ThaiPublica > ประเด็นร้อน > Research Reports > EIC > SCB EIC วิเคราะห์เศรษฐกิจไทยบน ‘โลกสองใบ’ จากสภาพเศรษฐกิจข้างนอกที่ท้าทาย ข้างในที่ยากขึ้น

SCB EIC วิเคราะห์เศรษฐกิจไทยบน ‘โลกสองใบ’ จากสภาพเศรษฐกิจข้างนอกที่ท้าทาย ข้างในที่ยากขึ้น

21 ธันวาคม 2024


ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงาน Economic Intelligence Center (EIC) และรองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานกลยุทธ์องค์กร ธนาคารไทยพาณิชย์

ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงาน Economic Intelligence Center (SCB EIC) และรองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานกลยุทธ์องค์กร ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้บรรยายสรุป ก้าวต่อไปของเศรษฐกิจไทยบน ‘โลกสองใบ’ ในการแถลงข่าวในหัวข้อ “มุมมองเศรษฐกิจไทย ประจำไตรมาส 4 ปี 2567 : เปิดมุมมองเศรษฐกิจและธุรกิจไทยปี 2568 ในวันที่ทุกอย่างต่างจากเดิม โดย ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) วันที่ 20 ธันวาคม 2567

ปี 2568 ประเทศไทยเผชิญกับสภาพเศรษฐกิจที่ข้างนอกท้าทาย ข้างในที่ยากขึ้น โดยความท้าทายจากภายนอกได้แก่ การมีส่วนร่วมในกิจกรรมการผลิตของโลก การค้าโลกที่ลดลง การแข่งขันในตลาดที่เข้มข้นขึ้น ประเทศไทยเองขาดความสามารถในการแข่งขัน ขณะที่ความอ่อนแอจากข้างใน มาจากด้านอุปสงค์เป็นหลัก ทั้งจากปัญหาหนี้ครัวเรือน การขาดความสามารถในการก่อหนี้เพื่อเติบโต และหนี้สาธารณะที่สูงจำกัดการตุ้นทางการคลัง รวมไปถึงยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่เชื่อมวงจรไปภาคการเงิน และประสิทธิผลของนโยบายการเงินและการคลังน้อยลง นำไปสู่กิจกรรมทางเศรษฐกิจไทย ‘สองใบ’ ที่แตกต่างกัน

“ผมชวนมองให้ยาวขึ้น ปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศไทย เพื่อที่จะหาทางออกให้ประเทศไทย แล้วช่วยกันสะท้อนว่าสิ่งที่เราเป็นอยู่ มีแนวทางในการทําให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้นได้” ดร.สมประวิณกล่าว

ดร.สมประวิณกล่าวว่า ในปีที่แล้ว EIC ได้ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยกําลังเข้าสู่ภาวะปกติที่ไม่ปกติ คือ ประเทศไทยอาจจะเติบโตช้าลงจากปัญหาเชิงโครงสร้าง เศรษฐกิจไทยจะโตช้า เปราะบาง ไม่แน่นอน และเห็นชัดเจนมากขึ้น ในที่สุดก็จะกระทบคุณภาพหรือความเสี่ยงของทางการเงินของครัวเรือน ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ได้เห็นถึงความเสื่อมถอยของภาวะการเงินของครัวเรือนมากขึ้น ธนาคารพาณิชย์มีความเข้มงวดมากขึ้น

  • EIC ชี้ เศรษฐกิจไทยโตช้า เปราะบางและไม่แน่นอน อุตสาหกรรมไทยยังมีโอกาสให้รีบคว้าท่ามกลางโลกแบ่งขั้ว
  • ภาคเศรษฐกิจจริงมีความเชื่อมโยงไปยังภาคเศรษฐกิจการเงิน เศรษฐกิจไม่ดี ธนาคารไม่ปล่อยกู้ เศรษฐกิจก็ไม่ดีอีกหมุนวนลงไปเป็นวงจรทางลบ(negative feedback loop) กลไกเหล่านี้ หรือ Financial Decelerator รายได้ที่ไม่พอใช้จ่าย เมื่อต่อเนื่องนานขึ้น ก็ก่อให้เกิดรอยแผลเป็นทางเศรษฐกิจ (economic scar) กระทบงบดุล(balance sheet) ของคน เรื่องสั้นที่เราคิดว่าหมดโควิดแล้วจะหายไปมันก็อาจจะเรื่องใหญ่

