
ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงาน Economic Intelligence Center (SCB EIC) และรองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานกลยุทธ์องค์กร ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้บรรยายสรุป ก้าวต่อไปของเศรษฐกิจไทยบน ‘โลกสองใบ’ ในการแถลงข่าวในหัวข้อ “มุมมองเศรษฐกิจไทย ประจำไตรมาส 4 ปี 2567 : เปิดมุมมองเศรษฐกิจและธุรกิจไทยปี 2568 ในวันที่ทุกอย่างต่างจากเดิม โดย ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) วันที่ 20 ธันวาคม 2567
ปี 2568 ประเทศไทยเผชิญกับสภาพเศรษฐกิจที่ข้างนอกท้าทาย ข้างในที่ยากขึ้น โดยความท้าทายจากภายนอกได้แก่ การมีส่วนร่วมในกิจกรรมการผลิตของโลก การค้าโลกที่ลดลง การแข่งขันในตลาดที่เข้มข้นขึ้น ประเทศไทยเองขาดความสามารถในการแข่งขัน ขณะที่ความอ่อนแอจากข้างใน มาจากด้านอุปสงค์เป็นหลัก ทั้งจากปัญหาหนี้ครัวเรือน การขาดความสามารถในการก่อหนี้เพื่อเติบโต และหนี้สาธารณะที่สูงจำกัดการตุ้นทางการคลัง รวมไปถึงยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่เชื่อมวงจรไปภาคการเงิน และประสิทธิผลของนโยบายการเงินและการคลังน้อยลง นำไปสู่กิจกรรมทางเศรษฐกิจไทย ‘สองใบ’ ที่แตกต่างกัน
“ผมชวนมองให้ยาวขึ้น ปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศไทย เพื่อที่จะหาทางออกให้ประเทศไทย แล้วช่วยกันสะท้อนว่าสิ่งที่เราเป็นอยู่ มีแนวทางในการทําให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้นได้” ดร.สมประวิณกล่าว
ดร.สมประวิณกล่าวว่า ในปีที่แล้ว EIC ได้ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยกําลังเข้าสู่ภาวะปกติที่ไม่ปกติ คือ ประเทศไทยอาจจะเติบโตช้าลงจากปัญหาเชิงโครงสร้าง เศรษฐกิจไทยจะโตช้า เปราะบาง ไม่แน่นอน และเห็นชัดเจนมากขึ้น ในที่สุดก็จะกระทบคุณภาพหรือความเสี่ยงของทางการเงินของครัวเรือน ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ได้เห็นถึงความเสื่อมถอยของภาวะการเงินของครัวเรือนมากขึ้น ธนาคารพาณิชย์มีความเข้มงวดมากขึ้น
ภาคเศรษฐกิจจริงมีความเชื่อมโยงไปยังภาคเศรษฐกิจการเงิน เศรษฐกิจไม่ดี ธนาคารไม่ปล่อยกู้ เศรษฐกิจก็ไม่ดีอีกหมุนวนลงไปเป็นวงจรทางลบ(negative feedback loop) กลไกเหล่านี้ หรือ Financial Decelerator รายได้ที่ไม่พอใช้จ่าย เมื่อต่อเนื่องนานขึ้น ก็ก่อให้เกิดรอยแผลเป็นทางเศรษฐกิจ (economic scar) กระทบงบดุล(balance sheet) ของคน เรื่องสั้นที่เราคิดว่าหมดโควิดแล้วจะหายไปมันก็อาจจะเรื่องใหญ่
