สุนิสา กาญจนกุล รายงาน
เป็นเรื่องที่ต้องยอมรับว่าในบางด้านนั้น ความสามารถของเราไม่อาจเทียบชั้นเอไอได้เลย จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่บางตำแหน่งงานจะหดหายไปเพราะโดนเอไอแย่งชิง
โดยผลสำรวจของสภาเศรษฐกิจโลกแสดงให้เห็นว่า นายจ้างทั่วโลกจำนวนมากถึง 41% ตั้งใจจะลดจำนวนพนักงานของตนลงเพราะสามารถใช้เอไอทดแทนได้ และคาดการณ์ว่าเมื่อถึงปี 2030 ปริมาณงานที่ทำด้วยฝีมือมนุษย์ล้วนๆ จะลดลงจาก 47 % ในปัจจุบัน เหลือเพียง 34 % เท่านั้น และงานที่ทำร่วมกันระหว่างมนุษย์และระบบอัตโนมัติจะเพิ่มเป็น 33 %
แต่ถึงแม้เอไอจะได้รับคำสรรเสริญเยินยอในเรื่องความสามารถ แต่ผู้ที่ใช้งานเอไออยู่เป็นประจำคงเคยพบเจอคำตอบแสนประหลาดหรือความผิดพลาดที่ไม่น่าเชื่อจากเอไอมาแล้ว
ตัวอย่างเช่น ขอให้แปลข้อความเป็นภาษาไทย แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับกลายเป็นภาษาจีน หรือเมื่อสอบถามประวัติบางคน กลับได้คำตอบที่มีการเสริมแต่งชนิดที่เรียกได้ว่าออกทะเลไปไกล และที่ถูกล้อเลียนอยู่เป็นประจำก็คือ การสร้างภาพมนุษย์ที่มีจำนวนนิ้วมือนิ้วเท้ามากหรือน้อยเกินความเป็นจริง
ปัญหานี้เองเป็นที่มาของงานฝึกฝนเอไอ ตลอดจนตรวจสอบ ปรับปรุง และแก้ไขคำตอบที่ผิดพลาดของเอไอ ที่นับวันจะทวีความต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ จนมีบริษัทมากมายที่เปิดให้บริการด้านนี้ และกลายเป็นอาชีพเสริมที่สร้างรายได้น่าพอใจให้กับผู้คนจำนวนมาก
ส่งผลให้มูลค่าตลาดชุดข้อมูลฝึกอบรมเอไอทั่วโลกมีการขยายตัวจากเดิม และเติบโตจาก2.92 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2024 จนคาดว่าจะมีมูลค่าถึง 3.59 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2025 นี้

เอไอแย่งงานมนุษย์
เป็นเรื่องจริงที่เอไอเข้ามาแย่งงานหลายประเภทไปจากมนุษย์ หลายบริษัทที่นำเอไอมาใช้ในการทำงาน มีความเห็นตรงกันว่า เอไอเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยลดต้นทุน และประหยัดค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี
รายงานอนาคตของการจ้างงานประจำปี 2025 (The Future of Jobs Report 2025) โดยสภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงทางประชากร และการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ล้วนแต่เป็นปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะกำหนดรูปร่างและเปลี่ยนแปลงตลาดแรงงานโลก ในช่วง 5 ปีข้างหน้า
โดยรายงานฉบับนี้เป็นการรวบรวมมุมมองของนายจ้างมากกว่า 1,000 ราย ซึ่งเป็นตัวแทนของคนงานมากกว่า 14 ล้านคน จาก 22 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 55 เขตเศรษฐกิจทั่วโลก เพื่อตรวจสอบว่าปัจจัยต่างๆ เหล่านั้นจะส่งผลต่องานและทักษะอย่างไร รวมถึงพิจารณาว่านายจ้างวางแผนจะดำเนินการอย่างไรบ้างในช่วงเวลาตั้งแต่ปี 2025 จนถึงปี 2030 เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆ
ความคิดเห็นน่าสนใจเกี่ยวกับเอไอที่ปรากฏอยู่ในรายงานก็คือ 41 % ของธุรกิจทั่วโลกวางแผนที่จะลดจำนวนพนักงานลงเนื่องจากมีการนำเอไอมาใช้ และ 50 % ของพนักงานทั่วโลกจะต้องได้รับการฝึกอบรมทักษะใหม่เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากจากเอไอ
รายงานของสภาเศรษฐกิจโลกยังคาดการณ์ว่าเมื่อถึงปี 2030 ปริมาณงานที่ทำด้วยฝีมือมนุษย์ล้วนๆ จะลดลงจาก 47 % ในปัจจุบัน เหลือเพียง 34 % และงานที่ทำร่วมกันระหว่างมนุษย์และระบบอัตโนมัติจะเพิ่มขึ้นเป็น 33 %