    “จากภูมิคุ้มกันจุดตั้งต้นของคนที่ต่างกัน ภูมิคุ้มกันที่ต่างกัน ทรัพยากรที่ต่างกัน ความสามารถในการปรับตัวที่ต่างกันทยอย รอยแผลเป็นของแต่ละคนไม่เท่ากัน ก็เลยแยกคนในประเทศเป็นสองกลุ่ม ประเทศไทยในอนาคตจะมีแนวโน้มแยกออกเป็นโลกสองใบ โลกใบแรกเป็นโลกที่ประกอบไปด้วยคนที่เข้มแข็ง โลกใหม่และตัวใหญ่โลกใบที่สองเป็นโลกที่ประกอบไปด้วยคนที่อ่อนแอ โลกเก่าแล้วก็ตัวเล็ก การมีโลกสองใบของเศรษฐกิจไทยเป็นปัญหา เพราะคนส่วนใหญ่อยู่โลกใบล่าง สุดท้ายจะไม่ใช่ปัญหาทางเศรษฐกิจ แต่จะเป็นปัญหาทางสังคม และนั่นคือสิ่งที่น่ากลัวมาก”

    ดร.สมประวิณได้นำข้อมูล Social Mobility Index(2020)ของ WEF มาแสดงให้เห็นว่าการเลื่อนชั้นทางสังคมนั้นไม่ได้มองเฉพาะรายได้อย่างเดียวแต่มองถึงโอกาสของการพัฒนาชีวิต ไม่ว่าจะเป็นโอกาสในการเข้าการศึกษา โอกาสในการทํางาน โอกาสในการได้รับความเท่าเทียมกันในการปฏิบัติทางสังคม ซึ่งพบว่าประเทศไทยมีคะแนนน้อยกว่าสิงคโปร์ และยังต่ำกว่าเวียดนาม นอกจากนั้นมีงานวิจัยของ ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ คณะเศรษฐศาสตร์จุฬา ที่นำข้อมูลภาษีของคนไทยมาคํานวณเพื่อประเมินการเลื่อนชั้นการจ่ายภาษี โดยแบ่งคนไทยออกเป็น 10 กลุ่มรายได้ ก็พบว่า เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปีโอกาสของการเลื่อนชั้นการจ่ายภาษีแทบไม่มีเลย และพบว่าโอกาสในชั้นรายได้เดิมมีมากขึ้น สะท้อนว่าติดอยู่ที่เดิมตลอด

    EIC เองได้นำข้อมูลบริษัทเล็กกับบริษัทใหญ่ จากกรมพัฒนาธุรกิจมาวิเคราะห์โอกาสที่รายได้ของบริษัทขนาดเล็กโตกว่ารายได้ของบริษัทใหญ่ ซึ่งพบว่าในช่วงโควิดรายได้บริษัทเล็กพุ่งขึ้นเป็นเพราะมาตรการ แต่หลังจากนั้นลดลง แสดงว่าโอกาสการเลื่อนชั้นของบริษัทเล็กลดลงอย่างมาก และโอกาสของการเลิกกิจการของบริษัทเล็กเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมา

    “เราลองย้อนกลับไปที่การเติบโตของเศรษฐกิจไทย 30-40 ปี ค่าเฉลี่ยการเติบโตของรายได้ต่อหัวดีขึ้น 6% ต่อปี แต่คุณภาพเป็นอย่างไร ค่าเฉลี่ยนั้นอาจจะเป็นคนที่อยู่ในโลกใบแรกมาเฉลี่ยด้วยโลกใบที่สอง แต่เราเห็นความแตกต่างของโลกสองใบมากขึ้น นั่นแปลว่า ความห่างของโลกสองใบนั้นอาจจะมีมากขึ้น” ดร.สมประวิณกล่าว

