ประสาท มีแต้ม

ยังไม่ทันที่จะถึงเดือนสุดท้ายของปี นักวิชาการในโครงการ Global Carbon Project (ก่อตั้งปี 2001 ประธานเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา)ได้ออกมาแถลงผลการศึกษาด้วยแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ซึ่งพยากรณ์ว่า “ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(ทั้งหมดทุกแหล่ง)ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้โลกร้อนในปี 2024 จะเพิ่มขึ้น 2.46% จากปี 2023 มาอยู่ที่ 41,560 ล้านตันซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดใหม่” นับว่าเป็นการตอบสนองอย่างฉับไวต่อปัญหาสำคัญยิ่งของโลกที่น่ายกย่องของนักวิชาการกลุ่มนี้
ผมขออนุญาตย่อยข้อมูลดังกล่าวสักนิด โดยเฉลี่ยแล้วมนุษย์คนหนึ่งปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ 5.07 ตันต่อปี ถ้าเรายึดว่าจำนวนประชากรโลกในปัจจุบันเท่ากับ 8,192 ล้านคน (ตามข้อมูลของ Worldometer)
อ่านมาถึงตรงนี้ ผมอยากจะชวนทุกท่านหยุดคิดสักครู่ ถือว่าเป็นการเตรียมตัวเข้าสู่บทเรียนก็แล้วกันว่า ตัวเราเองจะมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนดังกล่าวได้สักเท่าใดและอย่างไรบ้าง เพื่อช่วยให้โลกของเรามีอุณหภูมิเฉลี่ยในปี 2100 เป็นไปตามเป้าหมายขององค์การสหประชาชาติ คือไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรมคือช่วง 1850-1900
คราวนี้มาถึงผลการศึกษาดังกล่าวในส่วนที่ว่าด้วยที่มา-ที่ไปของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของทั้งโลก (Global Carbon Budget) ตั้งแต่ปี 1959-2024 ซึ่งผมได้แกะออกมาคำนวณดังแสดงเป็นตารางในรูปข้างล่างครับ
ที่มาหรือแหล่งกำเนิด(Source) ของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาจาก 2 แหล่งคือ (1) จากการเผาพลังงานฟอสซิลและในกระบวนการผลิตในภาคอุตสาหกรรม (เช่น การผลิตซีเมนต์ซึ่งจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์-ไม่เกี่ยวกับการใช้พลังงาน) และ (2) การใช้ประโยชน์ที่ดินซึ่งทำให้เกิดการสูญเสียป่าไม้ จากผลการศึกษาของปีล่าสุด 2 แหล่งนี้รวมกัน (Total CO2 emission) 41,560 ล้านตัน โดยที่แหล่งแรกมีสัดส่วนถึงร้อยละ 90
สำหรับที่ไป (Sink) ซึ่งเป็นส่วนที่พืชสามารถนำไปใช้ในการสังเคราะห์แสง โดยที่พืชก็มี 2 ส่วน คือ (1) พืชส่วนที่อยู่ในมหาสมุทรใช้ในปีล่าสุดได้ 10,850 ล้านตัน (หรือ 26% ของที่ปล่อยออกมาทั้งหมด) และ (2) พืชที่อยู่บนบกใช้ในปีล่าสุดได้ 11,870 ล้านตัน หรือ 29%
รวมปริมาณที่ถูกนำไปใช้สังเคราะห์แสงได้ 55% ของที่ปล่อยออกมาทั้งหมด ดังนั้น ส่วนที่เหลืออีก 45% หรือ 18,840 ล้านตัน จึงต้องลอยขึ้นไปอยู่ในชั้นบรรยากาศโลก ก๊าซฯตัวนี้แหละที่ทำหน้าที่คล้ายกับ “ผ้าห่มโลก” คอยขัดขวางไม่ให้ความร้อน(และแสงแดด) สะท้อนหรือกระจายออกไปจากบรรยากาศโลก
