
โดนัลด์ ทรัมป์ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อวันจันทร์(20 มกราคม 2568) หลังจากสาบานตนเป็นประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งรวมถึงการยกเลิกนโยบาย 78 ข้อของโจ ไบเดน ขณะที่คำสั่งอื่นๆ ที่ลงนามในวันนี้ มีเป้าหมายเพื่อจัดการปราบปรามผู้อพยพ รวมถึงการถอนตัวของสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และองค์การอนามัยโลก
เวลา 11:30 น.เขตเวลาตะวันออก(ET) วันที่ 20 มกราคม 2568 ตามเวลาในสหรัฐ หรือเวลา 23.30 วันที่ วันที่ 20 มกราคม ตามเวลาในประเทศไทย โดนัลด์ ทรัมป์ ได้สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 47 อย่างเป็นทางการ
หลังจากสาบานตนเข้ารับตำแหน่งที่อาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประธานาธิบดีทรัมป์ได้กล่าวสุนทรพจน์ประมาณ 30 นาที ซึ่งค่อนข้างสั้นเมื่อเทียบกับมาตรฐานของทรัมป์
ประเด็นหลักๆของสุนทรพจน์ทรัมป์ ประกอบด้วย
1) “ยุคทองของอเมริกาเริ่มต้นขึ้นแล้ว”
ประธานาธิบดีกล่าวสุนทรพจน์พร้อมประกาศว่า “ยุคทองของอเมริกาเริ่มต้นขึ้นแล้ว”
ทรัมป์กล่าวว่า ภายใต้การดูแลของเขา ประเทศชาติจะ “เจริญรุ่งเรืองและได้รับความเคารพอีกครั้ง” ทั่วโลก และชี้ว่าเขาจะพลิกฟื้นจากสี่ปีก่อน
“ในแต่ละวันของการบริหารงานของทรัมป์ ผมจะให้ความสำคัญกับอเมริกาเป็นอันดับแรก” ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าว
ประธานาธิบดียังย้ำคำพูดก่อนหน้านี้ที่ว่า มีการใช้กระทรวงยุติธรรมเป็นอาวุธจัดการเขา และกล่าวว่าสิ่งสำคัญที่สุด ของเขาคือการสร้างประเทศที่ “ภาคภูมิใจ เจริญรุ่งเรือง และเสรี”
2) เส้นทางของทรัมป์สหรัฐฯไม่ “ถดถอย”
ประธานาธิบดีพร่ำบ่นถึงสถานะของประเทศภายใต้นโยบายของประธานาธิบดีคนก่อน และประณามระบบการศึกษากับสาธารณสุขของสหรัฐฯ โดยกล่าวว่า “การเลือกตั้งครั้งล่าสุดของผมคือ การให้อำนาจในการจัดการกับการไม่ทำตามสัญญาอย่างเต็มที่และเด็ดขาด เพื่อคืนความศรัทธา ความมั่งคั่ง ประชาธิปไตย และเสรีภาพให้กับชาวอเมริกันอย่างแท้จริง”
ทรัมป์อ้างว่ารัฐบาลไม่สามารถให้บริการขั้นพื้นฐานได้ ดังที่เห็นได้จากความเสียหายทางตะวันตกของนอร์ทแคโรไลนาที่เกิดจากจากพายุเฮอริเคนเฮลีนเมื่อปลายเดือนกันยายน และยังหันไปพูดถึงเรื่องพรมแดนทางใต้ที่รับรู้กัน
“นับจากนี้เป็นต้นไป ความเสื่อมถอยของอเมริกาก็สิ้นสุดลงแล้ว” ทรัมป์ฺกล่าว
3) ทรัมป์ ย้อนความพยายามลอบสังหาร
ทรัมป์พูดสั้นๆ เกี่ยวกับความพยายามลอบสังหารเขาที่เกิดขึ้นระหว่างการหาเสียงในเมืองบัตเลอร์ รัฐเพนซิลวาเนีย เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม
ประธานาธิบดีประกาศว่า เขาเชื่อว่า การที่เขายังมีชีวิตอยู่ก็เพราะว่ายังีเหตุผลบางอย่าง “พระเจ้าช่วยให้ผมรอดเพื่อทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง” ทรัมป์กล่าว
