“วิรไท สันติประภพ” ชี้ผลกระทบจากหายนะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ชู 3 แกนรับโลกรวน แนะ’Adaptation’ ปรับตัว-อยู่รอด ทำได้ ต้องมี 8 เรื่อง มุ่งกระจายอำนาจส่งเสริมท้องถิ่น-เทศบาล-ชุมชน ออกแบบแผนรับมือแต่ละพื้นที่ ระบุสังคมมักเข้าใจผิดระหว่าง mitigationและadaptation ที่ผ่านมาทุ่มเงินกับ mitigation มากสุด

ในสถานการณ์โลกรวน การมุ่งสู่เป้าหมาย carbon neutrality และ net zero ของทุกภาคส่วนต่างเดินหน้าทำ mitigation การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ตามข้อตกลง COP ต่างๆ เพื่อชะลอไม่ให้อุณหภูมิสูงเกิน 1.5-2 องศาเซลเซียส แต่ความเป็นไปได้ดูจะรางเลือน หลายกลุ่มจึงมองว่าทางรอดของมนุษยชาติที่ดีสุดคือการ adaptation ของทุกคน ชุมชน องค์กร ประเทศ ล้วนต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต ธุรกิจ เพราะการทำแค่ mitigation ไม่เพียงพอแล้ว
สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า พูดคุยกับ ดร.วิรไท สันติประภพ ประธานกรรมการ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) ว่าด้วยเรื่อง adaptation ประเทศไทยควรทำความเข้าใจเรื่องนี้อย่างไร ผลกระทบต่อโลก ความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจไทย ตลอดจนข้อเสนอแนะถึงผู้มีอำนาจในการกำหนดนโยบายและปฏิบัติ
ชู 3 แกน รับโลกรวน
ดร.วิรไท กล่าวถึงสถานการโลกรวนว่า หากย้อนกลับไป 10-15 ปีที่แล้วมีพูดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) ต่อมามีการพูดวิกฤติสภาพภูมิอากาศ (climate crisis) แต่ตอนนี้มีความเห็นตรงกันว่าเป็นหายนะของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate catastrophe) เป็นการยกระดับขึ้นมาเรื่อยๆ ดังนั้น หากมองไปข้างหน้าภาวะโลกรวนจะเป็นความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติ ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างกว้างไกลมาก
ถ้ามองในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ การดูผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจใดเศรษฐกิจหนึ่ง จะมี 3 แกนหลักๆ คือ productivity (ผลิตภาพ), immunity (ภูมิคุ้มกัน) และ inclusivity (การกระจายผลประโยชน์) ซึ่งในอีก 10 ปีข้างหน้า ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ หรือสภาวะโลกรวนจะกระทบกับ 3 เรื่องนี้ รวมถึงกระทบกับวิถีการทำธุรกิจทุกประเภท กระทบกับคุณภาพชีวิต และวิถีชีวิตของเราทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เริ่มที่ productivity ดร.วิรไท อธิบายว่าสภาวะโลกรวนจะเพิ่มต้นทุนการใช้ชีวิตของทุกคนและการทำธุรกิจ เราจะเจอกับปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรพื้นฐานที่สําคัญสําหรับการใช้ชีวิตและธุรกิจ เช่น น้ำสะอาด อากาศสะอาด อีกทั้งมาตรฐานด้านการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน โครงสร้างพื้นฐานใหญ่ๆ ที่ประเทศได้ลงทุนไปอาจจะใช้ประโยชน์ไม่ได้เหมือนเดิม เนื่องจากกระบวนการผลิตจะต้องปรับใหม่ และเผชิญกับการขาดแคลนทรัพยากรสำคัญ เพราะสภาวะอากาศที่ผันผวนจะกระทบต่อห่วงโซ่การผลิต
“น้ําสะอาดจะเป็นสิ่งที่หายากขึ้น และวันนี้การขาดแคลนน้ําสะอาดกลายเป็นข้อขัดแย้งในสังคมและระดับประเทศ หรือกระทั่งอากาศสะอาด เมื่อก่อนเราไม่เคยคิดว่าเป็นสิ่งที่หายาก แต่วันนี้แม้กระทั่งมีเงินจ่ายก็ยังหาไม่ได้”