หากย้อนหลังไป 50 ปี คือในถึงปี 1974 ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เหลือลอยขึ้นสู่บรรยากาศมีจำนวน 3,300 ล้านตันเท่านั้น แต่ในปี 2024 กลับเพิ่มเป็น 18,840 ล้านตัน นั่นคือ ในช่วง 1974-2024 มนุษย์ได้ทำให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าสู่บรรยากาศโลกเพิ่มขึ้น 6 เท่าตัว ในขณะที่จำนวนประชากรโลกเพิ่มขึ้นเพียง 2 เท่า และ การเติบโตของรายได้ของประชากรโลกหรือจีดีพีโลกเพิ่มขึ้นเพียงเกือบ 3 เท่าตัว เท่านั้น
ผมได้ค้นคว้าจากแหล่งข้อมูลอื่นมาอธิบายผลของการปล่อยก๊าซฯ ดังกล่าว พบว่า ในปี 1974 ความหนาของผ้าห่มโลก หรือ ความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศเท่ากับ 328 ส่วนในล้านส่วน (ppm) โดยอุณหภูมิอากาศโลกเฉลี่ยเท่ากับ 0.0 องศาเซลเซียส (เมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม) แต่ในปี 2024 ค่าดังกล่าวได้เพิ่มขึ้นเป็น 422 ppm และ 1.30 องศาเซลเซียส ตามลำดับ
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เหมาะสมต่อโลกควรจะอยู่ที่ 350 ppm หากน้อยกว่านี้ อากาศก็จะเย็นเกินไป และหากสูงกว่านี้มากๆ (เช่น ในปัจจุบัน) อากาศก็จะร้อนเกินไปจนนำไปสู่ภัยพิบัติต่างๆ เช่น น้ำท่วม พายุรุนแรง คลื่นความร้อน ปะการังฟอกขาว ฯลฯ ดังที่เรากำลังประสบกันอยู่
ดวงจันทร์ซึ่งมีความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกน้อยมากและไม่มีเมฆ/ไอน้ำ หรือ “ไม่มีผ้าห่ม” ส่งผลให้อุณหภูมิอากาศของดวงจันทร์แกว่งอยู่ระหว่างลบ 130 ถึง บวก 120 องศาเซลเซียส โดยที่เวลาที่ดวงจันทร์ใช้ในการหมุนรอบตัวเองประมาณ 28 วัน จึงเป็นการยากที่จะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้
ดังนั้น การมีความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกที่เหมาะสมจึงเป็นประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิต แต่ในปัจจุบันนี้โลกของเรามีมากเกินค่าที่เหมาะสมไปมากแล้ว และโดยมนุษย์ที่เป็นผู้ก่อขึ้นมาเองด้วย (หมายเหตุ เฉพาะข้อมูลในแผ่นภาพเท่านั้นที่มาจากรายงานวิจัย แต่ส่วนที่เป็นความคิดเห็นมาจากของผมเองครับ)
คราวนี้กลับมาที่บทความของผู้วิจัยครับ ผู้วิจัยได้ตั้งข้อสังเกตว่า ในช่วง 10 สุดท้าย (2014-2024) ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้เพิ่มขึ้นก็จริง แต่เพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้าลง (เพิ่มขึ้น 3.5% ต่อ 10 ปี) ในขณะที่ในช่วง 10 ปีก่อนหน้านั้น (2004-2014) อัตราการปล่อยเพิ่มขึ้นเร็วกว่า (เพิ่มขึ้น 19.4% ต่อ 10 ปี) ท่านที่คุ้นเคยกับการอ่านเส้นกราฟ จะสังเกตเห็นได้ว่า “เส้นกราฟมีลักษณะเป็นแนวราบ” กว่าในช่วงก่อนหน้านั้น
คณะผู้วิจัยได้จำแนกที่มาของก๊าซคาร์บอนฯ พบว่า มาจากถ่านหินมากที่สุดคือ 41% รองลงมาคือน้ำมัน 33% และอันดับที่ 3 คือก๊าซธรรมชาติ 22% เหตุผลสำคัญที่ทำให้เส้นกราฟข้างต้นมีลักษณะเป็นแนวราบก็เพราะว่าการใช้ถ่านหินเพิ่มขึ้นน้อย (3.3% ใน 10 ปี) ในขณะที่การใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น 22.7% (ในช่วง 10 ปี)
