สมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย จัดเสวนา “การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจไทยเพื่อเพิ่มอัตราการเติบโตอย่างยั่งยืน” ปาฐกถาพิเศษ โดย ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี อดีต รมว. กระทรวงพลังงาน และประธานบริษัทอนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เสวนาเรื่องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจมหภาค โดย ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ: ปัญหาการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยใน 20 ปีที่ผ่านมาและนโยบายการเงินที่ควรพิจารณาใหม่, ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย: ยกเครื่องเศรษฐกิจไทย แก้ปัญหาเศรษฐกิจไทยให้ยั่งยืน, รศ. ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ รองศาสตราจารย์ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย: ภาคการคลังของไทยกำลังประสบปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างรุนแรง หากรัฐบาลไม่ลงมือแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังในวันนี้ ต้นทุนจะสูงขึ้นอย่างมากในอนาคต ดำเนินการเสวนาโดย ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง TDRI

“กอบศักดิ์ ภูตระกูล” รัฐคือปัญหา
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวในหัวข้อ “ยกเครื่องเศรษฐกิจไทย แก้ปัญหาเศรษฐกิจไทยให้ยั่งยืน” ว่า “วันนี้อยากจะพูดถึงการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่รออยู่ข้างหน้า ผมว่าเรามีปัญหาเยอะมาก โดยประเทศไทยมีปัญหาเชิงโครงสร้างครั้งยิ่งใหญ่ เราต้องแก้ตรงไหนบ้าง ต้องปรับปรุงตรงไหนบ้าง”
“ขณะนี้มีคนพูดกันเยอะว่าเรามีวิกฤติโน่น วิกฤตินี่ วิกฤตินั่น ผมขอบอกเลยว่าวิกฤติที่ยิ่งใหญ่ของไทยคือ เราไม่โต ผมคิดว่านี่คือปัญหาสำคัญที่สุด แต่วิกฤติอื่นก็มี เช่น หนี้นอกระบบ หนี้ครัวเรือน และอื่นๆ”
พร้อมย้ำว่า ที่หนักหน่วงและเป็นประเด็นจริงๆ คือ เราไม่โต อยากให้ดูภาพก่อนปี 1997 เราโตในอัตราที่ดี 7.5% หลังออกจากวิกฤติต้มยำกุ้ง เราโตเหลือ 5% เหมือนเราขับรถชนกำแพง ออกมาแล้วบาดเจ็บพิการไปหนึ่งข้าง ทำให้เราโตแค่ 5% แต่พอเราเกิดปัญหาวิกฤติการเงินโลก เราโตได้เหมือนกัน แต่ต่ำลงมาเหลือประมาณ 3% กว่าๆ และตอนนี้เราโตแค่ 1% กว่าๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเครื่องของเราช้าลงเรื่อยๆ แล้วถ้าเดินไปตามทางนี้ มันน่ากังวลใจ
ถ้าไปตามทางนี้เราจะมีปัญหา เพราะว่าตอนนี้เราโตกว่าเมียนมานิดหนึ่ง แม้ว่าวันนี้นำฟิลิปปินส์ เวียดนาม เรายังเหนือกว่าเขา แต่เขากำลังจะแซงเราในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งจากเดิมที่ฟิลิปปินส์เคยดีกว่าเราและเราแซงเขามาได้ แต่ตอนนี้เขาจะกลับมาแซงเราอีกแล้ว และอีกอันหนึ่งที่น่าหนักใจคือ คนที่เราไม่คิดว่าเป็นคู่แข่งเราเลย คือเวียดนาม ก็จะแซงเราเช่นกัน
”มันเป็นไปไม่ได้… ประเทศไทยไม่ได้อยู่ในฐานะนี้ เราดีกว่านั้น คำถามคือเราจะทำอย่างไร ที่เราจะปรับเปลี่ยนโครงสร้าง ให้ ไม่ต้องจบแบบนี้”
