ThaiPublica > ประเด็นร้อน > Research Reports > Krungthai Compass > ส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรอาจหดตัวจากผลของสงครามการค้า เสี่ยงกระทบ SMEs

ส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรอาจหดตัวจากผลของสงครามการค้า เสี่ยงกระทบ SMEs

16 พฤษภาคม 2025


ส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร Q1/2568 ขยายตัวชะลอลงคาดส่งออกในปี 2568 อาจหดตัวจากผลของสงครามการค้า เสี่ยงกระทบ SMEs


……

  • มูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 อยู่ที่ 11,957 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 4.0 แสนล้านบาท) ขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ 0.2%YoY หลังจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 7.2%YoY โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ยางพารา ไก่ อาหารสัตว์เลี้ยง อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป และสิ่งปรุงรสอาหาร ส่วนสินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง และน้ำตาลทราย
  • สำหรับสินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ ยางพารา (32.4%YoY) และอาหารสัตว์เลี้ยง (13.3%YoY) ได้รับผลบวกจากการเร่งนำเข้าก่อนที่สหรัฐฯ ประกาศมาตรการภาษีตอบโต้ ส่วนอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป (2.0%YoY) ได้รับผลบวกจากเร่งกักตุนจากความกังวลต่อสงครามการค้าเนื่องจากเป็นสินค้าโปรตีนราคาถูกที่เก็บได้นาน
  • Krungthai COMPASS มองว่า ในปี 2568 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของไทยมีแนวโน้มจะหดตัว จาก 3 ปัจจัยกดดันที่สำคัญ ได้แก่ 1.มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ รวมทั้งยังต้องติดตามสถานการณ์ที่ไทยถูกกดดันให้เปิดตลาดนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารจากสหรัฐฯ มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs 2.ต้นทุนค่าจ้างแรงงานที่ปรับเพิ่มขึ้นและต้นทุนการดำเนินงานของผู้ประกอบการจากมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศคู่ค้า และ 3.การแข่งขันในตลาดส่งออกที่อาจทวีความรุนแรง เนื่องจากอุปทานสินค้าเกษตรในตลาดโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามสภาพอากาศที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ
  • ……

    การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในไตรมาส 1 ปี 2568 ขยายตัวชะลอลง

    ภาพรวมการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ 0.2%YoY เทียบกับไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 7.2%YoY โดยการส่งออกไปสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 10% และ 8% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวต่อเนื่องที่ 18.1%YoY และ 11.9%YoY ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกไปจีน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 24% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรพลิกกลับมาขยายตัว 7.0%YoY จากการที่จีนเร่งนำเข้าก่อนที่สหรัฐฯ ประกาศมาตรการภาษีตอบโต้ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่เป็นห่วงโซ่การผลิตของจีน เช่น ยางพารา

    อย่างไรก็ดี การส่งออกไปอาเซียน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 23% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรหดตัวถึง -10.2%YoY ส่วนหนึ่งจากฐานที่สูงในปีก่อนในกลุ่มสินค้าหลักอย่างข้าว และการกลับมาส่งออกข้าวของอินเดียเมื่อเดือน ก.ย.2567

    ในรายละเอียด หมวดสินค้าเกษตรพลิกกลับมาหดตัวที่ -1.4%YoY (สัดส่วนราว 55% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร) โดยกลุ่มสินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ ข้าว (-30.4%YoY) ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากฐานที่สูงในปีก่อน และการกลับมาส่งออกข้าวของอินเดีย และมันสำปะหลัง (-13.4%YoY) ที่ลดลงเนื่องจากเผชิญการแข่งขันกับราคาข้าวโพดจีน (สินค้าทดแทน) ส่วนกลุ่มสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ยางพารา (32.4%YoY) จากการที่จีนเร่งนำเข้าก่อนที่สหรัฐฯ ประกาศมาตรการภาษีตอบโต้