“จากภูมิคุ้มกันจุดตั้งต้นของคนที่ต่างกัน ภูมิคุ้มกันที่ต่างกัน ทรัพยากรที่ต่างกัน ความสามารถในการปรับตัวที่ต่างกันทยอย รอยแผลเป็นของแต่ละคนไม่เท่ากัน ก็เลยแยกคนในประเทศเป็นสองกลุ่ม ประเทศไทยในอนาคตจะมีแนวโน้มแยกออกเป็นโลกสองใบ โลกใบแรกเป็นโลกที่ประกอบไปด้วยคนที่เข้มแข็ง โลกใหม่และตัวใหญ่โลกใบที่สองเป็นโลกที่ประกอบไปด้วยคนที่อ่อนแอ โลกเก่าแล้วก็ตัวเล็ก การมีโลกสองใบของเศรษฐกิจไทยเป็นปัญหา เพราะคนส่วนใหญ่อยู่โลกใบล่าง สุดท้ายจะไม่ใช่ปัญหาทางเศรษฐกิจ แต่จะเป็นปัญหาทางสังคม และนั่นคือสิ่งที่น่ากลัวมาก”
ดร.สมประวิณได้นำข้อมูล Social Mobility Index(2020)ของ WEF มาแสดงให้เห็นว่าการเลื่อนชั้นทางสังคมนั้นไม่ได้มองเฉพาะรายได้อย่างเดียวแต่มองถึงโอกาสของการพัฒนาชีวิต ไม่ว่าจะเป็นโอกาสในการเข้าการศึกษา โอกาสในการทํางาน โอกาสในการได้รับความเท่าเทียมกันในการปฏิบัติทางสังคม ซึ่งพบว่าประเทศไทยมีคะแนนน้อยกว่าสิงคโปร์ และยังต่ำกว่าเวียดนาม นอกจากนั้นมีงานวิจัยของ ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ คณะเศรษฐศาสตร์จุฬา ที่นำข้อมูลภาษีของคนไทยมาคํานวณเพื่อประเมินการเลื่อนชั้นการจ่ายภาษี โดยแบ่งคนไทยออกเป็น 10 กลุ่มรายได้ ก็พบว่า เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปีโอกาสของการเลื่อนชั้นการจ่ายภาษีแทบไม่มีเลย และพบว่าโอกาสในชั้นรายได้เดิมมีมากขึ้น สะท้อนว่าติดอยู่ที่เดิมตลอด
EIC เองได้นำข้อมูลบริษัทเล็กกับบริษัทใหญ่ จากกรมพัฒนาธุรกิจมาวิเคราะห์โอกาสที่รายได้ของบริษัทขนาดเล็กโตกว่ารายได้ของบริษัทใหญ่ ซึ่งพบว่าในช่วงโควิดรายได้บริษัทเล็กพุ่งขึ้นเป็นเพราะมาตรการ แต่หลังจากนั้นลดลง แสดงว่าโอกาสการเลื่อนชั้นของบริษัทเล็กลดลงอย่างมาก และโอกาสของการเลิกกิจการของบริษัทเล็กเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมา
“เราลองย้อนกลับไปที่การเติบโตของเศรษฐกิจไทย 30-40 ปี ค่าเฉลี่ยการเติบโตของรายได้ต่อหัวดีขึ้น 6% ต่อปี แต่คุณภาพเป็นอย่างไร ค่าเฉลี่ยนั้นอาจจะเป็นคนที่อยู่ในโลกใบแรกมาเฉลี่ยด้วยโลกใบที่สอง แต่เราเห็นความแตกต่างของโลกสองใบมากขึ้น นั่นแปลว่า ความห่างของโลกสองใบนั้นอาจจะมีมากขึ้น” ดร.สมประวิณกล่าว
ความท้าทายภายนอกและความอ่อนแอภายในของประเทศไทยที่เห็นนี้ กำลังสะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำลงในระยะสั้นและมีปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาว ขณะที่แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมาไม่ค่อยเปิดโอกาสให้คนสามารถเคลื่อนตัวขึ้นลงในโครงสร้างทางสังคมได้อย่างเสรี
ข้อจำกัดเหล่านี้นำพาให้เศรษฐกิจไทยอยู่บนโลก ‘สองใบ’ ที่แตกต่างกันใน 3 มิติ คือ