ทรัมป์ฉายภาพความพยายามลอบสังหารนี้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามหยุดยั้งเขาไม่ให้กลับคืนสู่ทำเนียบขาว
“เส้นทางในการทวงคืนรัฐที่เป็นของประชาชนของเราไม่ใช่เรื่องง่าย” ประธานาธิบดีกล่าว “หมู่คนที่ต้องการจะหยุดอุดมการณ์ของเราได้พยายามที่จะเอาอิสรภาพของเราและเอาชีวิตของผมไปด้วย”
ทรัมป์กล่าวอีกว่า “หลายคนคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้สำหรับผมที่จะสร้างประวัติศาสตร์ในการกลับมาทางการเมือง แต่อย่างที่พวกคุณเห็นในวันนี้ ผมกลับมาแล้ว” และว่า “คนอเมริกันได้ส่งเสียงแล้ว”

4)การดำเนินการด้านบริหารเรื่องการข้ามแดน พลังงาน และการค้า
ทรัมป์ใช้การกล่าวสุนทรพจน์เข้ารับตำแหน่งเพื่อแสดงให้เห็นถึงร่างแผนปฏิบัติการต่างๆ ของการดำเนินการด้านบริหารที่เขาวางแผนจะดำเนินการทันทีที่สาบานตนเข้ารับตำแหน่ง
ในเรื่องการข้ามแดน ทรัมป์กล่าวว่า จะประกาศภาวะฉุกเฉินระดับชาติที่พรมแดนทางใต้ ซึ่งเป็นคำมั่นที่ทำให้เขาได้รับเสียงปรบมือจากผู้ที่อยู่ในพิธีสาบานตนในอาคาร Rotunda ของรัฐสภา
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังกล่าวอีกว่า คณะบริหารของเขาจะรื้อฟื้นนโยบาย “Remain in Mexico”(Remain in Mexico คือ วิธีการที่กำหนดให้ผู้ที่ขอลี้ภัยรอในเม็กซิโกในขณะที่มีการพิจารณาคำร้องในศาลตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐอเมริกา) ที่นำมาใช้ในขณะที่รับตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งแรกและยกเลิกการจับกุมและปล่อยตัว ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติในการกักขังและปล่อยตัวผู้อพยพโดยสัญญาว่าจะได้รับนัดหมายศาลในอนาคต
ทรัมป์กล่าวว่าเขาจะส่งกองกำลังทหารไปยังชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโกเพื่อ “ขับไล่” สิ่งที่เขาอ้างว่าเป็น “การรุกราน” และตีเส้นว่ากลุ่มค้ายาเสพติดเป็นองค์กรก่อการร้ายต่างประเทศ
“ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผมไม่มีความรับผิดชอบใดมากไปกว่าการปกป้องประเทศของเราจากการคุกคามและการรุกราน และนั่นคือสิ่งที่ผมจะทำ” ทรัมป์กล่าว
ทรัมป์กล่าวว่าเขาจะสั่งการให้รัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีของเขาจัดการกับภาวะเงินเฟ้อและลดต้นทุน และให้คำมั่นที่จะประกาศ “ภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานแห่งชาติ”
“เราจะขุด และจะขุด” ทรัมป์กล่าว ซึ่งเป็นหนึ่งคำมั่นที่ได้เรียกเสียงปรบมือ
ประธานาธิบดีย้ำแผนการของเขาที่จะกำหนดอัตราภาษีศุลกากรและภาษีจากต่างประเทศเพื่อ “ทำให้พลเมืองของเรามั่งคั่ง” และกล่าวว่าเขาจะออกคำสั่งบริหารที่มีเป้าหมายเพื่อยุติการตรวจสอบของรัฐบาล
ทรัมป์กล่าวว่าภายใต้การบริหารของเขา ตำแหน่งของรัฐบาลกลางจะมีสองเพศ คือ ชายและหญิง นอกจากนี้เขายังให้คำมั่นที่จะคืนสถานะให้กับทหารสหรัฐฯ ที่ถูกถอดออกจากกองทัพ อันเนื่องจากการคัดค้านวัคซีนป้องกันโควิด-19 และจ่ายเงินคืนให้พวกเขา