    ด้านหมวดสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวต่อเนื่องที่ 2%YoY (สัดส่วนราว 45%) โดยกลุ่มสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ อาหารสัตว์เลี้ยง (13.3%YoY) จากความต้องการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในตลาดสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป (2 %YoY) เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากความกังวลต่อสงครามการค้า ขณะที่สินค้าที่หดตัว ได้แก่ น้ำตาลทราย (-0.7%YoY) เนื่องจากราคาส่งออกที่ปรับลดลงตามตลาดโลก และปริมาณส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งในปีก่อนที่ทำให้ผลผลิตอ้อยลดลง

    สถานการณ์การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในกลุ่มสินค้าสำคัญ

    การส่งออกข้าวไตรมาส 1 หดตัวต่อเนื่อง มูลค่าการส่งออกข้าวไตรมาสที่ 1 ปี 2568 หดตัว -30.4%YoY จากปริมาณการส่งออกข้าวโดยรวมที่หดตัว -28.0%YoY โดยมูลค่าการส่งออกข้าวขาว 5% (คิดเป็นสัดส่วน 13%ของมูลค่าส่งออกข้าวรวม) หดตัวถึง -74.5%YoY จากปริมาณการส่งออกที่หดตัว -68.2%YoY และราคาส่งออกที่ปรับลดลง -29.4%YoY จากการยกเลิกนโยบายจำกัดการส่งออกข้าวของอินเดีย ขณะที่มูลค่าการส่งออกข้าวหอมมะลิ (คิดเป็นสัดส่วน 33%ของมูลค่าส่งออกข้าวรวม) ยังสามารถขยายตัวได้ที่ 16.9%YoY จากราคาส่งออกข้าวหอมมะลิที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 11.3%YoY ประกอบกับปริมาณการส่งออกขยายตัว 7.0%YoY จากฐานที่ต่ำในปี 2567

  • มูลค่าการส่งออกยางพาราไตรมาส 1 ยังขยายตัวต่อเนื่อง

  • มูลค่าการส่งออกยางแผ่นและยางแท่งไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ขยายตัว 30.6%YoY จากราคาส่งออกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 32.5%YoY แต่ปริมาณการส่งออกหดตัว -1.5%YoY จากปริมาณการส่งออกยางแผ่นและยางแท่งไปสหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 12% ของการส่งออกยางแผ่นและยางแท่งทั้งหมดของไทยหดตัว -13.5%YoY ส่วนหนึ่งจากฐานที่สูงในปีก่อน ขณะที่ปริมาณการส่งออกยางแผ่นและยางแท่งไปจีนขยายตัว 24.6%YoY จากการเร่งนำเข้ายางแผ่นและยางแท่งเพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตยางล้อและชิ้นส่วนรถยนต์ไปสหรัฐฯ

    มูลค่าการส่งออกน้ำยางข้นไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ขยายตัว 38.9%YoY จากราคาส่งออกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 24.8%YoY และปริมาณการส่งออกขยายตัว 11.3%YoY โดยปริมาณการส่งออกน้ำยางข้นไปจีน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 25% ของการส่งออกน้ำยางข้นทั้งหมดของไทยขยายตัวถึง 63.6%YoY เนื่องจากจีนเร่งนำเข้าน้ำยางข้นเพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตถุงมือยางเพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ ก่อนที่สหรัฐฯ ประกาศมาตรการภาษีตอบโต้

  • มูลค่าส่งออกมันสำปะหลังไตรมาส 1 หดตัวต่อเนื่อง

  • มูลค่าส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังทั้งหมดในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 อยู่ที่ 810 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัว -13%YoY โดยมูลค่าส่งออกมันเส้นและมันอัดเม็ดอยู่ที่ 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 6,735 ล้านบาท) ขยายตัว 18%YoY ในแง่ปริมาณขยายตัวถึง 60%YoY เพราะฐานที่ต่ำในปีก่อน อีกทั้งคู่ค้าจีนกลับมานำเข้ามันเส้นและมันอัดเม็ดจากไทยอีกครั้งหลังจากราคาส่งออกเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น สะท้อนจากราคาส่งออกในช่วงไตรมาส 1 ปี 2568 ที่อยู่ในกรอบแคบราว 180-190 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ขณะที่ไตรมาส 4 ปี 2567 ราคาส่งออกลดลงต่อเนื่องจาก 235 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ในเดือนต.ค. 2567 เป็น 190 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ในเดือนธ.ค. 2567 ด้านราคาส่งออกมันเส้นและมันอัดเม็ดหดตัว -26%YoY เนื่องจากโรงงานผลิตแอลกอฮอล์ในจีนหันมาใช้ข้าวโพดที่มีราคาถูกกว่า