พร้อมย้ำว่า ถ้าเรา “ยอม” เดินไปตามทางนี้โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง มันมีนัยเยอะมาก การที่เราไม่โตทางด้านเศรษฐกิจ มันทำให้เราถูก marginalized ทำให้เราสูญเสียอำนาจการต่อรอง โดยเฉพาะหากเราเป็นเบอร์ 2 หรือเบอร์ 3 ของอาเซียน ทำให้เราพูดอะไรไปเขาก็ไม่ฟังเรา เพราะแต่ก่อนเราเคยเป็นเบอร์ 1 พอเราเริ่มตกอันดับ เสียงเราจะเบาลง ความเป็นผู้นำทางการทูตก็ไม่ต้องพูดถึง เขาก็จะบอกว่าไม่มีฐานอำนาจ แม้แต่เรื่องทหาร ก็ไม่มีพลังที่จะไปจัดเรื่องเครื่องมือเครื่องไม้ต่างๆ รวมไปถึงความเป็นผู้นำทางวัฒนธรรมด้วย หรือซอฟต์เพาวเวอร์ต่างๆ เราจะเดินไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร และทั้งหมดนี้ก็หมายถึงอนาคตของเมืองไทย ที่จะค่อยๆ เริ่มแคระลงไปเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน ซึ่งทั้งหมดมาจากตัวเราเอง
แล้ววันนี้ แม้แต่เรื่องออกจาก middle income trap การดูแลเรื่องความเหลื่อมล้ำ…ไม่มีเงินไปดูแล ซึ่งทั้งหมดคือ เราไม่โตแล้ว และอีกอันน่ากังวลใจ เพราะขณะที่โลกกำลังเข้าสู่ disruption แต่เราเปลี่ยนช้าเกินไป คนอื่นเขาเปลี่ยน เราก็เปลี่ยน แต่เราเปลี่ยนช้าเกินไป
ดร.กอบศักดิ์กล่าวว่า ประเทศไทยมีปัญหาเชิงโครงสร้างหลายเรื่องมาก และถึงเวลาต้องยกเครื่องอย่างแท้จริง
ประเด็นที่หนึ่ง เรื่องเทคโนโลยี “ผมว่าเรื่องนี้เรามาถึงสุดทางแล้ว ผมอยากใช้คำว่าสุดทาง หมายความว่าประเทศไทย เราเจริญมาจากอีสเทิร์นซีบอร์ด ช่วงนั้นมีเงินลงทุนจากญี่ปุ่นเข้ามาเยอะ มีการเปลี่ยนเทคโนโลยีครั้งใหญ่ และทำให้ประเทศไทยก้าวขึ้นมาสู่บันไดของเทคโนโลยีได้ แต่ ณ วันนี้ ผมบอกเลยว่า เทคโนโลยีของญี่ปุ่นเริ่มตกเทรนด์แล้ว ดู ‘โซนี่’ เป็นตัวอย่าง วันนี้โซนี่หายไป แต่เรายังผูกติดกับเขา (ญี่ปุ่น)”
แล้วที่สำคัญคือรถยนต์ของเขาก็ตกเทรนด์เช่นเดียวกัน ซูบารุ ซูซูกิ และนิสสัน ที่กำลังปิดโรงงานไป ขณะนี้คืออะไร คำตอบก็คือว่าเพราะเขากำลังไปต่อไม่ได้ เทคโนโลยีที่เราพึ่งพาและผูกติดมาร่วม 20 ปีที่ผ่านมา และนำไปสู่ความสำเร็จ ณ วันนี้ มันไม่ทันแล้ว
“ผมว่าเราต้องมานั่งคิดเรื่องเทคโนโลยีอย่างยิ่ง ที่คนไม่พูดกัน ก็คือว่า ท่ามกลาง disruption ที่กำลังเกิดขึ้น โดยเฉพาะเทคโนโลยี มันจะนำไปสู่ great transition ที่ยิ่งใหญ่ของไทยที่รออยู่ โดยเราต้องเปลี่ยนโรงงานของเราให้กลายเป็นดิจิทัลให้ได้ เพราะว่ามีคู่แข่งจำนวนมาก โดยเฉพาะจีน อินเดีย และอื่นๆ ถ้าโรงงานเรายังเป็นโรงงานเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ถ้าเอาโรงงานเก่าๆ ของเราไปแข่งกับเขา เราต้องแย่แน่ๆ เลย”
เพราะฉะนั้น ผมคิดว่าการเปลี่ยนผ่านต้องมีการปรับเปลี่ยนใน 3 ด้าน ได้แก่ การปรับเปลี่ยนด้านดิจิทัล (digital transformation), การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (energy transition) เราต้องปรับโครงสร้างพลังงานของประเทศให้ได้ และการเปลี่ยนผ่านทางด้านการเงิน (financial transition) เพราะธนาคารเริ่มปิดสาขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกัน ATM เราอาจจะหายไปเช่นกัน เพราะทั้งหมดจะมาอยู่บนมือถือและดิจิทัลทั้งหมด จะเป็นการเปลี่ยนครั้งใหญ่ของธนาคาร ถ้าประเทศไทยไม่ทำเรื่องเทคโนโลยีอย่างแท้จริง ก็จะเป็นปัญหาตามมา