แกนที่ 2 immunity ภูมิต้านทาน-ภูมิคุ้มกัน ดร.วิรไทกล่าวว่า “ผลจากสภาวะโลกรวน นํามาสู่ความเสี่ยงใหม่ๆ ความไม่แน่นอนใหม่ๆ อีกมาก ที่คาดเดาไม่ได้ เมื่อก่อนเราอาจจะคํานึงถึงฤดูกาลที่ค่อนข้างเป็นฤดูกาล มีฤดูมรสุมที่ชัดเจน แต่วันนี้เราคาดเดาไม่ได้เลยว่า ทําไมในบางปีถึงเป็นปีที่มีภัยแล้งจากอุณหภูมิร้อนจัด ขณะเดียวกันก็เป็นปีที่เกิดน้ำท่วมรุนแรงขึ้น สภาวะแบบนี้จะเกิดขึ้นต่อไป และจะเห็นความผันผวนที่รุนแรงขึ้นภายในช่วงเวลาสั้นๆ แล้วเวลาที่เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติจะทําให้ทุกคนถูกกระแทกแรงมาก ฐานะการเงินจะถดถอยไปมาก จากสภาวะที่อาจจะมีหนี้สูงอยู่แล้ว เกิดความสูญเสียต่างๆ”
“สภาวะโลกรวน จะทําให้ immunity หรือภูมิคุ้มกันของเราซึ่งอาจจะไม่ได้ดีตั้งแต่ต้นถดถอยลงไปอีก ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ เพราะโลกข้างหน้าจะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนอีกมาก ไม่ใช่เฉพาะจากเรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศเท่านั้น”
“วันนี้เรามีปัญหาภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยเฉพาะทางการเงิน ตั้งแต่หนี้ครัวเรือนสูง หนี้ภาคธุรกิจสูง ไปจนถึงหนี้สาธารณะของภาครัฐที่เพิ่มสูงขึ้นมาก ภาครัฐขาดดุลเพิ่มขึ้นทุกปี ใช้เงินไปกับรายจ่ายประจำและนโยบายประชานิยมที่หวังผลระยะสั้น ถ้าเราไม่วางแผนตั้งรับให้ดี จะเป็นความเสี่ยงที่ใหญ่มากที่สุดเรื่องหนึ่งต่อทั้งระบบเศรษฐกิจมหภาค และความเสี่ยงต่อสังคม”
นอกจากนี้ ภูมิคุ้มกันของสังคมไทยยังตกหล่นในหลายมิติ เช่น สังคมผู้สูงอายุที่จะต้องมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นมาก ระบบ social safety nets และมีแนวโน้มที่จะไม่ยั่งยืน ระบบป้องกันภัยพิบัติ ความคุ้มครองด้านประกันภัยที่มีจำกัด
แกนที่ 3 inclusivity การกระจายผลประโยชน์ได้อย่างทั่วถึง เท่าเทียมกัน ไม่มีปัญหาความเหลื่อมล้ำที่รุนแรง แต่สภาวะโลกรวนและรุนแรงมากขึ้น จะเกิดความไม่เป็นธรรมเกิดขึ้น คําหนึ่งที่มาพร้อมกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคือคําว่า climate justice เพื่อเรียกร้องเรื่องความไม่เท่าเทียมกัน ความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ เพราะส่วนใหญ่ต้นเหตุของการทําให้เกิดสภาวะโลกร้อนนําไปสู่สภาวะโลกรวน ถ้าดูจากระดับประเทศก็คือประเทศที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูง ประเทศที่มีฐานะทางด้านเศรษฐกิจค่อนข้างดี เขาก็ปล่อยก๊าซเรืยนกระจกต่อเนื่องติดต่อมาเป็นเวลานาน แต่ประเทศที่ต้องมารับผลกระทบมากๆ จากความผันผวนจากสภาวะภูมิอากาศกลายเป็นประเทศยากจน ที่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยมากเมื่อเทียบกับสเกลของทั้งโลก กรณีของประเทศไทย เราปล่อยก๊าซเรือนกระจกปีหนึ่งอาจจะไม่ถึง 2% ของทั้งโลก แต่เราถูกจัดเป็นหนึ่งประเทศที่จะได้รับผลกระทบจากสภาวะโลกรวนรุนแรงมากที่สุด
“มองย้อนกลับมาในสังคมของเรา วันนี้ความเหลื่อมล้ำเป็นเรื่องใหญ่อยู่แล้ว เมื่อเกิดสภาวะโรครวนขึ้น คนที่มีบทบาทในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในประเทศไทยก็คงหนีไม่พ้นคนที่ใช้พลังงานเยอะ คนที่มีฐานะและมีวิถีชีวิตที่ทําให้เกิดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเยอะ หรือในบางภาคอุตสาหกรรมที่มีการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเยอะ แต่คนที่ต้องรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ คนที่ต้องรับผลกระทบจากภัยพิบัติ จะเป็นคนที่อยู่ในภาคการเกษตร เป็นคนที่อยู่ในฐานล่างของสังคม ซึ่งเวลาที่เกิดอย่างน้ำท่วมแต่ละครั้ง เขาได้รับผลกระทบรุนแรงมากกว่า ในช่วงหลังเราจะเห็นอีกคําหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นคือ maladaptation (การปรับตัวที่ไม่เหมาะสม) ทุกคนพยายามจะเอาตัวรอด คนอยู่ในเมืองเมื่ออุณหภูมิร้อนขึ้น ฉันมีเงินก็ซื้อแอร์มาติด ยิ่งทําให้อุณหภูมิของเมืองร้อนขึ้นไปอีก แล้วคนที่ไม่มีความสามารถไม่มีศักยภาพทางการเงินก็ต้องเป็นคนที่รับภาระ”