    ส่วนมูลค่าส่งออกแป้งมันสำปะหลังอยู่ที่ 595 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 20,134 ล้านบาท) หดตัว -21%YoY โดยในแง่ปริมาณขยายตัว 0.5%YoY แต่ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลังหดตัว-22%YoY เนื่องจากเผชิญการแข่งขันกับราคาแป้งข้าวโพดจีนที่มีราคาถูกกว่ามาก

  • การส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้งไตรมาส 1 กลับมาหดตัว
  • มูลค่าการส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้งไตรมาสที่ 1 ปี 2568 กลับมาหดตัวที่ -1.5%YoY จากการส่งออกไปจีนซึ่งเป็นตลาดหลักหดตัว -3.8%YoY1 โดยมูลค่าการส่งออกมังคุดหดตัวถึง -96.3%YoY เนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวนในช่วงต้นปี 2568 ทำให้ผลผลิตมังคุดออกสู่ตลาดล่าช้ากว่าปกติ ประกอบกับราคามังคุดที่ตกต่ำ ทำให้เกษตรกรบางส่วนหันไปเพาะปลูกทุเรียนและพืชอื่นแทนมังคุด ส่งผลให้ปริมาณมังคุดเพื่อส่งออกลดลง อย่างไรก็ดี มูลค่าการส่งออกทุเรียนและลำไยขยายตัวต่อเนื่องที่ 8.5%YoY2 และ 25.0%YoY ตามลำดับ จากความต้องการบริโภคผลไม้เมืองร้อนของชาวจีนยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

    การส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูปไตรมาส 1 ขยายตัวต่อเนื่องจากความต้องการนำเข้าของตลาดส่งออกหลักที่เพิ่มขึ้น

    ภาพรวมมูลค่าการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูปไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ขยายตัว 8.8%YoY โดยเฉพาะไก่แปรรูปขยายตัว 8.6%YoY3 จากตลาดส่งออกหลักอย่างสหภาพยุโรปที่ขยายตัว 22.3%YoY เพราะความต้องการนำเข้าไก่แปรรูปที่เพิ่มขึ้นตามการเติบโตของการท่องเที่ยวและธุรกิจร้านอาหารเช่นเดียวกับการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งที่ยังขยายตัว 9.4%YoY จากการส่งออกไปญี่ปุ่นและจีนเพิ่มขึ้น 13.6%YoY และ 10.4%YoY ตามลำดับ เพื่อทดแทนไก่เนื้อในญี่ปุ่นและจีนจากการระบาดของโรคไข้หวัดนก