5)อ่าวเม็กซิโก ยอดเขาเดนาลี และคลองปานามา
ทรัมป์ยืนยันว่า จะเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็นอ่าวอเมริกา และจะเปลี่ยนชื่อยอดเขาเดนาลี(อยู่ในรัฐอะแลสกา สหรัฐอเมริกา อยู่ในแนวเทือกเขาอะแลสกา )ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือเป็นยอดเขาแมกคินลีย์ ( Mount McKinley)
สหรัฐอเมริกายอมรับภูเขาลูกนี้ในชื่อยอดเขาแมกคินลีย์ ซึ่งตั้งชื่อตามประธานาธิบดีวิลเลียม แมกคินลีย์ ในปี 1917 แต่ในปี 2015 ภายใต้การบริหารของโอบามา ภูเขาแห่งนี้ได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็นเดนาลี ซึ่งเป็นชื่อพื้นเมืองของชาวอะแลสกา
ทรัมป์ยังย้ำอีกว่าฝ่ายบริหารของเขาจะพยายามควบคุมคลองปานามาอีกครั้ง
“เราจะเอามันกลับมา” ทรัมป์กล่าว
สหรัฐฯ ละการควบคุมคลองในปี 1999 และปัจจุบันอยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยงานคลองปานามา
6)ธงชาติสหรัฐฯ บนดาวอังคาร
ทรัมป์กล่าวว่าฝ่ายบริหารของเขาจะพยายามส่งนักบินอวกาศสหรัฐฯ ขึ้นไปบนดาวอังคาร
“เรามีหน้าที่รับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ (Manifest Destiny) ในเรื่องดาว โดยส่งนักบินอวกาศชาวอเมริกันไปปักธงชาติสหรัฐบนดาวอังคาร” ทรัมป์กล่าว
คำประกาศดังกล่าวได้รับเสียงชื่นชมจากมหาเศรษฐีอย่าง อีลอน มัสก์ ซึ่งนั่งอยู่บนอัฒจรรย์พร้อมกับซีอีโอจากบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น เจฟฟ์ เบซอส
ทั้งเบซอส และมัสก์ต่างก็ปล่อยจรวดขึ้นสู่อวกาศ

ลงนามในคำสั่งบริหาร-บันทึก 200 ฉบับ
ในวันเดียวกันประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งบริหาร บันทึกช่วยจำ และประกาศประมาณ 200 ฉบับในวันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง และเดินหน้านโยบาย ” America first อเมริกาต้องมาก่อน” ซึ่งเป็นก้าวแรกของวาระต่างๆที่คาดว่าจะเป็นการเปลี่ยนโฉมรัฐบาลกลางตามที่ได้ให้คำมั่นไว้
คำสั่งบริหารฉบับแรกที่ทรัมป์ได้ลงนาม ที่อาคารรัฐสภาสหรัฐ ได้แก่ คำสั่งแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีและคณะบริหารที่มีตำแหน่งทางการในรัฐบาลรองลงมาจากคณะรัฐมนตรี(subcabinet) รักษาการหัวหน้าแผนกและหน่วยงานต่างๆ และประกาศให้เชิญธงชาติสหรัฐอเมริกาขึ้นสู่ยอดเสาในวันเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีทั้งในครั้งนี้และอนาคต และให้ลดธงลงครึ่งเสา เพื่อไว้อาลัยประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ที่ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อต้นเดือนนี้ ตลอดจนระงับการจ้างงานในรัฐบาลกลางอีกครั้งและสั่งให้เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลางกลับมาทำงานที่สำนักงาน