“inclusivity เป็นปัญหาใหญ่อยู่แล้ว สภาวะโลกรวนจะยิ่งทำให้ความเหลื่อมล้ำยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก ถ้าเราไม่ได้เตรียมพร้อมล่วงหน้า และคนที่อยู่ฐานของพีระมิดจะฟื้นตัวได้ยากมากเวลาที่ต้องเผชิญกับภัยพิบัติรุนแรง”

Mitigation vs. Adaptation
อย่างไรก็ตาม กรอบคิด productivity, immunity และ inclusivity ไม่เพียงพอเมื่อนำมาปรับเข้ากับโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจ ดังนั้น ดร.วิรไท จึงเติมคำที่ 4 เพิ่มเข้าไป นั่นคือ “adaptability” หรือความสามารถในการปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลง
“สังคมมักเข้าใจผิดระหว่าง mitigation และ adaptation ซึ่งทั้งสองคำนี้มีความหมายแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง”
mitigation คือมาตรการที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อลดสภาวะโลกร้อน ควบคุมการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของโลกให้อยู่ภายใต้เป้าหมายที่ตกลงกัน ไม่ว่าจะเป็น net zero, carbon neutrality, BCG
“ประเทศไทยเราเพิ่งเริ่มตื่นตัวกับมาตรการ และเป้าหมายด้าน mitigation ในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา เพราะมีมาตรฐานใหม่ๆ ในโลกและแรงกดดันจากประเทศใหญ่ เช่น CBAM, ภาษีคาร์บอน, การชดเชยคาร์อบน, ลดการใช้พลังงานไฮโดรคาร์บอน, มาตรฐาน CORSIA สำหรับธุรกิจการบิน รวมทั้งในด้านตลาดทุน ก็มีมาตรฐานที่ให้บริษัทจดทะเบียนต้องเปิดเผยคาร์บอนฟุตพรินต์ และมีแผนที่จะลดคาร์บอนฟุตพรินต์อย่างจริงจัง ทั้งสโคป 1, 2, 3”
ดร.วิรไทกล่าวต่อว่า ประเทศไทยตั้งเป้าว่าจะมีความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 และ net zero GHG emissions 2065 ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือ mitigation และคนมักเข้าใจผิดว่า เราเตรียมตัวรับมือดีแล้ว และองค์กรต่างๆ ก็ใช้ทรัพยากรทำเรื่อง mitigation ไปหมดแล้ว
“บางครั้งเราคิดว่าทําแล้ว แต่อาจจะทําเพียงแค่เสาเดียวคือเรื่องของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (mitigation) หลายองค์กรทําเรื่อง mitigation เยอะมาก และคิดว่าทําแล้ว ตั้งรับแล้ว และก็หมดทรัพยากรไปแล้วใช้เงินลงทุนไปเยอะ”
ขณะที่ adaptation คือมาตรการปรับตัวเพื่อรับมือกับสภาวะลมฟ้าอากาศที่มีแนวโน้มแปรปรวนมากขึ้น ที่ผ่านมา adaptability ของไทยต่ำในหลายมิติ โดยเฉพาะในภาครัฐไทย ที่ติดกรอบวิธีคิด วิธีการทำงานแบบบนลงล่าง เน้นกระบวนการมากกว่าผลลัพธ์ ทำงานกันแบบแยกส่วน และติดพันธนาการด้วยกฎหมายล้าสมัย ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ๆ ในการทำงานได้ และยังเป็นอุปสรรคต่อการปรับตัวของภาคเอกชน
“การปรับตัวให้เท่าทันกับสภาวะโลกรวน (adaptation) เป็นเรื่องตัวใครตัวมัน ต้องคิดเอง ทําเอง และต้องมีบริบทของท้องถิ่นและชุมชนในระดับที่สูงมาก”
