
คณะกรรมการกนง. มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.50 ต่อปี โดย 1 เสียง เห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี
นายปิติ ดิษยทัต เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุม กนง.ในวันที่ 12 มิถุนายน 2567 ว่า คณะกรรมการฯ มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.50 ต่อปี โดย 1 เสียง เห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี
เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวจากอุปสงค์ในประเทศและภาคการท่องเที่ยว ขณะที่การส่งออกขยายตัวในระดับต่ำ โดยสินค้าส่งออกบางกลุ่มมีแรงกดดันเพิ่มเติมจากการแข่งขันที่สูงขึ้น ด้านอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มทยอยปรับขึ้นและประเมินว่าจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปี 2567 กรรมการส่วนใหญ่เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจที่โน้มเข้าสู่ศักยภาพและการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจและการเงิน จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้ ขณะที่กรรมการ 1 ท่าน เห็นว่าควรปรับลดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 ต่อปี เพื่อให้สอดคล้องกับศักยภาพทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่ำลงจากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ชัดเจนขึ้น และจะมีส่วนช่วยบรรเทาภาระของลูกหนี้ได้บ้าง
เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวที่ร้อยละ 2.6 และ 3.0 ในปี 2567 และ 2568 ตามลำดับ โดยเศรษฐกิจในปีนี้ได้รับแรงส่งจากอุปสงค์ในประเทศที่สูงกว่าคาดในไตรมาสที่ 1 ภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่อง รวมทั้งการเบิกจ่ายภาครัฐที่กลับมาเร่งขึ้นในไตรมาสที่ 2 ขณะที่ภาคการส่งออกในปีนี้จะยังขยายตัวในระดับต่ำ ส่วนหนึ่งสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างและความท้าทายจากความสามารถในการแข่งขันที่ปรับลดลง อีกทั้งสินค้าบางกลุ่มโดยเฉพาะหมวดยานยนต์เผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากอุปสงค์ต่างประเทศที่ชะลอลง ทั้งนี้ ต้องติดตามการฟื้นตัวของการส่งออกและภาคการผลิต รวมทั้งแรงกระตุ้นจากนโยบายภาครัฐในช่วงครึ่งหลังของปี
“การเบิกจ่ายการลงทุนภาครัฐเร่งตัวขึ้นเป็น 39% แล้ว และสูงกว่าการเบิกจ่ายที่ล่าช้าของปีงบประมาณ 2566 แล้ว” นายปิติกล่าว

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มใกล้เคียงเดิมอยู่ที่ร้อยละ 0.6 และ 1.3 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 0.5 และ 0.9 ในปี 2567 และ 2568 ตามลำดับ โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปล่าสุดกลับมาเป็นบวก และมีแนวโน้มปรับขึ้นตามราคาพลังงานในประเทศจากการทยอยลดการอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซล ขณะที่แรงกดดันด้านอุปทานที่ทำให้ราคาหมวดอาหารสดอยู่ในระดับต่ำมีแนวโน้มคลี่คลาย ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะทยอยกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปี 2567 โดยอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางยังอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับกรอบเป้าหมาย