    ความท้าทายภายนอกและความอ่อนแอภายในของประเทศไทยที่เห็นนี้ กำลังสะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำลงในระยะสั้นและมีปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาว ขณะที่แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมาไม่ค่อยเปิดโอกาสให้คนสามารถเคลื่อนตัวขึ้นลงในโครงสร้างทางสังคมได้อย่างเสรี

    ข้อจำกัดเหล่านี้นำพาให้เศรษฐกิจไทยอยู่บนโลก ‘สองใบ’ ที่แตกต่างกันใน 3 มิติ คือ

    1. มิติ : อ่อน-แข็ง โลกสองใบของครัวเรือนฐานะการเงินอ่อนแอกับครัวเรือนฐานะการเงินเข้มแข็ง สะท้อนครัวเรือนไทยมีปัญหาความเหลื่อมล้ำเชิงความมั่งคั่งรุนแรงมาก โดยครัวเรือนที่มีฐานะการเงินอ่อนแอมีรายได้ไม่พอรายจ่าย และมีรายได้เข้ามาไม่สม่ำเสมอ เมื่อครัวเรือนที่มีฐานะการเงินอ่อนแอเผชิญสถานการณ์ที่ทำให้ขาดรายได้ โลกของครัวเรือนกลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบมากกว่าและฟื้นตัวช้ากว่าครัวเรือนที่มีฐานะการเงินเข้มแข็ง

    จากการสำรวจกลุ่มผู้บริโภค 3 กลุ่ม ที่มีรายได้มากกว่า 50,000 บาทต่อเดือน รายได้ 30,000 บาทต่อเดือนและรายได้น้อยกว่า 30,000 บาทต่อเดือนตามลำดับ

    ในกลุ่มรายได้น้อยกว่า 30,000 บาทต่อเดือนพบว่า กลุ่มผู้บริโภครายได้น้อยส่วนมากมีปัญหารายได้ไม่พอรายจ่าย โดยเฉพาะผู้มีรายได้ต่อเดือนไม่เกิน 15,000 บาท สัดส่วนมากกว่า 80% ที่มีปัญหารายได้ไม่พอจ่าย นอกจากนี้มีเงินออมไม่พอ ทำให้ครัวเรือนกลุ่มนี้เกือบทั้งหมดไม่มีเงินสำรองใช้ยามฉุกเฉินหากขาดรายได้ “ดังนั้นการเข้าไปสู่วงจรหนี้เกิดได้ง่ายมาก เมื่อมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ต้องไปกู้ทันที อีกทั้ง 1 ใน 3 ยังไม่มีประกัน หมายความว่ากลุ่มหากมีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิต ทางออกเดียวคือ เป็นหนี้”

    EIC ยังได้วิเคราะห์ว่าการฟื้นตัวที่ผ่านมาในช่วง 2-3 ปีไม่มีส่วนช่วยเหลือคนกลุุ่มนี้เลย โดยจากการแบ่งกลุ่มคนตามหมวดอุตสาหกรรม ภาคเกษตร บริการ ก็พบว่าคนที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท รายได้จะไม่พอกับรายจ่ายอีก 5 ปี คนส่วนใหญ่ของประเทศจะพบกับความยากลำบากในชีวิตต่อไป

    2.มิติ : เก่า-ใหม่ โลกสองใบของภาคการผลิตโลกเก่ากับโลกใหม่ ภาคการผลิตโลกเก่าไม่ได้เติบโตไปกับกระแสการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจ สังคมและเทคโนโลยี หรือจะเผชิญความเสี่ยงในรูปแบบต่าง ๆ ขณะที่ภาคการผลิตโลกใหม่มีโอกาสเติบโตตามการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์และได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงน้อยกว่า

    “โลกกำลังเปลี่ยนแปลง mega trend ที่เห็นมี 4 เรื่อง คือ สังคมชราภาพ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เทคโนโลยี และภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งหมดนี้ต้องเกิดการปรับตัว จะปรับตัวได้แค่ไหนอยู่ที่ผลกระทบ ได้รับผลกระทบมากปรับตัวได้ยาก ผลกระทบน้อยปรับตัวได้ดีกว่า คนที่ปรับได้ยากก็อยู่ในโลกเก่า คนที่ปรับตัวได้ก็อยู่ในโลกใหม่ เมื่อดูการจัดการทางการเงินของกลุ่มนี้” ดร.สมประวิณกล่าว