1. มิติ : อ่อน-แข็ง โลกสองใบของครัวเรือนฐานะการเงินอ่อนแอกับครัวเรือนฐานะการเงินเข้มแข็ง สะท้อนครัวเรือนไทยมีปัญหาความเหลื่อมล้ำเชิงความมั่งคั่งรุนแรงมาก โดยครัวเรือนที่มีฐานะการเงินอ่อนแอมีรายได้ไม่พอรายจ่าย และมีรายได้เข้ามาไม่สม่ำเสมอ เมื่อครัวเรือนที่มีฐานะการเงินอ่อนแอเผชิญสถานการณ์ที่ทำให้ขาดรายได้ โลกของครัวเรือนกลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบมากกว่าและฟื้นตัวช้ากว่าครัวเรือนที่มีฐานะการเงินเข้มแข็ง
จากการสำรวจกลุ่มผู้บริโภค 3 กลุ่ม ที่มีรายได้มากกว่า 50,000 บาทต่อเดือน รายได้ 30,000 บาทต่อเดือนและรายได้น้อยกว่า 30,000 บาทต่อเดือนตามลำดับ


ในกลุ่มรายได้น้อยกว่า 30,000 บาทต่อเดือนพบว่า กลุ่มผู้บริโภครายได้น้อยส่วนมากมีปัญหารายได้ไม่พอรายจ่าย โดยเฉพาะผู้มีรายได้ต่อเดือนไม่เกิน 15,000 บาท สัดส่วนมากกว่า 80% ที่มีปัญหารายได้ไม่พอจ่าย นอกจากนี้มีเงินออมไม่พอ ทำให้ครัวเรือนกลุ่มนี้เกือบทั้งหมดไม่มีเงินสำรองใช้ยามฉุกเฉินหากขาดรายได้ “ดังนั้นการเข้าไปสู่วงจรหนี้เกิดได้ง่ายมาก เมื่อมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ต้องไปกู้ทันที อีกทั้ง 1 ใน 3 ยังไม่มีประกัน หมายความว่ากลุ่มหากมีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิต ทางออกเดียวคือ เป็นหนี้”
EIC ยังได้วิเคราะห์ว่าการฟื้นตัวที่ผ่านมาในช่วง 2-3 ปีไม่มีส่วนช่วยเหลือคนกลุุ่มนี้เลย โดยจากการแบ่งกลุ่มคนตามหมวดอุตสาหกรรม ภาคเกษตร บริการ ก็พบว่าคนที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท รายได้จะไม่พอกับรายจ่ายอีก 5 ปี คนส่วนใหญ่ของประเทศจะพบกับความยากลำบากในชีวิตต่อไป
2.มิติ : เก่า-ใหม่ โลกสองใบของภาคการผลิตโลกเก่ากับโลกใหม่ ภาคการผลิตโลกเก่าไม่ได้เติบโตไปกับกระแสการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจ สังคมและเทคโนโลยี หรือจะเผชิญความเสี่ยงในรูปแบบต่าง ๆ ขณะที่ภาคการผลิตโลกใหม่มีโอกาสเติบโตตามการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์และได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงน้อยกว่า
“โลกกำลังเปลี่ยนแปลง mega trend ที่เห็นมี 4 เรื่อง คือ สังคมชราภาพ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เทคโนโลยี และภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งหมดนี้ต้องเกิดการปรับตัว จะปรับตัวได้แค่ไหนอยู่ที่ผลกระทบ ได้รับผลกระทบมากปรับตัวได้ยาก ผลกระทบน้อยปรับตัวได้ดีกว่า คนที่ปรับได้ยากก็อยู่ในโลกเก่า คนที่ปรับตัวได้ก็อยู่ในโลกใหม่ เมื่อดูการจัดการทางการเงินของกลุ่มนี้” ดร.สมประวิณกล่าว