ประเด็นที่สอง เรื่องคนและคุณภาพของคน ผมว่า ลี กวนยู พูดถูก เราต้องพัฒนาคน เรามีอยู่อย่างเดียวก็คือคน สิงคโปร์เขาทำจนสำเร็จ แต่ประเทศไทยไม่ได้ขาดคน ที่บอกว่าเด็กน้อยลง ใช่…เป็นปัญหา แต่ไม่ได้เป็นปัญหาทั้งหมด ที่สำคัญ เรามีเด็ก แต่เราทำลายเด็กไปเยอะมาก ผลการศึกษาของแพทย์หญิงโรงพยาบาลรามาธิบดี พบว่าเด็กไทยเมื่อแรกเกิดนั้น มีไอคิว behavior response ไม่แตกต่างจากเด็กที่เกิดในโลกตะวันตก แต่เมื่ออายุ 6 ปี เด็กไทยกลับมาไอคิวเหลือ 80-90 ในขณะที่โลกมีไอคิว 100-110 ทั้งหมดเป็นเพราะตัวของเราเอง ที่เกิดขึ้นคือเราเลี้ยงเขาไม่ดี ทำให้ไอคิวเขาหายไป โดยในต่างจังหวัด พบว่าเด็กในชนบทต่ำกว่าในเขตเทศบาล และเด็กในอีสาน ในภาคเหนือ ต่ำกว่ากรุงเทพฯ
“ผมอยากถามว่า เราคลอดลูกกันมา 7-8 แสนคน แต่แล้วภายใน 6 ปี เราทำร้ายไอคิวเขาให้เหลือต่ำกว่ามาตรฐานเกินครึ่ง แล้วเราจะสู้ได้อย่างไร ถ้าในโลกปัจจุบันคือโลกของเทคโนโลยีและทักษะ”
นอกจากนี้ กระบวนการสร้างคนยังทำร้ายทักษะของเด็กอีก เพราะโรงเรียนที่ใกล้บ้านกว่า 3-4 หมื่นแห่ง เป็นโรงเรียนที่ไม่ได้ให้ความรู้กับเด็ก แม้ว่าเขาจะได้เข้าเรียนตามรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ที่กระทรวงกำหนดไว้ แต่พอถึงเวลาผลสอบ มาตรฐานของเขาแย่ โดยผลสอบโอเน็ตที่ดีคือโรงเรียนเตรียมอุดมได้ 350 เป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ แต่โรงเรียนอื่นๆ เด็กประมาณ 100 คน หรือ 50 คน เป็นโรงเรียนเล็กๆ ในภาคอีสาน ได้คะแนนต่ำกว่า 150 คะแนน จากทั้งหมด 500 คะแนน นี่คือปัญหาอย่างยิ่ง
ดังนั้น นอกจากทำร้ายไอคิวเด็กอายุ 6 ขวบแล้ว เรายังจับเด็กไปสู่โรงเรียนที่ไม่สอนเขา เพราะโรงเรียนขนาดเล็กมีอาจารย์ 1-3 คน ครู 1 คน สอน ป.1, ป.2 ครูอีกคน สอน ป.3, ป.4 สอนทุกวิชา ตั้งแต่สังคมสาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ แล้วเด็กจะได้ความรู้ได้อย่างไร
ถ้าโลกเหมือนเดิม ก็ไม่มีปัญหา แต่โลกเข้าสู่ยุคเอไอ เทคโนโลยี แต่เด็กเราไม่มีทักษะที่เหมาะสม ก็ยากที่จะสร้างคน สร้างประเทศ ผมว่าเราต้องจัดการเรื่องนี้ให้ได้ เราไม่ได้ขาดเด็ก แต่เราทำร้ายเขาจนขาดคุณภาพ
ประเด็นที่สาม รัฐบาลคือข้อจำกัดของประเทศ ผมเคยเป็นฝ่ายการเมืองมาแล้ว มันต้องพูดความจริงถึงจะตอบคำถามได้ รัฐบาลคือข้อจำกัด คือ 1. นโยบายการเมืองที่ไม่ต่อเนื่อง ทำนโยบายสั้นๆ ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจสั้นๆ แต่นโยบายเชิงโครงสร้าง เทคโนโลยี เรื่องคน ต้องใช้เวลานาน ยาวเกินไป ต่อให้ทำวันนี้ แต่ได้ผลยาวไปอีกหลายสิบปี เขาไม่ทำ เพราะไม่ได้คะแนน นี่คือสิ่งที่ทำให้โครงสร้างประเทศไทยไม่ดีขึ้น จึงมีถนนเจ็ดชั่วโคตร หลากหลายอย่าง เพราะว่าเรามุ่งระยะสั้นเกินไป
2. ด้านข้าราชการก็อ่อนคุณภาพลงไปเมื่อเทียบกับสมัยก่อน ส่วนของราชการก็เหมือนกัน
แม้กระทั่งในเรื่องของกระบวนงานต่างๆ กฎหมาย ของเราล้าสมัยมาก เราสะสมกฎหมาย แต่ไม่ทำลายกฎหมาย และกฎหมายเก่าๆ เป็นกฎหมายที่สร้างภาระ ทำให้เกิดต้นทุน และขั้นตอนต่างๆ กระบวนการต่างๆ ทำให้เกิดการคอร์รัปชัน