    3.มิติ : ใหญ่-เล็ก โลกสองใบของธุรกิจใหญ่กับธุรกิจเล็ก กำไรของธุรกิจขนาดเล็กมีความผันผวนมากกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ผ่านมารายได้ธุรกิจขนาดใหญ่ในช่วง COVID-19 ไม่ได้ลดลงเลย และสามารถเติบโตได้เกือบ 10% หลังจากวิกฤติสิ้นสุดลง ในทางตรงข้ามรายได้ของธุรกิจขนาดเล็กหดตัวราว 2-3% ในช่วง COVID-19 และยังไม่ฟื้นตัว

    นอกจากนั้น บริษัทเล็ก กลาง ใหญ่ การฟื้นตัวแตกต่างกัน ตั้งแต่โควิดจนพ้นโควิดมาแล้วบริษัทขนาดเล็กวันนี้ก็ยังไม่ได้ฟื้น ได้รับผลกระทบมากกว่า ในบริษัทขนาดใหญ่ผลกระทบน้อย และฟื้น รายได้โตไปมากกว่าโควิดประมาณ 3 ถึงเกือบ 10%

    “ถ้าปล่อยแบบนี้ไปเรื่อยๆ ปัญหาของเศรษฐกิจจะมีมากขึ้น เราจะเห็นว่าโลกสองใบแตกต่างกันมากขึ้น และการที่มีโลกสองใบการเลื่อนชั้นทางสังคมของคนก็คงจะน้อยลง WEF มีการคํานวณว่า ถ้าคะแนนในตัว Mobility หายไปไปหนึ่งหน่วย เศรษฐกิจจะสูญเสียไปถึงแสนล้าน และมูลค่าเศรษฐกิจที่สูญเสียไปหนึ่งแสนล้านคาดเดาได้เลยว่าจะเกิดขึ้นกับโลกใบล่าง ทางออก คือ แก้ได้ด้วยคุณภาพทางเศรษฐกิจ 3 ประการ” ดร.สมประวิณกล่าว

    แนวทางการพัฒนาทางเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าจึงควรมุ่งลดระยะห่างระหว่างโลกสองใบ ผ่านเป้าหมายการเติบโต ทางเศรษฐกิจอย่างมีคุณภาพ 3 ประการ ดังต่อไปนี้

    1. คนไทยควรมีภูมิคุ้มกันต่อสถานการณ์เลวร้าย ซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่มั่นคงให้คนในโลกที่รายได้น้อยกว่าออกไปคว้าโอกาสในการเติบโต ผ่านการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับคนรายได้น้อย โดยผู้ดำเนินนโยบายมีบทบาทเป็นกลไกเสริมผ่านการช่วยเหลือทางสังคมและประกันทางสังคม ควบคู่ไปกับการออกแบบกติกาในภาคการเงินเพื่อเอื้อให้เกิดการพัฒนาตลาดประกันภัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยและธุรกิจขนาดเล็ก

    “ประเทศไทยมีเศรษฐกิจนอกระบบใหญ่มาก 40% จึงไม่แปลกใจที่คนเหล่านี้เป็นหนี้ได้ง่าย เพราะไม่มีกลไกมารองรับ สิงคโปร์เข้าใจประเด็นนี้ว่าอนาคตของประเทศจะมี gig economy มากขึ้น ผู้ที่ทำงานแบบอิสระมีมากขึ้น รัฐบาลก็ได้สร้างสวัสดิการ ทําระบบสวัสดิการสําหรับ gig worker เชื่อมโยงกับแพลตฟอร์ม แบบคนละครึ่ง กลไกเหล่านี้ช่วยคนได้ 3% แม้ไม่มาก แต่รัฐบาลสิงคโปร์ทำให้เห็นว่าทําได้และเป็นการมองไปข้างหน้าสําหรับโครงสร้างแรงงานที่จะกำลังเปลี่ยนไป