    ทิศทางการส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญในปี 2568-2569

    ข้าว

  • ในปี 2568 คาดว่า ภาพรวมมูลค่าส่งออกข้าวไทยจะอยู่ที่ราว 3.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือลดลง -42%YoY จากปริมาณการส่งออกข้าวที่ลดลงมาอยู่ที่ราว 7.8 ล้านตัน หรือลดลง -21%YoY จากการยกเลิกนโยบายควบคุมการส่งออกข้าวของอินเดียที่ทำให้อานิสงส์จากการที่ผู้นำเข้าข้าวหันมานำข้าวไทยทดแทนอินเดียหมดลง และส่งผลให้ราคาข้าวในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับลดลง โดยคาดว่าราคาส่งออกข้าวขาว 5% เฉลี่ยของไทยจะอยู่ที่ 410-430 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน หรือลดลงราว 26-30%YoY ทำให้ผู้ประกอบการมีความเสี่ยงขาดทุนสต็อก ประกอบกับยังต้องติดตามปัญหาต้นทุนค่าขนส่งที่จะยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งเป็นผล
  • กระทบจากปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ นอกจากนี้มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ อาจทำให้การส่งออกข้าวไทยในปี 2568 ขยายตัวต่ำกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากผู้นำเข้าสหรัฐฯ อาจเลือกนำเข้าข้าวจากเวียดนามแทน แม้ว่าจะถูกเก็บภาษีในระดับสูงเช่นกัน แต่ราคายังต่ำกว่าไทย ส่งผลให้ข้าวไทยเสียเปรียบด้านราคา ทั้งนี้ สหรัฐฯ เป็นตลาดหลักของข้าวหอมมะลิไทย โดยในปี 2567 ไทยส่งออกข้าวหอมมะลิไปยังสหรัฐฯ ประมาณ 0.63 ล้านตัน หรือคิดเป็น 44% ของการส่งออกข้าวหอมมะลิทั้งหมด ซึ่งทั้งหมดนี้อาจกระทบความ
    สามารถในการทำกำไรของอุตสาหกรรมข้าว

  • ส่วนในปี 2569 คาดว่า มูลค่าส่งออกข้าวไทยจะอยู่ที่ราว 3.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือลดลงต่อเนื่องที่ -6%YoY โดยในแง่ปริมาณการส่งออกข้าวอยู่ที่ราว 7.6 ล้านตัน หรือลดลง -3%YoY จากแรงกดดันจากการแข่งขันด้านราคาที่ต่ำกว่าของประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนาม และจุดขายของสายพันธุ์ข้าวไทยเริ่มไม่เป็นจุดแข็งในการส่งออก เนื่องจากข้าวพันธุ์พื้นนุ่มของเวียดนามมีราคาถูกและรสชาติดีกว่า ซึ่งโดยรวมปริมาณการส่งออกข้าวทั้ง 2 ปีนับว่าอยู่ในระดับต่ำหากเทียบกับในช่วงปี 2557-2561 หรือปี 2567 ที่เคยส่งออกได้เฉลี่ยปีละ 9-10 ล้านตัน
  • ยางพารา

  • แม้ว่ามูลค่าการส่งออกยางแผ่นยางแท่ง และน้ำยางข้นไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ขยายตัวสูงถึง 30.6%YoY และ 38.9%YoY ตามลำดับ จากการเร่งส่งออกก่อนที่สหรัฐฯ จะประกาศมาตรการภาษีตอบโต้เป็นสำคัญ แต่ในช่วงที่เหลือของปีจะมีความเสี่ยงจากมาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกยางพาราของไทยที่เป็นห่วงโซ่การผลิตของจีน โดยคาดว่า ในปี 2568-2569 มูลค่าการส่งออกยางแผ่นและยางแท่งจะอยู่ที่ 3.64 และ 3.35 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือหดตัว -9.3%YoY และ -8.0%YoY ตามลำดับ จากราคาส่งออกยางแผ่นและยางแท่งมีแนวโน้มลดลง -4.3%YoY และ -3.2%YoY ตามลำดับ จากปริมาณผลผลิตยางพาราโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปัญหาสภาพอากาศแปรปรวนที่คลี่คลาย ส่วนปริมาณการส่งออกยางแผ่นและยางแท่งคาดว่าจะหดตัว -5.1%YoY และ -5.0%YoY ตามลำดับจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าหลักอย่างจีน และผลกระทบของสงครามการค้า ซึ่งจะทำให้ความต้องการใช้ยางแผ่นและยางแท่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตมีแนวโน้มลดลง
  • ในปี 2568-2569 คาดว่า มูลค่าการส่งออกน้ำยางข้นจะอยู่ที่ 0.90 และ 0.86 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามลำดับ หรือหดตัว -4.9%YoY และ -3.7%YoY ตามลำดับ จากราคาส่งออกน้ำยางข้นมีแนวโน้มลดลง -3.1%YoY และ-2.2%YoY ตามลำดับ จากปริมาณผลผลิตยางพาราโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ปริมาณการส่งออกคาดว่าจะหดตัว -1.8%YoY และ -1.6%YoY ตามลำดับ จากความต้องการใช้น้ำยางข้นเพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตถุงมือยางของจีนไปสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลง จากแรงกดดันของสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้น
  • มันสำปะหลัง