3.มิติ : ใหญ่-เล็ก โลกสองใบของธุรกิจใหญ่กับธุรกิจเล็ก กำไรของธุรกิจขนาดเล็กมีความผันผวนมากกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ผ่านมารายได้ธุรกิจขนาดใหญ่ในช่วง COVID-19 ไม่ได้ลดลงเลย และสามารถเติบโตได้เกือบ 10% หลังจากวิกฤติสิ้นสุดลง ในทางตรงข้ามรายได้ของธุรกิจขนาดเล็กหดตัวราว 2-3% ในช่วง COVID-19 และยังไม่ฟื้นตัว
นอกจากนั้น บริษัทเล็ก กลาง ใหญ่ การฟื้นตัวแตกต่างกัน ตั้งแต่โควิดจนพ้นโควิดมาแล้วบริษัทขนาดเล็กวันนี้ก็ยังไม่ได้ฟื้น ได้รับผลกระทบมากกว่า ในบริษัทขนาดใหญ่ผลกระทบน้อย และฟื้น รายได้โตไปมากกว่าโควิดประมาณ 3 ถึงเกือบ 10%
“ถ้าปล่อยแบบนี้ไปเรื่อยๆ ปัญหาของเศรษฐกิจจะมีมากขึ้น เราจะเห็นว่าโลกสองใบแตกต่างกันมากขึ้น และการที่มีโลกสองใบการเลื่อนชั้นทางสังคมของคนก็คงจะน้อยลง WEF มีการคํานวณว่า ถ้าคะแนนในตัว Mobility หายไปไปหนึ่งหน่วย เศรษฐกิจจะสูญเสียไปถึงแสนล้าน และมูลค่าเศรษฐกิจที่สูญเสียไปหนึ่งแสนล้านคาดเดาได้เลยว่าจะเกิดขึ้นกับโลกใบล่าง ทางออก คือ แก้ได้ด้วยคุณภาพทางเศรษฐกิจ 3 ประการ” ดร.สมประวิณกล่าว

แนวทางการพัฒนาทางเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าจึงควรมุ่งลดระยะห่างระหว่างโลกสองใบ ผ่านเป้าหมายการเติบโต ทางเศรษฐกิจอย่างมีคุณภาพ 3 ประการ ดังต่อไปนี้
1. คนไทยควรมีภูมิคุ้มกันต่อสถานการณ์เลวร้าย ซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่มั่นคงให้คนในโลกที่รายได้น้อยกว่าออกไปคว้าโอกาสในการเติบโต ผ่านการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับคนรายได้น้อย โดยผู้ดำเนินนโยบายมีบทบาทเป็นกลไกเสริมผ่านการช่วยเหลือทางสังคมและประกันทางสังคม ควบคู่ไปกับการออกแบบกติกาในภาคการเงินเพื่อเอื้อให้เกิดการพัฒนาตลาดประกันภัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยและธุรกิจขนาดเล็ก
“ประเทศไทยมีเศรษฐกิจนอกระบบใหญ่มาก 40% จึงไม่แปลกใจที่คนเหล่านี้เป็นหนี้ได้ง่าย เพราะไม่มีกลไกมารองรับ สิงคโปร์เข้าใจประเด็นนี้ว่าอนาคตของประเทศจะมี gig economy มากขึ้น ผู้ที่ทำงานแบบอิสระมีมากขึ้น รัฐบาลก็ได้สร้างสวัสดิการ ทําระบบสวัสดิการสําหรับ gig worker เชื่อมโยงกับแพลตฟอร์ม แบบคนละครึ่ง กลไกเหล่านี้ช่วยคนได้ 3% แม้ไม่มาก แต่รัฐบาลสิงคโปร์ทำให้เห็นว่าทําได้และเป็นการมองไปข้างหน้าสําหรับโครงสร้างแรงงานที่จะกำลังเปลี่ยนไป