ดร.วิรไทอธิบายว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงคล้ายๆ กันในแต่ละพื้นที่ จะมีผลต่างกันมาก ทั้งผลทางกายภาพ เช่น บางพื้นที่อาจจะมีความเสี่ยงกับไฟป่ามากกว่าพื้นที่หนึ่ง บางพื้นที่อาจจะมีความเสี่ยงเรื่องของการขาดแคลนน้ำมาก ขณะที่พื้นที่หนึ่งอาจจะมีความเสี่ยงในเรื่องของการถูกน้ำท่วมมาก หรือแม้กระทั่งเวลาที่ฝนตก โอกาสที่ดินจะถล่มลงมา ภูเขาจะพังทลาย ก็จะต่างกันในแต่ละพื้นที่ บางพื้นที่น้ำท่วมมาแต่น้ำ บางพื้นที่มาน้ำบวกโคลน เพราะฉะนั้น เรื่องของ adaptation เป็นเรื่องที่ต้องมีบริบทของท้องถิ่นมากทีเดียวในการที่จะตั้งรับ เราต้องตระหนักว่า เราไม่มีสูตรสําเร็จในการที่จะแก้ปัญหา เช่น ระดับน้ําทะเลเพิ่มสูงขึ้นจะไม่มีสูตรสําเร็จสูตรเดียวที่เอาไปใช้ในการแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง เพราะฉะนั้น ต้องคํานึงถึงบริบทในแต่ละพื้นที่ค่อนข้างมาก
“โจทย์สำคัญคือ เราต้องทำทั้ง mitigation และ adaptation แต่จะต้องหันมาทำเรื่อง adaptation กันจริงจังมากขึ้น ทุ่มเทมากขึ้น ทั้งสองเรื่องนี้ไม่ได้แยกจากกันเด็ดขาด มีหลายมาตรการที่ทับซ้อนกัน ถ้าเราเน้นทำมาตรการที่ซ้อนกันได้ ที่มีผลกระทบสูง จะช่วยทั้ง mitigation และ adaptation เช่น มาตรการที่เน้นธรรมชาติ การปลูกป่า”
แต่ความท้าทายที่ ดร.วิรไท มองว่า adaptation ยากกว่าการทำ mitigation มี 2 ข้อ คือ
- ไม่มีกรอบ หรือแนวทางที่เป็นสากลกำหนดลงมาให้ เหมือนกับกรอบเรื่อง net zero หรือการชดชเยคาร์บอน เราต้องคิดเอง วางแผนเอง
- แม้แต่ในประเทศเดียวกัน ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสภาวะโลกรวนในแต่ละพื้นที่จะต่างกันมาก ต่างกันทั้งสภาวะทางกายภาพ และโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม บางพื้นที่คนทำเกษตรทำประมง บางพื้นที่เป็นอุตสาหกรรม บางพื้นที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว

ผลกระทบ “หายนะโลกรวน”
จากสภาวะโลกรวนสู่ความแปรปรวนของโลก นำมาสู่คำถามว่าฤดูจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรในอนาคต เพราะการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศอาจไม่มีดุลยภาพแบบเดิม หรือโลกอาจมีสภาวะลมฟ้าอากาศรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ทุกปี และอาจไม่มีรูปแบบของสภาวะลมฟ้าอากาศที่เป็นดุลยภาพซ้ำๆ แบบเดิม ซึ่งผลกระทบเหล่านี้มีสาเหตุจากการที่น้ำแข็งในขั้วโลกละลายลงเร็ว น้ำแข็งตามธารน้ำแข็งต่างๆ ละลายลง กระแสน้ำอุ่น-น้ำเย็นในมหาสมุทรแอตแลนติกแปรปรวน และเริ่มเปลี่ยนทิศทาง
ดร.วิรไทอธิบายว่า แม้ว่าเราจะยังไม่รูปแบบของฤดูกาลใหม่ในอนาคตได้ชัดเจน แต่ในเวลานี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศที่เห็นได้ชัดเจนขึ้น และมีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้นอย่างน้อย 6 เรื่อง คือ
- อุณหภูมิเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะถ้าดูอุณหภูมิในฤดูร้อน จะสูงขึ้นกว่าเดิมมาก และแต่ละปีมีจำนวนวันที่อุณหภูมิร้อนจัดเพิ่มขึ้นด้วย ทำให้น้ำเหนือดินระเหยเร็ว
- เกิดภัยแล้งรุนแรง ในบางพื้นที่ฝนไม่ตกต่อเนื่องหลายปี ขาดแคลนน้ำ และเกิดไฟป่า เป็นภัยประจำถิ่น
- ปริมาณน้ำฝนเพิ่มสูงขึ้นเวลาที่ฝนตกใหญ่แต่ละครั้ง แบบ rain bomb ฝนอาจจะตกเท่ากับปริมาณน้ำฝนทั้งปีในช่วงเวลาเพียงแค่ 3-4 วัน นอกจากนี้ ยังพบน้ำท่วมในพื้นที่ที่ไม่เคยท่วมมาก่อน เช่น ทะเลทราย ที่อาจเผชิญภัยแล้งแบบสุดขีด และฝนตกหนักแบบสุดขีดในปีเดียวกัน
- ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้พื้นที่ชายฝั่งหายไปถูกกัดเซาะ น้ำทะเลรุกล้ำเข้ามาตามแม่น้ำ ส่งผลให้น้ำกร่อยรุกเข้าไปในพื้นที่ทำการเกษตร และทำให้น้ำฝนระบายลงน้ำทะเลได้ยากขึ้น น้ำท่วมจะลดลงได้ช้าเวลาที่เกิดน้ำทะเลหนุน
- อุณหภูมิน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น ด้วยความที่น้ำทะเลสีเข้ม จะดูดซับความร้อนได้ดีกว่า ส่งผลกระทบต่อปะการังฟอกขาว การย้ายถิ่นของสัตว์ทะเลว่ายน้ำขึ้นเหนือ หรือลงไปใต้สุด
- คุณภาพอากาศที่แย่ลง จาก PM2.5 จากไฟป่าในบางพื้นที่ต้องเผชิญกับฝุ่น หรือผงทรายละเอียดในอากาศที่มากับพายุทราย เพราะความชื้นในดินลดลง
ดร.วิรไทกล่าวต่อว่า ปรากฎการณ์ทั้ง 6 เรื่องนี้จะส่งเสริมซึ่งกันและกัน และทำให้เกิดภัยพิบัติรุนแรงด้วย เช่น เมื่ออุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้น ความชื้นที่ไปรวมกันเป็นเมฆก็หน้าแน่นขึ้น ทำให้เกิดภาวะ rain bomb หรือพื้นที่ที่โดนไฟป่า หน้าดินจะเป็นขี้เถ้าเวลาโดนน้ำจะเหมือนแผ่นคอนกรีตเคลือบไว้ ดินไม่สามารถอุ้มน้ำได้ เวลาเกิดฝนตกหนักก็จะลงมาเป็นโคลน
“ถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลง 6 ข้อนี้เพิ่มขึ้นทุกปี จะกระทบกับวิถีชีวิตและธุรกิจของเราอย่างไร ไม่ว่าจะอยู่ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เกษตร ประมง ก่อสร้าง หรือแม้แต่ตัวเราเองที่กำลังจะเป็นผู้สูงอายุ เราจะดูแลตัวเองให้อยู่รอดได้อย่างไร”

Adaptation ทำได้ต้องมี 8 เรื่อง
ดร.วิรไทมองว่า การสร้าง adaptation ให้เกิดขึ้นจริงจะต้องมี 8 เรื่อง คือ
(1) การตระหนักรู้ของสังคม เริ่มจากรัฐบาลและผู้นำในสังคม ว่าโลกรวนเป็นความเสี่ยงใหญ่ที่สุดของสังคมไทย
“ทั้งโลกพูดกันว่าการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศเป็นความเสียงใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติ แต่เราได้ยินเรื่องนี้กันน้อยมากในประเทศไทย โดยเฉพาะจากผู้นำในรัฐบาล และผู้นำในสังคม”
“เกิดภัยพิบัติน้ำท่วมใหญ่ในภาคเหนือรอบที่ผ่านมา ก็ดูแลช่วยเหลือกันแบบเดิมๆ ไม่ได้แสดงให้เห็นว่ามีแผน มีความรู้ หรือสนใจที่จะวางแผนรับมือสำหรับอนาคตได้เท่าทันกับความเสี่ยงที่กำลังจะเกิดขึ้น”
(2)ความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับ climate change ในหลากหลายระดับ โดยหลายประเทศกำหนดให้ ‘climate education’ เป็นส่วนสำคัญของระบบการศึกษา แต่มหาวิทยาลัยไทย-ครูแทบจะไม่มีการสอนหรือไม่มีความรู้เรื่องนี้
ดร.วิรไทอธิบายว่า ระบบการศึกษาของเราไม่ได้เตรียมคนให้มี adaptive capacity หรือความสามารถในการปรับตัว ซึ่งต้องมีสมรรถนะทางความคิด มีความเข้าใจด้านวิทยาศาสตร์ และมีทักษะที่จะประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ได้ ยิ่งเราเป็นสังคมสูงอายุ adaptive capacity ของเราก็ต่ำโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
“climate education ในเมืองไทยแทบไม่ได้ยินเลย การเรียนการสอนที่เกี่ยวกับ climate change เป็นเป็นทักษะที่สําคัญ เราจะต้องสอนให้เข้าใจวิทยาศาสตร์พื้นฐาน เพื่อที่คนรุ่นใหม่จะได้ติดตามการเปลี่ยนแปลงต่างๆ… ในหลายประเทศที่สอนเรื่อง climate change เขาให้ความสําคัญกับการหาทางออก การหาทางแก้ไขปัญหา”
ถ้าไม่เข้าใจวิทยาศาสตร์พื้นฐาน ไม่มีทางเลยที่จะนําไปสู่การหาทางแก้ไขปัญหาได้ เพราะเราจะต้องปรับวิถีชีวิต ปรับวิถีการทําธุรกิจของเราทุกคน ในทางตรงกันข้าม ถ้าใครไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ ไม่ทราบเรื่องพวกนี้ จะเป็นฝ่ายตั้งรับ อาจตั้งรับไม่ทัน และเป็นต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นในในอนาคต”