เมื่อมาถึงห้องทำงานของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา หรือ Oval Office หลัง 19.00 น. คำสั่งบริหารฉบับแรกที่ทรัมป์ลงนามที่ทำเนียบขาวเป็นการอภัยโทษโดยไม่มีเงื่อนไข(full pardon) ให้กับคนประมาณ 1,500 คนที่เกี่ยวข้องกับการบุกรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2564 ซึ่งทรัมป์กล่าวว่าคดีจำนวนหนึ่งในวันที่ 6 มกราคมจะไม่ได้รับการอภัยโทษแบบไม่มีเงื่อนไข อย่างน้อยก็ในตอนนี้ที่อยู่ระหว่างการพิจารณา และยังปรับเปลี่ยนบทลงโทษของสมาชิกกลุ่มขวาจัด Oath Keepers กว่าสิบคน ซึ่งหลายคนได้รับโทษหนักที่สุด
“ด้วยการดำเนินการเหล่านี้ เราจะเริ่มต้นการฟื้นฟูอเมริกาอย่างเต็มที่และการปฏิวัติสามัญสำนึก” ทรัมป์กล่าวในระหว่างการกล่าวปราศรัยเข้ารับตำแหน่งครั้งแรกหลังจากสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 47 ของประเทศ และกล่าวอีกว่า “ยุคทองของอเมริกาเริ่มต้นขึ้นแล้ว”
ตามที่ได้สัญญาไว้ก่อนเข้ารับตำแหน่งใหม่หนึ่งวัน ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งบริหารที่ขยายระยเวลาให้บริษัทแม่ของ TikTok หาเจ้าของใหม่ มิฉะนั้นอาจถูกแบนในสหรัฐอเมริกา
คำสั่งดังกล่าวสั่งการให้กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ไม่ให้บังคับใช้กฎหมายปกป้องชาวอเมริกันจากแอปพลิเคชันที่ควบคุมโดยปรปักษ์ต่างชาติ (Foreign Adversary Controlled Applications Act) ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากทั้งสองฝ่ายในวงกว้างในสภาคองเกรส และลงนามเมื่อเดือนเมษายนโดยอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน กฎหมายดังกล่าวกำหนดห้าม TikTok ดำเนินการในสหรัฐอเมริกาภายในวันที่ 19 มกราคม เว้นแต่จะขายให้กับผู้ซื้อจากสหรัฐอเมริกาหรือหนึ่งในพันธมิตร
ก่อนถึงเส้นตาย TikTok ได้ปิดให้บริการชั่วคราวสำหรับผู้ใช้ชาวอเมริกัน 170 ล้านคน แต่ต่อมาก็กลับมาออนไลน์อีกครั้ง หลังจากที่ทรัมป์ให้คำมั่นเมื่อเช้าวันอาทิตย์ว่าจะหาทางนำกลับมา
แต่ชะตากรรมสุดท้ายของ TikTok ในสหรัฐอเมริกายังคงไม่แน่นอน เพราะ ยังไม่ชัดเจนว่า ByteDance เจ้าของ TikTok ซึ่งตั้งอยู่ในจีน ต้องการขายให้กับผู้ซื้อหรือไม่ แม้ว่าจะเป็นข้อตกลงที่ทรัมป์เป็นผู้ดำเนินการก็ตาม
คำสั่งทรัมป์ขยายเวลาให้ TikTok ออกไปอีก 75 วัน

ทรัมป์เพิกถอนคำสั่งบริหาร 78 ฉบับในสมัยไบเดน ซึ่งหลายคำสั่งโจ ไบเดนได้ลงนามในวันแรกของเข้าบริหารงาน
นโยบายที่ถูกเพิกถอน ได้แก่ คำสั่งบริหารที่กำหนดให้หน่วยงานรัฐบาลกลางขยายข้อห้ามในการเลือกปฏิบัติทางเพศให้ครอบคลุมถึงรสนิยมทางเพศและอัตลักษณ์ทางเพศ คำสั่งที่กำหนดให้ผู้ได้รับการแต่งตั้งจากฝ่ายบริหารลงนามในคำมั่นสัญญาด้านจริยธรรม คำสั่งที่อนุญาตให้คนข้ามเพศเข้ารับราชการในกองทัพสหรัฐฯ และคำสั่งห้ามต่ออายุสัญญาเรือนจำเอกชน
คำสั่งอื่นๆ ในยุคไบเดนที่ทรัมป์เพิกถอนเมื่อวันจันทร์ รวมถึงคำสั่งที่ทำให้คิวบาถูกถอดออกจากการเป็นรัฐที่สนับสนุนการก่อการร้าย ใช้มาตรการคว่ำบาตรชาวยิวที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในเขตเวสต์แบงก์ และพยายามลดความเสี่ยงของปัญญาประดิษฐ์(AI)