3. ปัญหาที่สำคัญ ‘การไม่ตัดสินใจ’ เรามีเรื่องใหญ่เยอะมากที่ต้องตัดสินใจ แต่เราไม่ตัดสินใจในการเปลี่ยนเรื่องต่างๆ เหล่านี้ และที่สำคัญที่สุดคือเราไม่ทันเฉลียวใจว่าโลกทุกวันนี้ มันเปลี่ยนโครงสร้างไปหมดแล้ว สิ่งที่เราเคยสำเร็จ สมัยเมื่อปี 1985-1990 ช่วงนั้นเพราะเรายังไม่มีคู่แข่ง เราคือคนเดียวในเวทีที่ทุกคนมองหา แต่วันนี้ เวียดนาม อินโดนีเซีย แม้กระทั่งจีน อินเดีย ซึ่งแต่ก่อนไม่ใช่คู่แข่งเราเลย แต่ตอนนี้เขาขึ้นมาหมดแล้ว
แล้วเรายังไม่เปลี่ยนตัวเอง เราอยู่เหมือนเดิม ถึงเวลาที่เราต้องเปลี่ยน เราสุดทางเดินแล้ว บุญเก่าที่เราเคยสำเร็จสมัยญี่ปุ่น น่าจะจบรอบแล้ว
ถ้าเราไม่กลับมานั่งคิดเรื่องการเปลี่ยนเทคโนโลยี เปลี่ยนเรื่องคน แม้กระทั่งเปลี่ยนรัฐบาลให้เป็นรัฐบาลดิจิทัลให้มากขึ้น เอาคนออกไป และลดความซับซ้อนของกฎระเบียบต่างๆ ซึ่งนี่คือปัญหา เพราะเรามีปัญหา อุปสรรค และภาระเต็มไปหมดเลย ทำให้เราช้าลงแต่เราก็มัวแต่ทำเรื่องสั้นๆ พยายามกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เราไม่ขจขัดคอเลสเตอรอล ในร่างกายของเรานี้คือปัญหา
ที่สำคัญ การที่เราไม่ตัดสินใจไม่ใช่คำตอบ เพราะการอยู่นิ่งๆ ก็เป็นความเสี่ยงอีกแบบหนึ่ง แล้วประเทศไทยขณะนี้เราสร้างโครงสร้างมาเพื่อ ‘จะไม่ทำอะไร’ เพราะการทำอะไร มันเป็นความเสี่ยงของคนที่ทำ
เหมือนกับว่าเราขับรถไป ใกล้จะตกเหว แต่คนขับรถไม่ยอมเปลี่ยนซ้าย-ขวา แล้วถามว่าทำไม เพราะเขาบอกว่าถ้าไปข้างซ้าย ขับไปมันจะตกทาง และขับไปข้างขวาแคบเหลือเกินก็จะตกทาง เพราะฉะนั้นเขาไม่ทำอะไร ให้รถมันตกไปเอง เพราะผมไม่ผิด หากผมพยายามแล้ว รถตกทาง เดี๋ยวผมผิดเอง จึงไม่น่าแปลกใจที่ระบบราชการ ไม่ตัดสินใจในสิ่งต่างๆ ในปัจจุบัน ที่จำเป็นในขณะนี้
ดังนั้นถ้าเราอยู่เหมือนเดิม ในโลกเดิม ไม่เปลี่ยนไม่เป็นไร อย่างผมอยู่ในธนาคาร ถ้าเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว ธนาคารก็อยู่เหมือนเดิมได้ ตำแหน่งไม่เปลี่ยน แต่วันที่เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็ว ถ้าเราไม่เปลี่ยนเลย ตำแหน่งจะเปลี่ยนอย่างรวดเร็วโดยที่เราไม่รู้ตัว เหมือนอย่าง โนเกีย โกดัก เป็นต้น ซึ่งเป็นต้นแบบที่น่าสนใจ พอเขาไม่ยอมตัดสินใจท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง ก็นำมาสู่เรื่องของการสูญเสียตำแหน่งอย่างรวดเร็ว
เมืองไทยก็เหมือนกัน ผมว่า นี่คือ decision time เราต้องตัดสินใจทำอะไรสำคัญๆ แล้วสถานการณ์ที่ปิดโรงงาน ซึ่งไม่ใช่โรงงานขนาดเล็ก แต่เป็นโรงงานใหญ่ๆ จำนวนมาก ทั้งหมดคือระฆังเตือนว่า บุญเริ่มหมดจริงๆแล้ว และเราต้องกลับมาทำเรื่องซัพพลายไซซ์ ดีมานด์แมเนจเมนต์ และทำเรื่องพื้นฐานที่แท้จริง ล้วนสำคัญที่จะทำมาหากินให้ประเทศ

ส่วนคำถามที่ว่าตลาดทุนที่เป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจ มองบทบาทของตลาดทุนอย่างไร