อย่างไรก็ตาม ดร.วิรไทกล่าวว่า มหาวิทยาลัยจะต้องเป็นกลไกที่สําคัญในการสร้างองค์ความรู้และหาวิธีแก้ไขปัญหาให้กับประเทศไทย โดยเฉพาะวิธีแก้ไขปัญหาที่สอดคล้องกับบริบทในแต่ละท้องถิ่น-ท้องที่ ยิ่งกว่านั้นคือต้องทำให้ climate change เป็นวาระสําคัญ
“เราต้องมีหน่วยงานที่ติดตามเรื่อง climate change ในมิติต่างๆ ต้องมีข้อมูลเชิงลึกที่ติดตามต่อเนื่อง ต้องสร้าง scenarios เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศในแต่ละพื้นที่สำหรับให้ความรู้และวางแผนจัดการ เพราะการทำเรื่อง climate change adaptation ไม่สามารถไปเอากรอบความรู้ แนวคิดจากต่างประเทศมาใช้ได้เหมือนกับเรื่อง mitigation ต้องเข้าใจบริบทของประเทศ ของพื้นที่ และภูมิสังคม”
(3) ต้องมี adaptation plan ที่เป็นส่วนสำคัญของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม และเข้าไปอยู่ในแผนการทำงานเชิงรุกของทุกกระทรวง ทบวง กรม เลนส์ที่ใส่ในการกำหนดแผน ออกแบบมาตรการต่างๆ จะต้องคำนึงถึงเรื่อง adaptation ด้วย
ดร.วิรไทขยายความว่า วันนี้ประเทศไทยมีแผน Climate Change Adaptation (National Adaptation Plan) โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นแผนแยกออกมาโดดๆ และไม่เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
“ยิ่งลงไปในแผนของแต่ละกระทรวง แทบจะไม่เห็นการพูดถึง climate change adaptation ในแผนใดๆ แผนส่วนใหญ่ของเรายังเน้นไปที่ mitigation จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างไร หรือจะสร้างเศรษฐกิจสีเขียวอย่างไร… ภาคเอกชนก็ต้องมีแผน adaptation plan ที่เท่าทันกับความเสี่ยงใหม่ๆ ไม่ใช่แค่แผน net zero และจะต้องมองเป็นกลุ่มอุตสาหกรรม หรือซัพพลายเชนมากขึ้น”
“การที่ให้ทุกหน่วยงานต้องมี lens climate change adaptation (การคำนึงถึงการปรับตัวเนื่องจากการเปลี่ยนของสภาพภูมิอากาศ) จะสำคัญ เพราะจะคำนึงถึงผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ เช่น เก็บภาษีที่ดินจากที่รกร้างว่างเปล่า ทำให้ป่าไม้กลายเป็นสวนต้นกล้วยที่ไม่สามารถดูดซับความร้อนได้ ไม่สามารถดูดซับน้ำได้ และเวลาที่เกิดฝนตกรุนแรง สวนกล้วยเหล่านี้เป็นต้นเหตุทําให้เกิดดินถล่มในหลายพื้นที่ เป็นตัวอย่างที่เห็นชัดว่า การออกนโยบายอาจจะไม่ได้คํานึงถึงความเสี่ยงใหญ่ ก็คือเรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ”

ต้องส่งเสริมท้องถิ่น-เทศบาล-ชุมชน ออกแบบแผน Adaptation
(4) เรื่องการปรับตัวอันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ จะต้องคำนึงถึงบริบทในแต่ละพื้นที่ เพราะโจทย์ ความท้าทาย ภูมิสังคม และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ต่างกัน เช่น น้ำทะเลที่สูงขึ้นจะมีผลต่อชายฝั่งแต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกัน การกัดเซาะพื้นที่มากน้อยต่างกัน กระทบกับวิถีชีวิตของคนในแต่ละพื้นที่ต่างกัน และวิธีการที่จะป้องกันก็ต่างกัน เราไม่สามารถสร้างกำแพงกันคลื่นแบบเดียวกันได้ทุกชายหาดทั้งประเทศ หรือเรื่องน้ำท่วม ดินถล่ม อาจจะต้องพิจารณาว่าในบางพื้นที่ จำเป็นต้องย้ายหมู่บ้าน ย้ายเมือง
ดร.วิรไทกล่าวต่อว่า การทำเรื่อง adaptation จะต้องมาพร้อมกับการกระจายอำนาจ และกระจายความรู้ลงไปสู่ระดับท้องถิ่น-เมือง และไม่สามารถจัดการได้จากรัฐบาลกลาง หรือหน่วยงานในส่วนกลาง