  • ในปี 2568-2569 ผลผลิตมันสำปะหลังคาดว่าจะกลับมาขยายตัวได้ จากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก อีกทั้งการควบคุมการระบาดของโรคใบด่างให้อยู่ในวงจำกัดมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การส่งออกต้องเผชิญปัจจัยกดดันจากการแข่งขันด้านราคากับราคาข้าวโพดในจีนที่มีราคาถูกกว่า เนื่องจากผลผลิตข้าวโพดในจีนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
  • จากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น คาดว่า ในปี 2568 มูลค่าส่งออกมันเส้นและมันอัดเม็ดจะอยู่ที่ราว 429 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือหดตัว -10%YoY เพราะราคาส่งออกที่ลดลงถึง -25%YoY ตามทิศทางราคาข้าวโพดในตลาดจีนที่ลดลงมาก แม้ปริมาณส่งออกจะขยายตัว 15%YoY (ขยายตัวสูงจากฐานที่ต่ำในปี 2567) ส่วนในปี 2569 คาดว่า มูลค่าส่งออกมันเส้นและมันอัดเม็ดจะอยู่ที่ 449 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือขยายตัว 4%YoY เพราะราคาส่งออกจะลดลง -5%YoY แต่ปริมาณส่งออกจะขยายตัวได้ 10%YoY แต่คาดว่ามูลค่าส่งออกในปี 2568-69 จะเป็นระดับที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยปี 2563-2567 ซึ่งอยู่ที่ราว 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
  • ส่วนมูลค่าส่งออกแป้งมันสำปะหลังในปี 2568 จะอยู่ที่ราว 2,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือหดตัว -15%YoY ซึ่งเป็นผลจากราคาส่งออกที่ลดลงถึง -20%YoY แม้ปริมาณส่งออกจะขยายตัว 6%YoY และในปี 2569 คาดว่ามูลค่าส่งออกแป้งมันสำปะหลังจะอยู่ที่ 2,173 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือหดตัว -1%YoY โดยราคาส่งออกจะลดลง -5%YoY แม้ปริมาณส่งออกจะขยายตัว 4%YoY
  • ยังคงต้องติดตามผลกระทบหากเศรษฐกิจจีนชะลอตัวจากการที่ถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีตอบโต้ ก็อาจทำให้ความต้องการใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมต่อเนื่องในจีนลดลง ทำให้การส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไปจีนต่ำกว่าที่คาดไว้
  • ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง

  • ในปี 2568-2569 คาดว่า มูลค่าการส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้งจะอยู่ที่ 7.0 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และ 7.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือขยายตัว 7.7%YoY และ 9.4%YoY ตามลำดับ โดยมีปัจจัยสนับสนุนมาจากปริมาณผลผลิตผลไม้ของไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศและปริมาณน้ำที่เอื้ออำนวย ประกอบกับความต้องการบริโภคผลไม้เมืองร้อนของชาวจีนยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
  • อย่างไรก็ดี การส่งออกผลไม้ของไทยไปจีนเผชิญปัจจัยท้าทายเกี่ยวกับมาตรฐานควบคุมการปนเปื้อนสารห้ามใช้ในทุเรียนสดที่ส่งออกไปจีนมีความเข้มงวดมากขึ้น โดยทางการจีนกำหนดมาตรการให้ทุเรียนที่ส่งออกจากไทยไปจีนจะต้องมีเอกสารรับรองการตรวจวิเคราะห์สาร Basic Yellow 2 และแคดเมียม ซึ่งหากพบสารต้องห้ามจะระงับการนำเข้าทันที โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ม.ค. 2568 นอกจากนี้ การส่งออกผลไม้ของไทยไปจีนอาจได้รับผลกระทบทางอ้อมจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่ถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีตอบโต้สูงถึง 145% ซึ่งอาจทำให้ความต้องการนำเข้าผลไม้เพื่อบริโภคมีแนวโน้มลดลง

    ไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูป

  • ในปี 2568-2569 คาดว่า มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 4,528 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และ 4,844 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือขยายตัว 5.0%YoY และ 7.0%YoY ตามลำดับ และปริมาณการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูปจะอยู่ที่ 1.17 ล้านตัน และ 1.20 ล้านตัน หรือขยายตัว 2.4%YoY และ 2.7%YoY ตามลำดับ เนื่องจากการส่งออกไปยังสหภาพยุโรปมีทิศทางฟื้นตัว ตามการเติบโตของการท่องเที่ยวและธุรกิจร้านอาหาร ส่งผลให้ความต้องการนำเข้าไก่แปรรูปเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับการส่งออกไก่ แปรรูปของไทยไปญี่ปุ่นที่ยังขยายตัวตามพฤติกรรมของผู้บริโภคในญี่ปุ่นที่นิยมบริโภคอาหารพร้อมทาน
  • รวมทั้งการระบาดของไข้หวัดนกในญี่ปุ่นและสหภาพยุโรปจะช่วยหนุนการนำเข้าไก่เนื้อของไทยเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการไทยอาจต้องเผชิญการแข่งขันกับบราซิล ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกไก่รายใหญ่ของโลกที่มีความได้เปรียบจากการเป็นผู้ผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และกากถั่วเหลืองรายใหญ่ทำให้มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าไทย

    ขณะที่การส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งจะยังได้รับผลดีจากการระบาดของโรคไข้หวัดนกในจีน อีกทั้งยังได้รับผลดีจากการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ในจีนและเวียดนาม ทำให้มีการนำเข้าไก่เนื้อเพื่อทดแทนสุกรมากขึ้น อีกทั้งยังได้รับผลดีจากทางการจีนรับรองโรงงานผลิตและแปรรูปไก่แช่แข็งไทยเพิ่มอีก 3 โรง จากเดิมที่ได้รับการรับรองและส่งออกแล้ว 23 โรงงาน รวมเป็น 26 โรงงาน รวมถึงยังต้องติดตามการที่จีนตอบโต้สหรัฐฯ โดยตั้งภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ สูงขึ้น อาจเปิดโอกาสให้ไทยเข้าไปขยายส่วนแบ่งตลาดไก่ในจีน เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นผู้ส่งออกไก่ไปยังจีนเป็นลำดับที่ 2 รองจากบราซิล

    สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไทยที่อาจได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ

    สินค้าที่เข้าข่ายได้รับผลกระทบโดยตรง และมีความเปราะบางเนื่องจากส่วนใหญ่เป็น SMEs เช่น อาหารสัตว์เลี้ยง สิ่งปรุงรสอาหาร ปลาสดแช่เย็นแช่แข็ง ข้าว และกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูป นอกจากนี้ สินค้าที่อาจได้รับผลกระทบทางอ้อมจากการพึ่งพาตลาดจีนสูง เช่น ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง รวมถึงสินค้าที่เป็นห่วงโซ่การผลิตของจีน เช่น ยางพารา

    มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ อาจกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของไทย

    Krungthai COMPASS มองว่า มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ จะกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของไทย โดยประเมินกลุ่มสินค้าที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจาก 2 เกณฑ์ ได้แก่ สัดส่วนการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และสัดส่วนของผู้ประกอบการ SMEs พบว่า สินค้าที่เข้าข่ายได้รับผลกระทบโดยตรงสูงจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ เช่น อาหารสัตว์เลี้ยง สิ่งปรุงรสอาหาร ข้าวปลาสดแช่เย็นแช่แข็ง และกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูป เนื่องจากในปี 2567 ไทยส่งออกสินค้าเหล่านี้ไปสหรัฐฯ สูงถึงราว 11%-29% ของการส่งออกสินค้าเหล่านี้ทั้งหมด ซึ่งสูงกว่าภาพรวมสัดส่วนการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของไทยไปสหรัฐฯ ในปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ 10.2% และส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการรายกลางและรายย่อย