ดร.กอบศักดิ์ กล่าวว่า “เรื่องของตลาดทุนจะมีบทบาทอย่างยิ่ง ถ้าไปดูในสหรัฐ ในหุ้นที่เป็น TOP Market Capitalization คนที่นำตลาดตอนนี้เป็นบริษัทที่ไม่เคยมีชื่อเลยในก่อนหน้า แต่ก่อนเราต้องพูดถึง Citi, GE, Exxon แต่ตอนนี้บริษัทเหล่านี้กลายเป็นแถวสอง แถวสามไปแล้ว ปัจจุบันคือ Microsoft, Google, Amazon, NVIDIA, Tesla, Meta ซึ่งเป็นบริษัทใหม่ๆ นี่คือหัวใจ ที่เราต้องสร้างธุรกิจอะไรใหม่ๆ ซึ่งมีอินโนเวชันเบส ดังนั้น จะต้องสร้างโครงสร้างตลาดทุนเพื่อสร้างยูนิคอร์น ประเทศไทยมีปัญหามาก เพราะในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเราทำแถบตายมียูนิคอร์น 2 ตัวครึ่งและไม่เพิ่มอีกแล้วเหมือนหมดป่าหิมพานต์แล้ว ขณะที่อินโดนีเซีย เวียดนาม อินเดีย จีน มีเยอะมาก แล้วในอนาคตเราจะทำอย่างไร เพราะว่าบริษัทใหญ่ของเราอย่าง ปตท. กำลังตกรุ่น คือ ฟอสซิลกำลังหมดไป แล้วธนาคารก็ไม่ใช่ธุรกรรมแห่งอนาคต แค่สนับสนุน ถ้าเป็นแบบนีตลาดทุนต้องเปลี่ยนในการสร้างผู้เล่นใหม่ๆ และจะต้องสร้างโครงสร้างที่จะสนับสนุนนวัตกรรมใหม่”
ส่วนเรื่องการเมืองมีบทบาทอย่างไรในการขับเคลื่อนเศราฐกิจ ดร.กอบศักดิ์กล่าวว่า “ตนอยู่มาหลายที่ ผมคิดว่าการเมืองถ้าไม่เปลี่ยน เราคงได้ประมาณนี้ คือว่า ไม่ว่าใครเข้ามา extension จะอยู่ที่ระยะสั้นและในเชิงนโยบายอาจจะไม่ใช่นโยบายที่เราต้องการ พอเป็นลักษณะนี้ต้องมาคิดกันว่าเราจะเดินต่ออย่างไร เพราะว่าการเมืองเขามี short term มีเป้าหมายที่ไม่ใช่เป้าหมายของเรา”
“ผมคิดว่าบทบาทที่สำคัญคือ เราจะต้องมีวิชั่นร่วมกันระหว่างคนที่อยู่นาน เมื่อการเมืองไม่ต่อเนื่อง นโยบายก็ไม่ต่อเนื่อง เช่น เรื่อง EEC พอเปลี่ยนรัฐบาลก็อยากจะเปลี่ยนชื่อ ไม่อยากทำโครงการเดิม เพราะฉะนั้นทำอย่างไรที่เราจะเดินหน้าให้ต่อเนื่องได้ คำตอบในเรื่องนี้ ผมคิดว่าในเมืองไทยมีความต่อเนื่อง 2 อย่าง คือ กลุ่มนักวิชาการและเอกชน เป็นไปได้มั้ยที่นักวิชาการและเอกชนจะร่วมกันตกผลึกวิชั่นไทยแลนด์ว่าประเทศไทยต้องการอะไร และรวมพลังเรียกร้อง เพราะว่านักการเมืองเขาอยู่ ปีสองปีเขาก็ไป แต่เราอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าใครมาใครไป เราก็จะบอกว่าเราต้องการได้เรื่องนี้ นี่คือคำตอบประเทศไทย และขอให้ทำให้ด้วย ยกตัวอย่างเช่น ตอนนี้เราต้องการท่าเรือฝั่งตะวันตก เพราะจากเดิมมีท่าเรือแหลมฉบัง ก็พอแล้ว แต่ว่าตอนนี้ตลาดยิ่งใหญ่ อยู่ที่ฝั่งตะวันตกของไทยคือ อินเดีย บังกลาเทศ แอฟริกา ถ้าเราใช้ที่แหลมฉบัง เราจะมีปัญหาช่องแคบมะละกา เพราะฉะนั้น ถ้าเรามีพื้นที่ฝั่งตะวันตก ทำไมเราไม่ใช้มันแล้วทำให้ประเทศไทยเข้มแข็งเพิ่มขึ้น เพราะเวียดนามผ่านไม่ได้ เพราะฉะนั้น เราต้องทำท่าเรือฝั่งตะวันตก ซึ่งภาคเอกชนและนักวิชาการต้องรวมพลังกันเพื่อทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ทำแลนด์บริดจ์ เราต้องทำท่าเรือตะวันตก เรื่องคน เรื่องเทคโนโลยี หากเอกชนนักวิชาการรวมกันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้”