ดังนั้น ต้องส่งเสริมให้ท้องถิ่น เทศบาล ชุมชน สามารถออกแบบแผน adaptation ของตัวเองได้ ไม่ว่าจะเป็น นายก อบจ. หรือ นายกเทศบาล
โดยมีหน่วยงานส่วนกลางจะต้องเป็นที่ปรึกษา ให้คำแนะนำ-ความรู้ และมีบทบาทช่วยเรื่องบรรเทาสาธารณะภัย ในกรณีที่เกิดภัยพิบัติรุนแรงขึ้น
(5) เทคโนโลยีและนวัตกรรม (technology and innovation) ที่จะต้องมาช่วยให้เกิด adaptation
ตัวอย่างเช่น ภาคการเกษตรที่มีผลต่อวิถีชีวิตของคนจำนวนมาก และความมั่นคงทางอาหารของไทย ซึ่งต้องการพันธุ์พืชที่ทนต่อน้ำท่วม น้ำแล้ง และน้ำกร่อย ทนต่ออุณหภูมิ ที่ร้อนขึ้น และแปรปรวนมากขึ้น หรือเรื่องน้ำก็ต้องการระบบกักเก็บน้ำและระบายน้ำที่สามารถรับมือกับ rain bomb ได้ ต้องการระบบบริหารจัดการน้ำสะอาดการป้องกันน้ำท่วมเมือง (ถนนฟองน้ำ)
“สตาร์ทอัปบางแห่งให้ความสําคัญกับภาคกาารเกษตร มีเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับเรื่องวัสดุก่อสร้าง ทำอย่างไรที่จะทําให้ถนนสามารถกลายเป็นฟองน้ํา มีความสามารถในการดูดซับน้ําได้ หรือวัสดุก่อสร้างที่ลดความร้อนของอุณหภูมิของตึก”
(6) ต้องการเครื่องมือ carrot and sticks หรือกลไกแรงจูงใจและลงโทษที่จะปรับพฤติกรรมของคนให้สอดคล้องกับทิศทางของ climate change adaptation ที่จำเป็นของประเทศ เช่น การเก็บค่าธรรมเนียมน้ำ การส่งเสริมให้คนประหยัดน้ำ การลงโทษคนที่บุกรุกทางน้ำ ไม่ให้สร้างบ้านบนพื้นที่ลาดชัน
นอกจากนี้ ดร.วิรไทกล่าวต่อว่า เราต้องมีกลไกที่จะป้องกันไม่ให้เกิด maladaptation เพราะบางคนที่มีเงินอาจปรับตัวโดยเอาประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง เช่น ถ้าโลกร้อนขึ้น คนที่มีเงินก็แก้ปัญหาด้วยการติดแอร์ หรือคนรวยสร้างกำแพงหนาสูงกันไม่ให้น้ำทะเลมากัดเซาะชายหาดในพื้นที่บ้านของตน ก็จะส่งผลให้ไปกัดเซาะพื้นที่ใกล้เคียงรุนแรงขึ้น
(7) เรื่องใหญ่ที่สุดคือการลงทุน การเตรียมพร้อมเรื่อง adaptation ต้องการการลงทุนขนาดใหญ่ ในทุกระดับ ตั้งแต่ภาคเอกชน และรัฐบาล โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานใหม่ๆ
“เมืองหลวงบางประเทศมีความเสี่ยงที่จะถูกน้ำท่วม ถึงกับมีแผนย้ายเมืองหลวง โครงสร้างถนน เขื่อน ระบบสาธารณูปโภคที่มีความเสี่ยงต้องถูกออกแบบใหม่ เมืองก็ต้องออกแบบให้มีอุณหภูมิเย็นลง ทั้งพื้นที่สีเขียว วัสดุที่ใช้ต้องไม่ทำให้เมืองร้อนขึ้น รวมทั้งต้องมีเงินที่พร้อมใช้ในสภาวะที่เกิดภัยพิบัติฉุกเฉินด้วย ภาคเอกชนจะมีต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นมาก จากการลงทุนใหม่ๆ และวิถีการทำธุรกิจในสภาวะที่โลกรวน ไม่นับถึงการขาดรายได้ในหลายกรณี ในหลายอุตสาหกรรม”
ดร.วิรไทกล่าวถึงประเทศไทยว่า เราต้องการการกระจายอำนาจทางการคลัง ลงไปให้ท้องถิ่น และเมือง สามารถบริหารจัดการ adaptation plan ของตัวเองได้ แต่งบประมาณของประเทศยังไม่รู้เลยว่าแต่ละปีจะจัดสรรงบประมาณเพื่อรองรับเรื่อง climate adaptation เท่าไร และที่สำคัญคือ climate adaptation funding gap ของเรามีเท่าไร ต้องการงบประมาณสนับสนุนเท่าไหร่ในแต่ละปี
(8) การเตรียมรับมือกับเรื่อง climate change adaptation ต้องคำนึงถึง climate justice ต้องมีวิธีการที่จะสร้างการมีส่วนร่วมจากกลุ่มคนที่เปราะบางและอ่อนไหวที่สุด และดูแลให้เขาอยู่รอดได้

รัฐไทยต้องเดินอย่างไรให้ Adaptation เกิดขึ้น