    นอกจากนี้ สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของไทยที่ยังต้องจับตาเพิ่มเติม เพราะอาจได้รับผลกระทบทางอ้อมจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ได้แก่ สินค้าที่มีการพึ่งพาตลาดจีนเป็นหลัก เช่น ผักและผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็ง และมันสำปะหลัง รวมถึงสินค้าที่เป็นห่วงโซ่การผลิตของจีน เช่น ยางพารา ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากความต้องการนำเข้ายางพาราเพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตของจีนมีแนวโน้มลดลง

    Krungthai COMPASS คาดการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในปี 2568 มีแนวโน้มหดตัว โดยมี 3 ปัจจัยกดดันที่ต้องติดตามใกล้ชิด ดังนี้

    1. มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ จะกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของไทย โดยเฉพาะสินค้าที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ สูง รวมถึงสินค้าที่พึ่งพาตลาดจีนสูง และสินค้าที่เป็นห่วงโซ่การผลิตของจีน อาจได้รับผลกระทบทางอ้อมจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่ถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าสูง นอกจากนี้ ยังต้องติดตามหากไทยเปิดตลาดนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารจากสหรัฐฯ มากขึ้น เช่น เนื้อสัตว์ ถั่วเหลือง และผลไม้ เป็นต้น ซึ่งอาจทำให้ความสามารถในการผลิตและการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยลดลง โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ที่มีข้อจำกัดในการแข่งขัน และมี Margin ต่ำ

    2. ต้นทุนค่าจ้างแรงงานที่ปรับเพิ่มขึ้นกดดันอัตรากำไรของผู้ประกอบการสินค้าเกษตรและอาหาร โดยยังต้องติดตามการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำรอบใหม่ทั่วประเทศเป็น 400 บาทต่อวันในเดือน พ.ค. 2568 ซึ่งอาจกระทบต่อผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ในกลุ่มสินค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้นอย่างอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง เป็นต้นและมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศคู่ค้ากระทบต้นทุนการดำเนินงานของธุรกิจ เช่น กฎหมายที่ห้ามนำเข้าหรือส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำลายป่าไม้เข้าสู่ตลาดของสหภาพยุโรป (EU Deforestation-free products: EUDR) ที่จะมีผลบังคับใช้จริงตั้งแต่ 30 ธ.ค. 2568 สำหรับบริษัทขนาดใหญ่ และ 30 มิ.ย. 2569 สำหรับบริษัท SMEs ซึ่งอาจทำให้ผู้ประกอบการไทยมีต้นทุนจากการดำเนินการตาม EUDR ที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มยางพารา และปาล์มน้ำมัน

    3. การแข่งขันในตลาดส่งออกทวีความรุนแรง เนื่องจากอุปทานสินค้าเกษตรในตลาดโลกเพิ่มขึ้นตามสภาพอากาศที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ทำให้ผลผลิตสินค้าเกษตรในหลายประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย ส่งผลให้ความกังวลเกี่ยวกับปัญหาความมั่นคงทางอาหารของหลายประเทศบรรเทาลง ตัวอย่างเช่น การที่อินเดียประกาศยกเลิกนโยบายจำกัดการส่งออกข้าว หลังจากประเมินว่าผลผลิตภายในประเทศมีเพียงพอต่อการบริโภคในประเทศ จากสภาพอากาศที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ เช่นเดียวกับฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียที่มีนโยบายชะลอการนำเข้าข้าว เนื่องจากความกังวลด้านความมั่นคงทางอาหารที่บรรเทาลง จากผลผลิตในประเทศที่เพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงนโยบายดังกล่าวส่งผลให้ความต้องการนำเข้าข้าวในตลาดโลกลดลง ขณะที่อุปทานข้าวในตลาดโลกเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจกลายเป็นปัจจัยที่กดดันราคาข้าวตลาดโลกในอนาคต