เมื่อถามเรื่องความเหลื่อมล้ำ ดร.กอบศักดิ์กล่าวว่า “เป็นเรื่องหนักอก ประเด็นความไม่เท่าเทียม จากการที่เศรษฐกิจโตช้า โตแบบกระจุก และเลือกที่โต หากมองย้อนหลัง เรามีปัญหาจริงๆ การโตช้าเป็นเรื่องซึมเข้ามา นี่คือภาพของประเทศไทย เด็กโรคตานขโมยชื่อประเทศไทย โตกรุงเทพฯ โตอีอีซี โตเชียงใหม่ โตภูเก็ต ที่เหลือแขนขาลีบหมด ประเทศพัฒนามา 50 ปี ไปดูชนบท ทุกที่อ่อนแอหมดแล้ว มีแต่หนี้ มีแต่เด็ก ผู้สูงอายุ ระยะยาวหากเดินตามทางนี้ เป็นความอ่อนแอเชิงโครงสร้างครั้งยิ่งใหญ่ เพราะเราเดินผิดทางมาตลอด สร้างความเหลื่อมล้ำ งบช่วยเหลือประชาชนเพิ่มขึ้นจากปี 2550 จาก 1% ของรายได้เฉลี่ยครัวเรือน เพิ่มขึ้นมาเป็น 10% ของรายได้เฉลี่ยครัวเรือนในปี2564
“เรามักบอกว่าเรามีคนจนน้อยลง ประเทศไทยจัดการคนยากจนที่ต่ำกว่าเส้นความยากจนได้อย่างดียิ่ง แต่เราพบว่าคนจนที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนน้อยลง เพราะรัฐบาลเอาเงินมาช่วยเหลือมากขึ้นเรื่อยๆ หากเอาเงินก้อนนี้ออกไป คนที่อยู่ต่ำกว่าความยากจนมีถึง 4 ล้านครัวเรือน ไม่ใช่หนึ่งล้านครัวเรือน และ 3 ล้านครัวเรือน นี่คือครัวเรือนที่ไม่สามารถทำมาหาเลี้ยงชีพได้ ต้องช่วยเหลือเขาตลอดไป จึงเป็นรายจ่ายของภาครัฐที่กัดกินทุกอย่าง หากตัดเงินช่วยเหลือ เงินสงเคราะห์ออกไป คนยากจน ยังเท่าเดิม แต่เราไปอุ้มเขาอยู่”
ถามว่าเราจะจัดการปัญหานี้อย่างไร ไม่ต้องคิดว่าประเทศไทยจะพ้นกับดักรายได้ปานกลางได้ เป็นประเทศพัฒนาแล้ว เพราะเรามีคนจน 20 ล้านคน ที่บอกว่าเขามีรายได้ เราหลอกตัวเองว่าเขาเลี้ยงตัวเองได้ มีรายได้ แต่เป็นรายได้ที่รัฐบาลเลี้ยงเขาอยู่ อยู่ได้เพราะการอุ้มของรัฐบาล เราจะจัดการปัญหานี้อย่างไร เราไม่ต้องคิดไปเป็นประเทศพัฒนา เป็นไปไม่ได้… ตราบใดที่เรามีคนจน 20 ล้านคนอยู่ เราอุ้มเขาอยู่บนพื้นฐานการอุ้มของรัฐ นี่คือปัญหา เราต้องแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ จากความสามารถในการสร้างรายได้ที่แท้จริง นั่นคือหัวใจ
เราเริ่มจากความเชื่อที่ผิดหลายเรื่อง โดยการแก้จากบนลงล่าง สร้างเจ้าสัวก่อนแล้วชาวบ้านจะรวย ทำเมืองก่อนแล้วชนบทจะดี ไม่จริง การแจกเงินไม่ใช่คำตอบสุดท้าย เพราะทำให้เขาอยู่อย่างไร้ศักดิ์ศรี แจกผู้สูงอายุ 1,000 บาท ไม่ใช้การอยู่อย่างแท้จริง เป็นภาพลวงตา ทำให้เราหลงทาง มีความอ่อนแอเต็มประเทศ
ความเหลือมล้ำเหล่านี้เราสร้างของเราเอง สร้างด้วยมือของเราเอง ด้วยนโยบายของรัฐบาล เพราะว่าเด็กๆเกิดมาเท่ากัน แต่จากกระบวนการเลี้ยงดูเด็กใน 6 ปีแรกความแตกต่างก็เกิดขึ้น ไปเจอโรงเรียนไม่มีคุณภาพ พออายุ 18 ปี ทำให้ต่างกันในเชิงทักษะอย่างรุนแรง ตลาดแรงงานจะให้เงินเดือนเท่ากันได้อย่างไร แต่เราพยายามแจกเงินเพื่อกลบเสียหายเหล่านี้ นี่คือสภาพเรือรั่ว (ปัญหาประเทศ) จากการสร้างของเราเอง แต่เราไม่ปิดรูรั่ว แต่พยายามบรรเทาปัญหา หากเราไม่แก้ปัญหาเรื่องเด็ก (สร้างเด็กให้มีคุณภาพ) ความเหลื่อมล้ำก็ไม่จบ เรื่องการแข่งขันก็เป็นไปไม่ได้ เรื่องการเป็นประเทศพัฒนาแล้วก็เป็นไปไม่ได้
“ผมอยากบอกว่าประเทศไทยในเชิงนโยบาย มี uneven playing field เต็มไปหมด เราควรทำนโยบายที่ดีๆ อย่างเราไม่ได้ทำเรื่องระบบน้ำ เพราะน้ำคือจุดเริ่มต้นของรายได้ เรามีพื้นที่ชลประทานน้อยมาก จึงหารายได้ไม่ได้ กฏหมายก็ทรีตคนไม่เท่ากัน เป็นตัวทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำของประเทศอันหนึ่ง ระบบการออมที่คิดว่าเท่ากันก็ไม่เท่า คนจนเข้าแบงก์ไม่ได้ สาขาแบงก์ไม่ได้เยอะอยู่เฉพาะหัวเมือง ค่าเดินทางมา 100 บาท แต่ดอกเบี้ยเงินฝากได้ปีละ 50 บาท เขาก็ไม่ใช้ไม่ได้ ก็ไม่มีโอกาสในการออม จึงเกิดไม่ได้ จึงย้ำว่าเราคือคนที่สร้าความเหลื่อมล้ำจากนโยบายภาครัฐ จากการที่เราสร้าง uneven playing field