ภาวะการเงินโดยรวมทรงตัว อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์ สรอ. ปรับอ่อนค่า ตามทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกอบกับปัจจัยในประเทศในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยปรับสูงขึ้นบ้างหลังตลาดปรับคาดการณ์นโยบายการเงินของไทย ด้านต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนผ่านธนาคารพาณิชย์ใกล้เคียงเดิม สินเชื่อภาคธุรกิจโดยรวมขยายตัว ขณะที่สินเชื่อภาคครัวเรือนขยายตัวชะลอลง โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อและบัตรเครดิตตามคุณภาพสินเชื่อที่ด้อยลง
คณะกรรมการฯ มีความกังวลต่อหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และเห็นว่าการให้สินเชื่อควรสอดคล้องกับกระบวนการปรับลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อรายได้ (debt deleveraging) เพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพระบบการเงินในระยะยาว จึงสนับสนุนนโยบายของ ธปท. ที่ให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อตามความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ ควบคู่ไปกับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีปัญหาการชำระหนี้ นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ตระหนักถึงปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อของ SMEs ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง จึงสนับสนุนการใช้มาตรการที่ตรงจุด เช่น มาตรการค้ำประกันสินเชื่อ เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อของ SMEs ที่มีศักยภาพซึ่งจำเป็นต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
“สินเชื่อครัวเรือนชะลอตัวลง โดยเฉพาะบัตรเครดิต และสินเชื่อเช่าเช่าซื้อรถยนต์ จากคุณภาพสินที่ด้อยลง สถาบันการเงินจึงระมัดระวัง ในการให้สินเชื่อ ระยะต่อไป NPL อาจจะเพิ่มขึ้นบ้างแต่ไม่ก้าวกระโดด ส่วนสินเชื่อธุรกิจโดยรวมเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะธุรกิจขนาดใหญ่ แต่ต้องติดตามภาวะการเงินของ SMEs คุณภาพสินเชื่อโดยเฉพาะ SMEs แย่ลงบ้าง ในสินเชื่อวงเงินที่ไม่เกิน 500 ล้านบาท นอกจากนี้สภาพคล่องตึงตัวขึ้นในบางกลุ่มธุรกิจ โดยอาจผิดนัดช่าระหนี้คู่ค้า/ธนาคาร”
ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน กรรมการส่วนใหญ่ประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่ปรับดีขึ้น รวมทั้งเอื้อต่อการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามพัฒนาการของเศรษฐกิจโดยเฉพาะการฟื้นตัวของภาคการส่งออกและมาตรการภาครัฐ โดยคณะกรรมการฯ จะพิจารณานโยบายการเงินให้เหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า