อีกทั้งผลการสำรวจที่รวบรวมจากบริษัทขนาดใหญ่หลายร้อยแห่งทั่วโลกฉบับนี้ยังแสดงให้เห็นด้วยว่า 77 % ของบริษัทเหล่านั้นกำลังวางแผนที่จะฝึกทักษะใหม่และเพิ่มทักษะให้กับพนักงานที่มีอยู่เพื่อให้ทำงานร่วมกับเอไอได้ดีขึ้นกว่าเดิม
เอไอใช่ว่าจะไม่มีข้อผิดพลาด
แม้ว่าเทคโนโลยีเอไอจะมีพัฒนาการอย่างรวดเร็วจนน่าตื่นตะลึง แต่ก็ยังมีข้อจำกัดและข้อบกพร่องมากมายที่สามารถพบได้บ่อยๆ ซึ่งผู้ให้บริการเอไอก็ตระหนักดีว่าความผิดพลาดของเอไอนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เสมอ จนต้องมีคำเตือนแจ้งไว้ท้ายคำตอบทุกครั้ง เช่น เอไอสามารถทำผิดพลาดได้ โปรดตรวจสอบคำตอบซ้ำอีกครั้ง
ความผิดพลาดที่พบได้บ่อยของเอไอนั้นมีอยู่หลากหลายประเภท หนึ่งในสถานการณ์ที่พบได้บ่อยๆ เมื่อใช้งานเอไอคือการแสดงข้อมูลที่ไม่มีอยู่จริง (Hallucination) หรือที่เรียกกันว่าอาการหลอนของเอไอ โดยเอไอสร้างข้อมูลเท็จขึ้นมาเองหรืออ้างอิงเนื้อหาที่ไม่มีอยู่จริง เช่น บทความวิชาการหรือหนังสือที่ไม่เคยตีพิมพ์
ขณะเดียวกัน เอไออาจแสดงความลำเอียงหรือมีอคติทางวัฒนธรรม เพศ เชื้อชาติ หรืออื่นๆ ได้ เนื่องจากชุดข้อมูลที่ใช้ในการฝึกฝนเอไอไม่หลากหลายหรือไม่ครอบคลุมมากพอ ทำให้เอไอนำเสนอมุมมองที่เอนเอียงไปทางใดทางหนึ่ง ตัวอย่างเช่น ระบบตรวจจับที่ใช้เอไอมักจะจดจำคนผิวสีหรือเพศหญิงได้แม่นยำน้อยกว่าคนผิวขาวหรือเพศชาย
ไม่เพียงเท่านั้น บางครั้งเอไอก็ขาดความเข้าใจเรื่องบริบทและสามัญสำนึก โดยเอไออาจไม่เข้าใจข้อความที่มีนัยแอบแฝง เช่น การประชดประชัน หรือการเปรียบเปรย ทำให้เอไอตีความคำถามผิดไปจากที่ผู้ใช้งานตั้งใจ จนตอบสนองด้วยการให้คำแนะนำที่ไม่เหมาะสม
และถึงแม้จะได้รับคำสรรเสริญว่าชาญฉลาด แต่บ่อยครั้งความผิดพลาดก็ยังปรากฏให้เห็นในการคำนวณของเอไอ ทำให้ได้ผลลัพธ์ทางคณิตศาสตร์ที่ไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะถ้าเป็นโจทย์ที่ซับซ้อน
นอกจากนั้น บางครั้งคุณภาพของคำตอบเอไอยังขาดความสม่ำเสมอ คำถามเดียวกันแต่กลับให้คำตอบที่แตกต่างกัน หรือมีลำดับความคิดที่ไม่ต่อเนื่องหรือขัดแย้งกันเอง
เมื่อนับรวมข้อบกพร่องจุกจิกอื่นๆ อีกหลายอย่างในการทำงานของเอไอ จะเห็นได้ว่าเอไอยังมีข้อผิดพลาดอีกมากที่ต้องมีการปรับแต่ง แก้ไขและพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิม
ประตูหนึ่งปิด อีกประตูหนึ่งเปิด
เมื่อเทคโนโลยีเอไอก้าวหน้ามากขึ้นและแพร่หลายมากขึ้น จนผู้คนจำนวนมากหันไปพึ่งพาเอไอในแทบทุกด้าน คำถามที่เอไอได้รับก็ยิ่งมีความซับซ้อนมากขึ้น ส่งผลให้เกิดความจำเป็นที่จะต้องฝึกฝนเอไออย่างเข้มข้นมากขึ้นกว่าเดิม และตรวจสอบคำตอบของเอไออย่างถี่ถ้วน เพื่อปรับปรุงขีดความสามารถของเอไอให้มีศักยภาพมากขึ้น
เว็บไซต์ www.fortunebusinessinsights.com ระบุว่า ในปี 2024 มูลค่าตลาดชุดข้อมูลฝึกอบรมเอไอทั่วโลกมีมูลค่าราว 2.92 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และคาดว่าตลาดจะเติบโตเป็น 3.59 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2025 นี้ และเมื่อถึงปี 2032 ตลาดน่าจะขยายตัวเป็น 17.04 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเท่ากับมีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) สูงถึง 24.9% ในช่วงเวลาที่คาดการณ์
ทั้งนี้ สิ่งที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญจนทำให้ตลาดเติบโตอย่างชัดเจน ก็คือการนำเอไอและเทคโนโลยีการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine learning) มาใช้งานเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมต่างๆ