นอกจากนี้ รัฐบาลมีการบริหารแบบสะเปะสะปะ เงินงบประมาณที่ใช้ไปไม่มีการทบทวน ประเมินว่าโครงการไหนควรอยู่ควรยุบ เราใช้เงินในโครงการลดความเหลื่อมล้ำปีละ 800,000 ล้านบาท แต่ความเหลื่อมล้ำไม่เคยลดลงเลย แล้วเราจะใช้เงินไปอย่างนี้อีกแค่ไหน ระบบราชการมีข้อจำกัด เราจะออกจากความเหลื่อมล้ำได้ ต้องให้ชาวบ้านมีรายได้ แต่ชอบให้ข้าราชการไปสอนชาวบ้านทำมาหากิน ถามว่าจะสำเร็จไหม เราเอาเงินจำนวนมากไปผ่านข้าราชการ แต่รัฐน่าจะไปผ่านช่องทางอื่นๆ จะได้ผลมากกว่า เราต้องหาทางใหม่ที่จะสร้างความเข้มแข็งจากข้างล่างให้ได้ ชาวบ้านมีศักยภาพ เพียงแต่เราคิดว่าเขาไม่มี หากพลิกตรงนี้ได้ ให้ชาวบ้านปลดปล่อยศักยภาพ พลิกศักยภาพตัวเองขึ้น รวมตัวกันขึ้นมา ซึ่งเรายังมีเวลาเตรียมเรื่องนี้ได้ ข้างหนึ่งทำเรื่องผลิตภาพ อีกด้านดูแลสร้างความเข้มแข็งของชุมชน เชื่อว่าเราจะเปลี่ยนประเทศไทยได้

“อธิภัทร มุทิตาเจริญ” ถ้าไม่ทำอะไร จะถูกบังคับให้ทำเรื่องยากๆ
ขณะที่ รศ. ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ถ้ามองประเทศไทยเป็นบ้านหลังหนึ่ง การคลังก็คือเสาเข็มในการค้ำจุนโครงสร้างของบ้านเราไว้ แต่วันนี้เรามีปัญหาความท้าทายเชิงโครงสร้างทางด้านการคลังที่มีสัญญาณเตือนว่ากำลังสั่นคลอน
สิ่งที่ผมคิดว่าควรให้ความสำคัญมากกว่าเรื่องหนี้สาธารณะ คือ ดุลการคลัง โดยตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ดุลการคลังของเราขาดดุลแทบจะทุกปี และแม้ว่าหลายคนจะมองว่าเป็นเรื่องปกติของประเทศที่มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง หากรัฐบาลไม่แข็งแรง จะมองสั้นเป็นหลัก
แต่สิ่งที่น่ากังวล คือ ขนาดของการขาดดุลมันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อก่อนเราขาดดุลแค่ 1% ต่อจีดีพี แล้วขยับมาเป็น 2-3% แต่ ณ วันนี้มันเฉียด 4% แล้ว แม้กระทั่งในแผนการคลังระยะปานกลางล่าสุดที่เพิ่งออกมาเมื่อเดือนที่แล้ว ก็เฉียด 4% อยู่ดี
คำถามที่ตามมาว่า เราเห็นปัญหาการขาดดุลเรื้อรังแบบนี้ ผลกระทบคืออะไรหากเราละเลยไปเรื่อยๆ ผลกระทบตัวแรกคือ เสถียรภาพทางด้านการคลังของประเทศไทยไม่ใช่จุดแข็งของประเทศอีกต่อไปแล้ว เมื่อก่อนรายงานของสถาบันจัดอันดับเครดิตเรตติงชี้ว่านโยบายการคลังเป็นจุดแข็งของประเทศ วันนี้มันเป็นปัจจัยดาวน์เกรดแทน เนื่องจากรัฐบาลไทยขาดดุลทางการคลังสูงกว่ากลุ่มประเทศในอันดับความน่าเชื่อถือเดียวกันกับเรา การขาดดุลนี้หมายความว่าภาระหนี้ของรัฐบาลก็สูงขึ้นเรื่อยๆ จะไปสร้างข้อจำกัดของภาครัฐในการสนับสนุนการเติบโต และรองรับวิกฤติในอนาคตที่อาจจะเกิดขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม รศ. ดร.อธิภัทร ได้แบ่งความท้าทายทางการคลังทั้งหมด 3 ประการ คือ มิติแรก เรื่องรายได้ มิติที่สองรายจ่าย มิติที่สามเรื่องรัฐบาลมองสั้นเป็นหลัก ไม่มีแผนระยะยาวทางด้านการคลังที่เชื่อถือได้