    2. คนไทยควรเติบโตจากการพัฒนาและปรับตัวทันกับภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจ สังคมและเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนไป โดยในการสนับสนุนให้เกิดการปรับตัวและพัฒนาให้ทันภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจ ผู้ดำเนินนโยบายจะเป็นกลไกเสริม ผ่านการหาโอกาสทางธุรกิจผ่านการเจรจาทางการค้าและการลงทุนกลับมาให้ธุรกิจภายในประเทศ

    ดร.สมประวิณยกตัวอย่างมาเลเซีย ที่มีเป้าประสงค์ที่ชัดเจนว่า supply chain โลกกำลังจะเปลี่ยน การทำนโยบายระหว่างประเทศมีทิศทางในเชิงรุก แสวงหาพันธมิตร จนได้ Intel และใช้ประโยชน์จากตำแหน่งที่ตั้งในภูมิภาคเชื่อมโยงกับไทย สิงคโปร์ วันนี้ส่วนแบ่งตลาดintegrated circuit (IC) ของมาเลเซียมีประมาณ 13% ของโลก

    3. คนไทยควรมีโอกาสสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ และเติบโตไปพร้อมกัน ผู้ดำเนินนโยบายจะมีบทบาทในฐานะผู้ออกแบบกติกาของการจัดสรรทรัพยากรทางเศรษฐกิจ และการแข่งขัน เพื่อสร้างโอกาสให้คนจากโลกที่รายได้ต่ำกว่าเข้าถึงทรัพยากร สามารถแข่งขันและเติบโตได้อย่างทั่วถึง

    “ปัญหาเรื่องเอสเอ็มอีไม่ใช่เป็นประเทศไทยประเทศเดียว ไต้หวันมีธุรกิจเอสเอ็มอี 98% ของบริษัททั้งหมดใกล้เคียงกับประเทศเรา แต่รัฐบาลเขารู้ว่าเอสเอ็มอีตลาดสินเชื่อไม่ทํางาน วิธีการก็คือสร้างกลไกสนับสนุน สนับสนุนได้หลายๆมิติ ทั้งการค้ำประกันสินเชื่อและตราสารหนี้เอสเอ็มอี ให้สินเชื่อเจาะจงไปที่กลุ่มผู้ประกอบการอายุน้อยหรือ micro business เพื่อสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงมากขึ้น” ดร.สมประวิณกล่าวและว่า บทบาทของนโยบายต้องเติมเต็มช่องว่างนี้

    ความสําเร็จของรัฐบาลไต้หวันมีมาก บริษัทเอสเอ็มอีมีประมาณ 98% แต่สามารถสร้างรายได้ให้ถึงครึ่งหนึ่งของบริษัททั้งหมดของประเทศ แต่ประเทศไทยสร้างรายได้เพียงประมาณสัก 10% เท่านั้น แต่ทั้งหมดนี้สิ่งที่แก้ไขได้ คือการจัดการกับการที่ตลาดไม่สามารถทำงานตามกลไก(market failure) ที่ระบบสถาบันการเงินทําไม่ได้

    “ถ้าเรามีคุณภาพของทั้งสามประการนี้แล้ว คนไทยก็จะมีพื้นฐานที่มั่นคงมากขึ้น ก็จะไปช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสุดท้าย สร้างความเท่าเทียมกัน โครงสร้างเศรษฐกิจที่ดี กลไกแรงจูงใจทางเศรษฐกิจที่ดี ต้องทําให้คนตัวใหญ่โตช้ากว่าคนตัวเล็ก คนตัวเล็กจะได้มีแรงจูงใจในการพัฒนา จุดตั้งต้นของแต่ละคนแตกต่างกันได้ แต่ถ้าเราสามารถสร้างการเข้าถึงทรัพยากรที่เท่าเทียมกันได้ สร้างการพัฒนาที่เท่าเทียมกันได้มากขึ้น โอกาสในความเลื่อนชั้นทางสังคมก็จะมีมากขึ้น และก็อาจจะเป็นทางออก แล้วเป็นแบบจําลองในการพัฒนาเศรษฐกิจไทยที่ควรจะเป็น” ดร.สมประวิณกล่าว