งานฝึกฝนเอไอและแก้ไขปรับปรุงคำตอบของเอไอนั้น ส่วนใหญ่จะพึ่งพาผู้ทำงานอิสระที่ได้รับค่าตอบแทนเป็นรายชั่วโมง ซึ่งเรียกกันว่า clickworker ไม่ใช่พนักงานประจำ เนื่องจากต้องการความหลากหลายทั้งเรื่องเพศ ชาติพันธุ์ ภาษา อายุ อาชีพ ถิ่นที่อยู่ ฯลฯ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาความลำเอียงหรืออคติในการฝึกฝนเอไอ
คนกลุ่มนี้มีอยู่หลายแสนคนและกระจายตัวกันอยู่ทั่วโลก โดยอัตราค่าตอบแทนจะขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของผู้ทำงาน ตำแหน่งที่อยู่ทางภูมิศาสตร์ และความต้องการของลูกค้า
คนเหล่านี้ใช้เวลาหลายชั่วโมงต่อสัปดาห์เพื่อประเมินคำตอบที่เอไอปล่อยออกมา โดยลักษณะงานมีรายละเอียดแตกต่างกันไป บางครั้ง พวกเขาจะให้คะแนนคำตอบของเอไอว่ามีคุณภาพมากน้อยเพียงใด หรือประเมินว่าคำตอบของเอไอตรงกับข้อเท็จจริงและเขียนได้ดีหรือไม่ บางครั้งก็ต้องพิจารณาคำตอบสองแบบที่เอไอสร้างขึ้นและเลือกแบบที่ดีกว่า แต่ถ้าทั้งสองแบบไม่ดีพอ พวกเขาก็มีหน้าที่ต้องเขียนขึ้นมาใหม่ทั้งหมด
นอกจากนี้ยังมีงานรูปแบบอื่น เช่น การกำจัดเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม เช่น เนื้อหาที่มีความรุนแรงหรือการล่วงละเมิดทางเพศ และการแปลข้อความจากภาษาถิ่นต่างๆ
สิ่งที่เป็นเหมือนตลกร้ายก็คือ มีผู้จบการศึกษาด้านคอมพิวเตอร์มากมายที่ไม่สามารถหางานประจำที่ตรงกับวุฒิการศึกษาที่จบมาได้ เนื่องจากตลาดงานหดตัวเพราะเอไอ แต่กลับมาทำงานปัดกวาดข้อผิดพลาดของเอไอ
สก็อต โอนีล คือหนึ่งในนั้น เขาจบการศึกษาด้านการพัฒนาเว็บไซต์ แต่ต้องทำงานประจำเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายอุปกรณ์ประปาที่เมืองโควิงตัน รัฐลุยเซียนา แต่เมื่อกลับถึงบ้านหลังเลิกงานประจำ เขาจะกลายเป็นมือฉมังที่คอยประเมินความผิดพลาดของเอไอ โดยมีรายได้ราว 300-1,000 เหรียญสหรัฐฯ ต่อสัปดาห์
และเนื่องจากงานของเอไอยากขึ้นตลอดเวลา เพราะการเรียกร้องที่สูงขึ้นของผู้ใช้งาน เช่น การเขียนโค้ดที่ซับซ้อน การแก้ไขปัญหาคณิตศาสตร์ระดับสูง บริษัทที่รับผิดชอบเรื่องการฝึกฝนเอไอจึงต้องพึ่งพาผู้มีที่มีการศึกษาสูงมากขึ้นเรื่อยๆ
สเกล เอไอ (Scale AI) ซึ่งเป็นบริษัทที่มีมูลค่า 14,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีรายได้ต่อปีราวๆ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ระบุว่า ผู้ทำงานอิสระบน Outlier ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการทำงานของสเกล เอไอนั้น มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีถึง 48 % ปริญญาโท 27 % และ 12 % มีปริญญาเอก
โดยที่เสี่ยวเต้อ จู ผู้จัดการทั่วไปของ Outlier ซึ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเนื่องจากธุรกิจของบริษัทได้รับความสนใจและเติบโตขึ้นอย่างชัดเจน ให้ความเห็นว่า “เห็นได้ชัดว่าเรากำลังกำหนดอนาคตของเอไอ และด้วยการนำเอไอมาใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่เราทำที่นี่จึงมีบทบาทสำคัญยิ่งในการพัฒนาเอไอ”
แหล่งข้อมูล:
ข้อมูล: https://www.forbes.com/sites/richardnieva/2025/03/06/scale-ai-outlier-us/?
cdlcid=5d1670561802c8c524c3d91a&utm_campaign=forbesweekly&utm_medium=email&utm_so
https://edition.cnn.com/2025/01/08/business/ai-job-losses-by-2030-intl/index.html
https://www.weforum.org/publications/the-future-of-jobs-report-2025/digest/
https://www.sandtech.com/insight/ai-and-the-future-of-work/