ไบเดนเพิ่งถอดคิวบาออกจากรายชื่อผู้ก่อการร้าย รายการคำสั่งเพิกถอนที่ทรัมป์ลงนามเมื่อวันจันทร์ไม่ได้ระบุเหตุผลเฉพาะในการเพิกถอนคำสั่งของไบเดน
ไบเดนใช้มาตรการคว่ำบาตรกับผู้อพยพชาวยิวบางรายที่ถูกกล่าวหาว่าปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรงในเขตเวสต์แบงก์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 และคำสั่ง AI ในปี 2023 ที่มีมีเป้าหมายเพื่อติดตามและควบคุมความเสี่ยงของ AI
ทรัมป์ยังพยายามยกเลิกความพยายามในยุคไบเดนในการขยายการกำหนดอัตลักษณ์ทางเพศให้กว้างขึ้น ซึ่งรวมถึงบนหนังสือเดินทางด้วย คำสั่งอีกฉบับที่ลงนามโดยทรัมป์เมื่อวันจันทร์ กำหนดให้หน่วยงานรัฐบาลกลางปฏิบัติต่อชายและหญิงโดยสายเลือดเป็นเพศที่แยกจากกัน หยุดส่งเสริม “อุดมการณ์ทางเพศ” และกำหนดให้หน่วยงานบางแห่งเปลี่ยนกลับไปยอมรับเฉพาะ “ชาย” และ “หญิง” ตามรูปลักษณ์เท่านั้น
วาระวันแรกของทรัมป์ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งเป็นหัวข้อที่เป็นศูนย์กลางของอัตลักษณ์ทางการเมืองของเขามายาวนาน
ในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ครั้งแรก ทรัมป์ประกาศว่าเขาจะประกาศภาวะฉุกเฉินระดับชาติบริเวณพรมแดนทางใต้ และได้ลงนามคำสั่งดังกล่าวใน Oval office เมื่อคืนวันจันทร์ ซึ่งทำให้ต้องใช้ทรัพยากรและบุคลากรของกระทรวงกลาโหมที่จะนำไปใช้และสร้างกำแพงชายแดน
ในบันทึกการประชุม ฝ่ายบริหารของทรัมป์ยุติการใช้แอปที่อนุญาตให้ผู้อพยพแจ้ง หน่วยงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐฯ (U.S. Customs and Border Protection: CBP) ว่าพวกเขาตั้งใจจะเข้าสหรัฐอเมริกา และช่วยให้สามารถกำหนดเวลาการนัดหมายเพื่อขอลี้ภัยกับเจ้าหน้าที่ชายแดนได้
ทรัมป์ยังได้ลงนามในคำสั่งที่กำหนดนิยามความเป็นพลเมืองของบุตรโดยกำเนิด ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทุกคนที่เกิดในสหรัฐอเมริกาจะได้รับสัญชาติอเมริกันโดยอัตโนมัติ
คำสั่งของทรัมป์ห้ามมิให้หน่วยงานรัฐบาลกลางออกเอกสารบางอย่างที่ปกติแล้วจะมอบให้กับพลเมืองสหรัฐฯ ตามเอกสารข้อเท็จจริงที่ CNN ได้รับ
คำสั่งดังกล่าวซึ่งใช้กับเด็กที่เกิดหลังจากมาตรการมีผลบังคับใช้แล้ว 30 วัน โดยจะใช้ในสถานการณ์ที่ผู้ปกครองปรากฏตัวอย่างผิดกฎหมายในสหรัฐอเมริกา และในสถานการณ์ที่มารดาอยู่ในสหรัฐอเมริกาชั่วคราว เช่น ถือวีซ่า และบิดาไม่ใช่พลเมือง
ทรัมป์ยังลงนามในคำสั่งที่ประกาศให้กลุ่มค้ายารายใหญ่สองรายเป็นองค์กรก่อการร้าย ซึ่งเป็นการกระทำที่อาจนำการใช้กำลังทหารของอเมริกาไปในดินแดนเม็กซิโก
ความเคลื่อนไหวเบื้องต้นของทรัมป์ในเรื่องการย้ายถิ่นฐานเกิดขึ้นในขณะที่การข้ามชายแดนลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยลดลงเมื่อปีที่แล้วหลังจากที่ไบเดนดำเนินการบริหารเพื่อจำกัดการเรียกร้องขอลี้ภัย