แม้ว่าในช่วง 10 ปีสุดท้ายที่ผ่านมา ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้าลง แต่ก็ยังคงสวนทางกับที่หน่วยงานขององค์การสหประชาชาติ(IPCC) ได้แนะนำไว้ นั้นคือ ต้องปล่อยในอัตราที่ลดลงปีละ 6-7% ติดต่อกันตั้งแต่ปี 2022-2030 เพื่อเข้าสู่สภาพที่เรียกว่า “ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality)” ในปี 2030
ขอย้อนกลับไปดูกราฟในรูปอีกครั้งครับ คำว่า “ความเป็นกลางทางคาร์บอน” ก็หมายถึงสภาพที่ขนาดของ “ที่มา(Carbon Source)” เท่ากับขนาดของ “ที่ไป(Carbon Sink)” นั่นเอง
ผมเชื่อว่า ผู้อ่านทุกท่านคงมีคำตอบในเชิงหลักการแล้วว่าควรจะทำอย่างไรจึงจะแก้ปัญหานี้ได้ จะไปเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซับของพืชบนบกหรือ? จะเอาพื้นดินที่ไหน? จะทำอย่างไรกับมหาสมุทร? หรือควรหันมาลดการปล่อย?
ผมมีคำตอบจากรายงานเรื่อง “Emissions grew in 2023, but clean energy is limiting the growth” โดยทบวงพลังงานสากล (IEA) พบว่า ในปี 2023 มีการติดตั้งโซลาร์เซลล์และกังหันลมรวมกัน 540,000 เมกะวัตต์ (เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 75%) และมีการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าจำนวน 14 ล้านคัน (เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 35%) สามเทคโนโลยีดังกล่าวส่งผลให้สามารถลดการปล่อยก๊าซ
คาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณปีละ 225 ล้านตัน คิดเป็น 0.54% ของก๊าซคาร์บอนฯทั้งหมด แม้จะดูว่าน้อย แต่ถ้า 3 เทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนดังกล่าว(และอื่นๆอีก) เพิ่มขึ้นในอัตราที่มากกว่านี้ ความเป็นกลางทางคาร์บอนก็จะเกิดขึ้นได้จริง ผมมีสไลด์จากการบรรยายของนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมาให้ดูเพื่อเป็นกำลังใจด้วยครับ (แต่ขอยังไม่กล่าวถึงในรายละเอียด)
รายงานของ IEA ฉบับนี้ได้พาดหัวที่ทำให้เรารู้สึกว่ามีความย้อนแย้งกันคือ “ทั่วโลกปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุดทุบสถิติ แต่ยังเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์”
แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ที่ว่านี้ก็คือ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน เช่น โซลาร์เซลล์ กังหันลม ยานยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ รวมทั้งโทรศัพท์มือถือที่ใช้ในการทำให้อุปกรณ์ดังกล่าวและอื่นๆสามารถทำงานได้อย่างอัตโนมัติตามความต้องการ ในราคาที่ถูกมากๆและมีประสิทธิภาพสูง และมีการจ้างงานสูงด้วย
เทคโนโลยีพลังงานฟอสซิลแบบเผาไหม้ภายในที่ใช้งานมาร่วม 200 ปี และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาทำให้โลกร้อน โลกเดือดในปัจจุบัน ต้องถูกเลิกใช้ได้แล้ว
ท่านผู้อ่านเห็นด้วยไหมครับ
ถ้าเห็นด้วยเราต้องมาร่วมกันสร้างอนาคตที่เป็นทางรอดเดียวของมนุษยชาติ และผมยืนยันว่าเราสามารถสร้างอนาคตที่เราต้องการร่วมกันได้ในเวลาที่น้อยกว่าในอดีตมากๆ ก็โดยการใช้โทรศัพท์มือถือของเรานั่นแหละครับ มันคือสถานีโทรทัศน์ที่ทำงานด้วยคนเพียงเดียว ช่วยกันแชร์และส่งพลังให้แก่กันและกันจนโลกต้องสะเทือนครับผม