2. คนไทยควรเติบโตจากการพัฒนาและปรับตัวทันกับภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจ สังคมและเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนไป โดยในการสนับสนุนให้เกิดการปรับตัวและพัฒนาให้ทันภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจ ผู้ดำเนินนโยบายจะเป็นกลไกเสริม ผ่านการหาโอกาสทางธุรกิจผ่านการเจรจาทางการค้าและการลงทุนกลับมาให้ธุรกิจภายในประเทศ
ดร.สมประวิณยกตัวอย่างมาเลเซีย ที่มีเป้าประสงค์ที่ชัดเจนว่า supply chain โลกกำลังจะเปลี่ยน การทำนโยบายระหว่างประเทศมีทิศทางในเชิงรุก แสวงหาพันธมิตร จนได้ Intel และใช้ประโยชน์จากตำแหน่งที่ตั้งในภูมิภาคเชื่อมโยงกับไทย สิงคโปร์ วันนี้ส่วนแบ่งตลาดintegrated circuit (IC) ของมาเลเซียมีประมาณ 13% ของโลก
3. คนไทยควรมีโอกาสสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ และเติบโตไปพร้อมกัน ผู้ดำเนินนโยบายจะมีบทบาทในฐานะผู้ออกแบบกติกาของการจัดสรรทรัพยากรทางเศรษฐกิจ และการแข่งขัน เพื่อสร้างโอกาสให้คนจากโลกที่รายได้ต่ำกว่าเข้าถึงทรัพยากร สามารถแข่งขันและเติบโตได้อย่างทั่วถึง
“ปัญหาเรื่องเอสเอ็มอีไม่ใช่เป็นประเทศไทยประเทศเดียว ไต้หวันมีธุรกิจเอสเอ็มอี 98% ของบริษัททั้งหมดใกล้เคียงกับประเทศเรา แต่รัฐบาลเขารู้ว่าเอสเอ็มอีตลาดสินเชื่อไม่ทํางาน วิธีการก็คือสร้างกลไกสนับสนุน สนับสนุนได้หลายๆมิติ ทั้งการค้ำประกันสินเชื่อและตราสารหนี้เอสเอ็มอี ให้สินเชื่อเจาะจงไปที่กลุ่มผู้ประกอบการอายุน้อยหรือ micro business เพื่อสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงมากขึ้น” ดร.สมประวิณกล่าวและว่า บทบาทของนโยบายต้องเติมเต็มช่องว่างนี้
ความสําเร็จของรัฐบาลไต้หวันมีมาก บริษัทเอสเอ็มอีมีประมาณ 98% แต่สามารถสร้างรายได้ให้ถึงครึ่งหนึ่งของบริษัททั้งหมดของประเทศ แต่ประเทศไทยสร้างรายได้เพียงประมาณสัก 10% เท่านั้น แต่ทั้งหมดนี้สิ่งที่แก้ไขได้ คือการจัดการกับการที่ตลาดไม่สามารถทำงานตามกลไก(market failure) ที่ระบบสถาบันการเงินทําไม่ได้
“ถ้าเรามีคุณภาพของทั้งสามประการนี้แล้ว คนไทยก็จะมีพื้นฐานที่มั่นคงมากขึ้น ก็จะไปช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสุดท้าย สร้างความเท่าเทียมกัน โครงสร้างเศรษฐกิจที่ดี กลไกแรงจูงใจทางเศรษฐกิจที่ดี ต้องทําให้คนตัวใหญ่โตช้ากว่าคนตัวเล็ก คนตัวเล็กจะได้มีแรงจูงใจในการพัฒนา จุดตั้งต้นของแต่ละคนแตกต่างกันได้ แต่ถ้าเราสามารถสร้างการเข้าถึงทรัพยากรที่เท่าเทียมกันได้ สร้างการพัฒนาที่เท่าเทียมกันได้มากขึ้น โอกาสในความเลื่อนชั้นทางสังคมก็จะมีมากขึ้น และก็อาจจะเป็นทางออก แล้วเป็นแบบจําลองในการพัฒนาเศรษฐกิจไทยที่ควรจะเป็น” ดร.สมประวิณกล่าว