กรอบเงินเฟ้อ1-3%และดอกเบี้ยสอดคล้องกับพื้นฐานเศรษฐกิจ
ในช่วงแถลงข่าวนายปิติ ดิษยทัตได้ตอบคำถามสื่อมวลชน ในเรื่องเงินเฟ้อ การคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจ การลดอัตราดอกเบี้ย
คำถามแรก การคาดการณ์ทางเศรษฐกิจของกนง. ได้คำนึงถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านความเห็นชอบของที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ 2/2567 เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2567 เพื่อต้องการให้เศรษฐกิจไทยเติบโต 3% หรือไม่ และจะมีโอกาสเติบโตไปถึงระดับนี้หรือไม่ และหากรวมมาตรการดิจิทัลวอลเล็ต การเติบโตของเศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไร
นายปิติตอบว่า การประมาณการทางเศรษฐกิจได้นำมาตรการภาครัฐที่ชัดเจนทั้งหมดเข้าไว้ในกรณีฐาน โดยเฉพาะที่ชัดเจนมากที่สุดอยู่ในงบประมาณคืองบลงทุน และการเบิกจ่ายการบริโภคภาครัฐ ก็อยู่ในกรณีฐานอยู่แล้ว ส่วนมาตรการเสริม คณะกรรมการได้หารือกันและดูว่าจะมีผลกระทบขนาดไหน เป็นความเสี่ยงด้านสูง(upside risk) ที่คณะกรรมการได้พิจารณา ส่วนมาตรการดิจิทัลวอลเล็ตก็มองว่าน่าจะเพิ่มในไตรมาส 4 และต้นปีหน้า เป็นภาพรวมที่มองว่ามาตรการภาครัฐจะมากกว่าที่ประเมินไว้หรือไม่
“ภาคเศรษฐกิจโดยรวมไม่ได้เปลี่ยนไปมาก” จุดยืนนนโยบายการเงินคือรองรับความเสี่ยงด้านสูงได้ด้วยพร้อมกับความเสี่ยงด้านต่ำ ตัวเลข GDP 3% ในปีนี้ก็เป็นไปได้ ถ้ามีการเร่งเบิกจ่ายภาครัฐ และดิจิทัลวอลเล็ต” นายปิติกล่าว
คำถามที่สอง ต่อมา จากการที่กระทรวงการคลังมรแนวคิดจะทบทวนเป้าหมายเงินเฟ้อและปรับกรอบเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นจะกดดันการทำงานของแบงก์ชาติหรือไม่
นายปิติกล่าวว่า เป้าหมายเงินเฟ้อที่กนง.ทำตาม เป็นปกติที่จะพิจารณาทุกปี ที่งกระทรวงการคลังและกนง.จะพิจารณาเป้าหมายร่วมกัน ตอนนี้เป็นกระบวนการปกติที่จะพูดคุยกัน แลกเปลี่ยนกันในรายละเอียด กนง.ดำเนินการภายใต้เป้าหมายที่กำหนดร่วมกันกับกระทรวงการคลัง
คำถามที่สาม นักเศรษฐศาสตร์หลายรายคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อปีนี้ไม่น่าจะเข้ากรอบเป้าหมาย แบงก์ชาติจะแสดงความรับผิดชอบอย่างไร ในเมื่อไม่ได้ลดดอกเบี้ยแล้วเงินเฟ้อไม่ได้เข้ากรอบเป้าหมายอย่างที่วางไว้
นายปิติตอบว่า จุดประสงค์ของเป้าหมายเงินเฟ้อ คือ ช่วยให้ภาคเอกชน ภาคธุรกิจมีการยึดเหนี่ยวการคาดการณ์เงินเฟ้อได้ว่าจะเป็นอย่างไรในระยะปานกลาง 2-3 ปี เพื่อให้มีความชัดเจนในการทำธุรกิจ วางแผนการลงทุน วางแผนการเงินการกู้ยืม ซึ่งก็ไม่อยากให้การคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะปานกลางปรับขึ้นลง มีความผันผวนมากต่อการวางแผนของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน ที่ผ่านมาการที่มีเป้าหมาย 1-3% บททดสอบที่มีมากคือช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เห็นว่าเงินเฟ้อที่มีแรงกระแทกจากภายนอกที่ขึ้นไป 8% ในปี 2565 เงินเฟ้อคาดการณ์ไม่ได้ปรับขึ้นตาม
