นในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 คือสิ่งที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง นายกรัฐมนตรีไม่เคยลงมือปรับ ไม่เคยลงมาดูว่าเป้าหมายที่ตัวเองประกาศไว้ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงาน มีการตั้งงบเข้ามาจริงหรือไม่ ไม่เคยสั่งให้หน่วยงานที่ตั้งเป้าเกินจริงให้กลับปรับทบทวนเป้าหมายให้ถูกต้อง และไม่เคยตัดโครงการที่ซ้ำซ้อน ทับซ้อน ไร้ผลเชิงยุทธศาสตร์
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อไปว่า วันนี้การจัดทำงบประมาณที่ผิดพลาดคือกระจกสะท้อนถึงนายกรัฐมนตรีที่ไม่มีเป้าหมายให้กับประเทศ ในวันแถลงนโยบายนายกรัฐมนตรีประกาศต่อรัฐสภาและประชาชนทั้งประเทศว่าจะปฏิรูประบบราชการให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ แต่วันนี้แค่จัดทำงบประมาณให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่ตัวเองตั้งไว้ยังทำไม่ได้ เราจึงยังเห็นหน้าตาร่างงบประมาณที่เหมือนเดิม โครงการเหมือนเดิม ล้มเหลวเหมือนเดิม ทั้งที่ประเทศไทยในปี 2569 จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
“ในขณะที่รัฐบาลเอาเวลาไปใช้กับการแก้สมการทางการเมืองมากกว่าการแก้งบประมาณให้ประเทศ คนไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตแบบเต็มตัว เมื่อผู้นำไม่กล้าปรับเพื่อเปลี่ยน สุดท้ายคนที่ต้องรับกรรมก็คือประชาชนคนไทยทั้งประเทศ” นายณัฐพงษ์กล่าว
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อไปว่า ผู้ประกอบการท่องเที่ยว โรงแรม ที่เคยเป็นเครื่องยนต์หลักของประเทศตอนนี้รายได้ถดถอย สูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขัน 4 เดือนแรกในปี 2568 มีธุรกิจเลิกกิจการแล้วเกือบ 4,000 ราย เพิ่มขึ้นจากในช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 300 ราย โดยเดือนที่ผ่านมาธุรกิจที่ยกเลิกประกอบกิจการสูงสุด คือ ก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ ร้านอาหาร เป็นกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากหนี้สินครัวเรือนที่พุ่งสูงและการนำเข้าสินค้าถูกเถื่อนเข้าประเทศ ผู้สูงอายุก็เพิ่มขึ้นแต่บ้านพักคนชรายังมีไม่พอ เด็กแรกเกิดที่ขาดโอกาส เบี้ยเด็กก็ยังไม่ได้ถ้วนหน้า คนพิการก็ยังได้รับสวัสดิการที่ไม่ทั่วถึง แรงงานที่ค่าครองชีพสูงขึ้นทุกปีแต่ค่าแรงไม่เคยปรับขึ้น
“ในด้านเศรษฐกิจมหภาค ตัวเลขจากสภาพัฒน์ ฯมีการปรัด GDP ลดลงมาอยู่ที่ 1.3-2.3% ทั้งหมดนี้กระทบต่อรายได้ของรัฐต่อ GDP ในอนาคต กระทบต่อขีดความสามารถในการชำระหนี้ของรัฐบาลในอนาคต ไม่ใช่ว่าประเทศไทยไม่มีเงิน แต่ประเทศไทยไม่มีผู้นำที่รู้จักใช้อำนาจในการที่จะเปลี่ยนงบประมาณที่ล้มเหลว เพื่อไม่ให้ประเทศล้มเหลวไปด้วย”
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ใช่วิกฤตทางการคลัง แต่คือวิกฤตทางการเมือง เป็นวิกฤตของสถาบันรัฐไทยที่เริ่มมีลักษณะเป็นระบบขูดรีด ประเทศที่ล้มเหลวไม่ได้ล้มเพราะขาดเงิน แต่ล้มเพราะชนชั้นนำจงใจรักษาระบบที่ตัวเองได้ประโยชน์ไว้ ไม่เคยปรับเปลี่ยนเพื่ออนาคตของคนส่วนใหญ่และประชาชนในประเทศ ประเทศไทยเดินทางดิ่งลงมาไกลมาก เพียงแค่หนึ่งชั่วอายุคนเท่านั้น จากที่ไทยเคยเกือบจะเป็นเสือตัวที่ห้าตอนนี้เกือบจะเป็นรัฐล้มเหลว หากเรายังคงจัดทำงบประมาณอยู่แบบเดิมที่ไม่เปลี่ยน นายกรัฐมนตรียังทำงานแบบเดิมที่ไม่ปรับ ประเทศไทยจะไม่ใช่แค่ “เกือบ” แต่จะกลับลุกขึ้นมาไม่ได้อีก ถึงแม้วันนี้ประเทศไทยอาจยังไม่ล้มเหลวโดยสมบูรณ์ โครงสร้างรัฐอาจจะยังไม่พัง แต่ความเชื่อมั่นของประชาชนพังไปแล้ว เมื่อโครงสร้างไม่เปลี่ยน คนในอำนาจไม่ปรับ สุดท้ายคนที่รับกรรมคือคนไทยทั้งประเทศ ในเมื่อรัฐบาลคิดเองไม่ได้ สามวันต่อจากนี้ตนและเพื่อนสมาชิกฝ่ายค้านจะมาช่วยชี้ช่องตัด บอกช่องใช้ ช่วยหาเงิน และบอกกลวิธีในการใช้งบประมาณทุกส่วนรวมถึงเงินแผ่นดินทั้งหมด
“เพราะในสถานการณ์ประเทศที่วิกฤตที่สุด เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว มีสงครามการค้าเข้ามากระทบ ส่งออกติดลบ ราคาสินค้าทางการเกษตรมีปัญหา ในฐานะที่พวกผมเป็นผู้แทนราษฎรในวันนี้ จึงไม่ใช่การอภิปรายเพื่อวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลที่ล้มเหลวอยู่แล้ว ให้ล้มเหลวมากยิ่งขึ้น แต่คือการทำหน้าที่อภิปราย เพื่อยืนยันกับประชาชนทั้งประเทศว่าประชาชนยังมีความหวัง ประเทศไทยยังมีทางออก ลูกหลานไทยยังมีอนาคต ความหวังของประเทศนี้คือรัฐบาลที่รู้จักใช้อำนาจ ไม่ใช่รัฐบาลที่แสวงหาอำนาจ คือกลไกทางการเมืองในระบบรัฐสภาและนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ที่พวกผมจะช่วยกันปกป้องไม่ให้ประเทศล้มเหลว รัฐสภานี้ต้องเป็นสถาบันที่ปกป้องประเทศนี้ไว้ อนาคตของลูกหลานคือข้อเสนอที่พวกผมที่จะอภิปรายเสนอไปยังคณะรัฐมนตรีทุกท่านในวันนี้” นายณัฐพงษ์กล่าว