ทรัมป์รับตำแหน่งสมัยที่ 2 โดยที่บริเวณชายแดนมีการข้ามพรมแดนน้อยกว่าตอนที่เขาออกจากตำแหน่ง
ทรัมป์ประกาศเมื่อวันจันทร์ว่าเขากำลังถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์การอนามัยโลก(World Health Organizatio:WHO) ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวสำคัญที่จะตัดความสัมพันธ์กับหน่วยงานด้านสาธารณสุขของสหประชาชาติ
ทรัมป์วิพากษ์วิจารณ์ WHO มานานแล้ว และฝ่ายบริหารของเขาได้ประกาศเมื่อเดือนกรกฎาคม 2563 ว่าจะถอนตัวออกจากองค์กรเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังคงแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดไบเดนก็หยุดการเคลื่อนไหวนั้นด้วยคำสั่งบริหารของเขาเอง
คำสั่งผู้บริหารดังกล่าวอ้างถึง “การจัดการอย่างไม่ถูกต้องขององค์กรต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน และวิกฤติการณ์ด้านสุขภาพอื่นๆ ทั่วโลก ความล้มเหลวในการดำเนินการการปฏิรูปที่จำเป็นเร่งด่วน และการไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงความเป็นอิสระจากอิทธิพลทางการเมืองที่ไม่เหมาะสมของประเทศสมาชิก WHO ” อันเป็นเหตุผลในการถอนตัวของสหรัฐฯ
“นั่นเป็นเรื่องใหญ่” ทรัมป์บอกกับทีมงานในขณะที่เริ่มลงนามคำสั่งบริหาร โดยชี้ไปที่การตัดสินใจของเขาในปี 2020 และความเชื่อของเขาที่ว่าสหรัฐฯ จ่ายเงินให้กับองค์กรมากเกินไปเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ
คำสั่งดังกล่าวยังระบุด้วยว่า WHO “ยังคงเรียกร้องการจ่ายเงินที่ไม่เป็นธรรมอย่างต่อเนื่อง” จากสหรัฐฯ
เมื่อวันจันทร์ ทรัมป์ลงนามในการดำเนินการถอนสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอีกครั้ง( (Paris Agreement) ซึ่งเป็นข้อตกลงลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีขึ้นก่อนวาระแรกของเขา ที่เกือบ 200 ประเทศให้คำมั่นว่าจะรักษาภาวะโลกร้อนให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียสเหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม และต่ำกว่า 1.5 องศาหากเป็นไปได้
ทรัมป์ถอนตัวออกจากข้อตกลงในสมัยแรก และสิ่งแรกที่ไบเดนทำในฐานะประธานาธิบดีคือการกลับเข้าร่วมข้อตกลงอีกครั้ง ทรัมป์กล่าวเมื่อวันจันทร์ว่าเขาจะถอนตัวจากข้อตกลงซึ่งเขาเรียกว่า “ฝ่ายเดียว” อีกครั้ง
ทรัมป์ให้คำมั่นในการกล่าวสุนทรพจน์งานว่าจะประกาศ “ภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานแห่งชาติ” และปรับปรุงกระบวนการอนุญาตและทบทวนด้านสิ่งแวดล้อมที่ฝ่ายบริหารของเขากล่าวว่า “กำหนดภาระที่ไม่เหมาะสมในการผลิตและการใช้พลังงาน”
ปัจจุบันสหรัฐฯ กำลังผลิตน้ำมันมากกว่าประเทศอื่นๆ ในประวัติศาสตร์โลก
นอกจากนี้ทรัมป์ยังลงในคำสั่งเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลาง คำสั่งการสอบสวนภายในวงกว้างเกี่ยวกับการบริหารงานของไบเดน คำสั่งเปลี่ยนชื่อสถานที่สำคัญในสหรัฐ เป็นต้น