ผลของเงินเฟ้อจาก shocks ที่ขึ้นและลง เศรษฐกิจโดยรวมสามารถยึดเหนี่ยวเงินเฟ้อได้ และก็ไม่ได้จำเป็นที่ต้องปรับดอกเบี้ยขึ้นเพื่อดึงเงินเฟ้อลง แต่เงินเฟ้อลงเพราะจุดยึดเหนี่ยวเงินเฟ้อคาดการณ์
สิ่งที่เกิดขึ้นเดือนต่อเดือนของเงินเฟ้อที่มีแรงกระแทกเข้าจากปัจจัยพลังงาน จากต่างประเทศ มีความผันผวนในระยะสั้น ซึ่งอยู่นอกเหนือการควบคุมของนโยบายการเงิน ต้องดูแนวโน้มเงินเฟ้อจากนี้ไป แม้เงินเฟ้อระยะสั้นอยู่นอกเป้าด้านบน แต่เป็นสิ่งที่เกิดจาก shocks เป็นเรื่องปกติ สิ่งที่สำคัญกว่า คือ เมื่อเกิด shocks แล้วประชาชน ผู้ประกอบการมองแนวโน้มอนาคตอย่างไร หากมองว่าจะกลับเข้าสู่จุดยึดเหนี่ยว ในระยะปานกลางก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี ธนาคารกลางไม่ต้องพยายามต่อสู้กับเงินเฟ้อแบบที่เห็นในต่างประเทศ 5-6% ความจำเป็นที่จะต้องใช้ยาแรงในแง่ดอกเบี้ยเพื่อตอบสนองต่อเงินเฟ้อ ขึ้นอยู่กับการคาดการณ์อย่างไรและกรอบเป้าหมายยึดเหนี่ยวเงินเฟ้อคาดการณ์ได้ดีขนาดไหน
“ในช่วงที่เหลือของปีนี้คาดว่าเงินเฟ้อจะหลุดเป้าหรือไม่หลุดเป้า ตอนนี้เงินเฟ้อ 1.5% ถือว่าอยู่ในเป้า แต่ 1.5% มีส่วนของฐาน ราคาพลังงานที่เป็น shocks ระยะสั้นอีก 2-3 เดือนก็คงจะลดลงและต่ำกว่า 1% แต่ปลายปีก็จะกลับขึ้นมาภายในเป้าหมาย ถ้ามองไปคร่าวๆ แนวโน้มโดยเฉลี่ยในช่วงที่เหลือปีนี้และปีหน้าจะเข้าในเป้าหมาย”
ในภาพใหญ่ เงินเฟ้อไม่เป็นประเด็นที่กนง.กังวลมาก กนง.จะกังวลหากเงินเฟ้อสูงเพิ่มภาระการใช้จ่ายของประชาชนรายได้น้อยที่ได้รับผลกระทบมากกว่า และก็ไม่ต้องการให้เงินเฟ้อผันผวนมาก สร้างความไม่แน่นอนให้กับการวางแผน ดังนั้นแม้เดือนต่อเดือนจะบวกลบ แต่แนวโน้มยังไม่น่ากังวล
คำถามต่อมา เงินเฟ้อหลุดกรอบเป้าหมายมาระยะหนึ่งและคาดการณ์เงินเฟ้อในปีนี้ที่ 0.6% ก็ไม่ได้อยู่ในกรอบเป้าหมาย เหมาะสมกับบริบทและภาวะเศรษฐกิจของไทยหรือไม่ และหากแบงก์ชาติไม่ลดดอกเบี้ย รัฐบาลจะต้องกระตุ้นเพิ่มมากขึ้นหรือไม่และยังมีช่องที่จะกระตุ้นมากขึ้นหรือไม่
นายปิติกล่าวว่า ได้ชี้แจงมาตลอดถึงเงินเฟ้อที่หลุดกรอบด้านล่างว่าส่วนหนึ่งมาจากมาตรการที่ช่วยค่าครองชีพของประชาชน ทำให้ราคาพลังงาน น้ำมันและไฟฟ้าต่ำกว่าที่ควรจะเป็น และก่อนหน้าที่เงินเฟ้อขึ้นไป 8% ก็ออกนอกกรอบด้านบนจากสงครามรัสเซียยูเครน จากราคาที่สูงขึ้นมาก
“ธรรมชาติของเงินเฟ้อ ต้องตระหนักว่าคุมอะไรได้ คุมอะไรไม่ได้ การเปลี่ยนแปลงของเงินเฟ้อมาจากปัจจัยอะไรที่มีนัยะต่อนโยบายการเงิน เครื่องมือดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือที่หยาบมาก ผลกระทบจะมาในอนาคตอย่างน้อย 6 เดือนขึ้นไป ต้องมองว่าควรตอบสนองกับอะไร ในกรอบเป้าหมายที่มีแม้ได้หารือกันทุกปี แต่การที่กำหนดกรอบ 1-3%นั้น ได้คำนึงถึงระยะปานกลาง เงินเฟ้ออะไรเป็นเงินเฟ้อที่สอดคล้องกับพื้นฐานของเศรษฐกิจแบบไทย และเงินฟ้อระดับไหนที่เอื้อให้เศรษฐกิจเติบโตได้ตามศักยภาพ ไมสูงเกินไปที่จะสร้างปัญหาให้กับภาระค่าครองชีพของประชาชน ไม่ต่ำเกินไปที่จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัว กรอบ1-3% เป็นระดับที่ค่อนข้างสอดคล้องกับพื้นฐานของเศรษฐกิจ เทียบกับต่างประเทศกรอบ 1-3% เป็นเรื่องปกติมาก” นายปิติกล่าว