มิติรายได้ของรัฐบาลเมื่อเทียบกับจีดีพีลดลงอย่างต่อเนื่องเมื่อก่อนเคยอยู่ที่ 16% ต่อจีดีพี แต่ณ วันนี้ อยู่ประมาณ 14% ต่อจีดีพี ขณะที่รายได้ของเรามีเพียงพอรองรับรายจ่ายประจำ และการจ่ายหนี้เท่านั้น แต่ไม่เพียงพอในการใช้จ่ายในเรื่องของการลงทุน แล้วทำไมรายได้ถึงลดลง สาเหตุส่วนใหญ่เป็นเพราะเกือบทุกรัฐบาลที่เข้ามาล้วนทำนโยบายลดภาษีและการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี จนรายได้เข้ารัฐน้อยลง เป็นเพราะรัฐบาลเอง โดยหวังเพียงคะแนนนิยมในช่วงการเลือกตั้งเท่านั้น ตอนแรกเป็นการลดภาษีแค่ชั่วคราว แต่ไม่มีอยู่จริง เพราะขยายจนเป็นถาวรต่อมา เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม
นอกจากนี้ ประเทศไทยมีเศรษฐกิจนอกระบบใหญ่ที่สุดในอาเซียน ขณะที่ธุรกิจขนาดเล็กที่ไม่ยอมเข้าระบบ
มิติที่สอง รายจ่ายของภาครัฐไทยคิดเป็นประมาณ 17-18% ของจีดีพี หากมององค์ประกอบการใช้จ่าย มีการใช้จ่ายที่ไม่สามารถลดทอนได้ ซึ่งกว่า 70% เป็นรายจ่ายที่ยากต่อการลดทอน เช่น สวัสดิการค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการเกี่ยวกับสังคมสูงวัย เป็นความเสี่ยงสำคัญของภาคการคลัง หากยังไม่ปฏิรูปค่าตอบแทนจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ การชำระหนี้ หรือเงินเดือนซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายคงตัว และเป็นสาเหตุที่ทำให้รัฐบาลไม่สามารถทำโครงการใหม่ๆ ได้ ในขณะที่งบลงทุนทรงตัวอยู่ที่ 4% ของจีดีพีมาตลอด
ทั้งนี้ เมื่อรัฐเร่งลงทุนในสิ่งที่ตัวเองทำได้ง่ายที่สุด โดยจะเห็นได้ว่า 1 ใน 3 เป็นงบสร้างถนน และกว่าครึ่งเป็นเรื่องการก่อสร้าง ซึ่งสร้างคำถามต่อมาว่า องค์ประกอบการลงทุนตัวนี้จะยกระดับผลิตภาพของประเทศได้จริงๆ หรือเปล่า ที่น่ากังวลกว่านั้น การติดตามการลงทุน ว่าลงทุนอะไรบ้าง เป็นการติดตามที่ทำความเข้าใจยากมาก เพราะข้อมูลในการค้นหามันเป็นอุปสรรค
มิติสุดท้าย โครงสร้างของรายจ่าย รากเหง้ามาจากการที่รัฐบาลวางนโยบายการคลังมุ่งผลระยะสั้นเป็นหลัก ไม่ใส่ใจผลระยะยาวเท่าที่ควร ทำให้ความสามารถของรัฐบาลในการรับมือความท้าทายในอนาคตระยะยาวถูกจำกัดลง ที่ผ่านมาเราโตไม่ถึง 3% หากจีดีพีขยายตัวต่ำกว่า 2% จะทำให้หนี้สาธารณะต่อจีดีพีเกิน 70% ทันที
นอกจากนี้ เราเป็นสังคมสูงวัยเต็มตัวแล้ว รายจ่ายสวัสดิการบุคลากรภาครัฐเพิ่ม 8% ต่อปี ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย รายจ่ายที่ยากลดทอนจะยิ่งมากขึ้น ถ้ามีวิกฤติขนาดใหญ่ขึ้นมา ซึ่งพื้นที่ทางการคลังเราก็แทบจะไม่มีแล้ว ทำให้มีปัญหาตามมา ถ้าดูภาระดอกเบี้ยหนี้สาธารณะต่อจีดีพี วันนี้เราอยู่ที่ 1% แต่อีก 3 ปีข้างหน้าจะเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 2 ทศวรรษ และในอีก 5 ปีจะเกือบ 2% ต่อจีดีพี นี่คือต้นทุน
“หากเราไม่ทำอะไรเลย ถ้าเราไม่ทำอะไรเลยในวันนี้ ตอนนี้เราอยู่ที่ทางแยกสำคัญ เรามีต้นทุนเกิดขึ้น ในอนาคตเราอาจถูกบังคับให้ทำอะไรที่ยากๆ เช่น ขึ้นภาษี การตัดรายจ่ายอย่างฉับพลัน และวันนั้นต้นทุนการทำเรื่องนี้อาจจะสูงกว่าวันนี้อย่างมหาศาล”
ดูเพิ่มเติมที่นี่https://www.facebook.com/share/p/4qZG9efbLT4gE6vh/?