คำถามคือ เราต้องทำอย่างไรให้ adaptation เกิดขึ้นจริงในสังคมไทย ดร.วิรไทกล่าวว่า ประเทศไทยขาดแทบจะทุกอย่าง เมื่อเทียบกับหลายประเทศทั้งประเทศที่พัฒนาแล้ว และที่ระดับการพัฒนาต่ำกว่าประเทศไทย เพราะเราคิดและวางแผนเรื่องนี้ช้าไปกว่า 10 ปี
แต่ปัญหาใหญ่สุดคือ ความล้มเหลวของการประสานงานของรัฐไทย (coordination failure) ที่แต่ละกระทรวงต่างคนต่างทำ ทำไม่ต่อเนื่อง และทำเป็นแบบพิธีกรรม ขณะที่การสร้าง climate change adaptation ต้องการการประสานงานหลากหลายรูปแบบ และหลากหลายระดับ
- ระดับรัฐบาลกลาง ต้องทำงานเรื่อง climate change adaptation ร่วมกันได้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมข้ามกรม ข้ามกระทรวง ไม่ติดกับกรอบกฎหมายที่คิดตีกรอบมาในโลกเก่า ต้องไม่ติดกับกรอบพรรคการเมือง ที่จะคุยกันเฉพาะกระทรวงที่รัฐมนตรีมาจากพรรคเดียวกัน
- ระดับรัฐบาลกลางกับท้องถิ่น ต้องกระจายอำนาจ ส่งเสริม สนับสนุนทั้งความรู้และการเงินให้ท้องถิ่น ทำเรื่อง adaptation ที่สอดคล้องกับบริบท และความท้าทายของตน ส่วนกลางต้องทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง ให้ความรู้ เป็นที่ปรึกษา และการแก้ไขวิกฤติฉุกเฉิน
- ระดับภาครัฐกับเอกชน มีหลายอย่างที่จะใช้ทรัพยากรร่วมกันได้ การลงทุนร่วมกันแบบ PPP มีโครงสร้างแรงจูงใจที่จะส่งเสริมให้เกิด climate change adaptation ไปในทิศทางที่เหมาะสม
ดร.วิรไทยังกล่าวถึงสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ 4 เรื่อง ได้แก่
(1) หาผู้รับผิดชอบเป็น champion เรื่อง climate change adaptation ในรัฐบาล โดยเฉพาะการทำงานเต็มเวลาในเรื่องนี้ ต้องเป็นระดับรองนายกรัฐมนตรี และเป็นบุคคลที่มีบารมีมากพอ เพื่อที่จะมีอำนาจกำกับดูแลและขับเคลื่อนแผนข้ามกระทรวงต่างๆ ได้
“โจทย์ใหญ่คือการประสานงาน มันเป็นเรื่องที่ซับซ้อน จำเป็นต้องมีคนระดับรัฐบาลใครเป็น champion และต้องเป็นหน่วยงานที่มีบารมีและเครื่องมือมากพอ”
(2) ต้องมีหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่อง climate change adaptation ที่จะทำเรื่องนี้ต่อเนื่องได้ในระยะยาว เพราะหน่วยงานนี้จะสำคัญมาก เป็นผู้เชี่ยวชาญเชิงลึกเรื่อง climate change มีหน้าที่ทำ scenarios incorporate adaptation plan กับแผนต่างๆ มีทุนสนับสนุนที่เพียงพอ และต้องมองแบบการจัดการความเสี่ยง และเน้นพัฒนา หาวิธีแก้ไขปัญหา
(3) กฎหมายที่ให้อำนาจ กลไก ที่จะสนับสนุนเรื่อง climate adaptation แม้ทุกวันนี้จะมี ร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ มาแล้ว 1-2 ปี แต่กว่าจะมีผลบังคับใช้คืออีก 2 ปีข้างหน้า ยิ่งกว่านั้นคือเน้นเรื่อง mitigation เป็นหลัก ขณะที่ adaptation อยู่แค่หมวดเล็กๆ หมวดเดียว
(4) คิดอย่างจริงจังเกี่ยวกับ climate change adaptation funding gap และดูว่าจะเอามาจากไหน ถ้าเกิดการตระหนักในเรื่องนี้ อาจจะทำให้หยุดการใช้งบประมาณแบบตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ และเอามาลงทุนทำเรื่อง climate change adaptation เพื่อให้เกิดผลในระยะยาว
“ต้องกล้าที่จะยอมรับความจริง และจัดให้ climate change adaptation เป็นเรื่องสำคัญมากในทุกระดับ ตั้งแต่รัฐบาล เอกชน มหาวิทยาลัย ลงไปถึง อบจ. เทศบาล และต้องวางแผน และลงมือทำอย่างจริงจัง”
“อย่าผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ เพราะปัญหานี้จะไม่มีทางหายไปไหน มีแต่จะรุนแรงมากขึ้น ถ้าสังคมไทยตระหนักร่วมกันว่า ความเสี่ยงที่ใหญ่มากของสภาวะเศรษฐกิจไทยคือสภาวะโลกรวน ซึ่งเกิดขึ้นแล้วและรุนแรงมากขึ้น เราไม่สามารถรอเวลา และไม่สามารถรอว่าควรจะมีใครมาแก้”