ในด้านการดำเนินนโยบายทั้งนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง นายปิติกล่าวว่า นโยบายการเงินเป็นการสร้างภาวะการเงินให้กับเศรษฐกิจโดยรวมให้สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่คาด ไม่ให้ร้อนแรงเกินไปที่จะสร้างปัญหาต่อเสถียรภาพ และไม่ให้ต่ำเกินไปจนเกิดปัญหาการว่างงานจำนวนมาก “พยายามจะให้พื้นฐานทางเศรษฐกิจ เสถียรภาพด้านมหภาคมีอยู่ เพื่อให้นโยบายอื่นมาเสริมในเฉพาะจุดที่จำเป็น มาตรการการคลังก็สามารถที่เจาะจง ในจุดที่มีปัญหาเยอะของเศรษฐกิจได้
“จุดยืนนโยบายการเงินตอนนี้ที่มองว่าเป็นกลาง ไม่ได้ค้านกับนโยบายการคลังที่พยายามที่จะกระตุ้นในบางมิติ แต่จะค้านกันดังที่เห็นในกรณีสหรัฐฯ ดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าระดับ neutral เยอะ 5-6% อันนี้ไม่ใช่กรณีของประเทศไทย เพราะมองว่าแนวโน้มเศรษฐกิจค่อนข้างฟื้นตัวไปตามศักยภาพ”นายปิติกล่าว
อีกคำถามหนึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับดอกเบี้ย ว่า การที่นักการเมืองเรียกร้องให้ลดดอกเบี้ย กดดันแบงก์ชาติแค่ไหน และดอกเบี้ยในระดับปัจจุบันสูงเกินกว่าศักยภาพของภาคธุรกิจหรือไม่ เพราะNPL ที่มาจากภาคธุรกิจก็เพิ่มขึ้น
นายปิติตอบว่า จุดยืนนโยบายเป็นจุดยืนที่ไม่ได้ฉุดรั้งเศรษฐกิจ ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ และส่งผลให้ภาวะการเงินหรือสินเชื่อลดลงจนทำให้ภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจสะดุด
“คณะกรรมการเห็นอัตราดอกเบี้ยไม่ได้อยู่ในระดับที่สูงเกินไป การที่จะบอกว่าดอกเบี้ยสูงเกินไปหรือไม่สูง ขอยกตัวอย่างจากต่างประเทศ ที่ยังมีอัตราดอกเบี้ย 4-5% อยู่เช่น สหรัฐฯ อังกฤษและประเทศเพื่อนบ้านของไทย ดอกเบี้ยไทยในโลกถือว่าไม่ได้สูง แต่ที่สำคัญกว่า คือ เทียบดอกเบี้ยไทยกับสถานการณ์ของไทย โครงสร้างพื้นฐานของไทย เป็นสิ่งที่คณะกรรมการถกและสอบทานทุกๆครั้งที่มีการประชุมว่า ดอกเบี้ยที่กำหนดไว้สอดคล้อง อัตราการขยายตัวตามศักยภาพของประเทศหรือไม่ กับแนวโน้มเงินเฟ้อที่กำลังจะเป็นหรือไม่ ภาพเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว 2.6% และเงินเฟ้อค่อยๆปรับเข้าเป้าในไตรมาสสี่และอยู่ในเป้าปีหน้าและภาวะการเงินที่สินเชื่อโน้มต่ำลงจากช่วงก่อนหน้าแต่ก็ไม่ได้หล่นไป คุณภาพของสินเชื่อด้อยลงแต่เป็นไปตามที่คาดไว้และไม่ได้ก้าวกระโดด เมื่อชั่งน้ำหนักจากหลายด้านก็คิดว่าเป็นจุดที่เหมาะสม ณ จุดนี้เทียบกับเศรษฐกิจ” นายปิติกล่าว
กนง.มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.50 ต่อปี