ThaiPublica > Sustainability > Global Issues > รายงาน UNDP : Human Development Index ของไทยดีขึ้นจากระดับก่อนโควิด แต่ยังมีความเหลื่อมล้ำ

รายงาน UNDP : Human Development Index ของไทยดีขึ้นจากระดับก่อนโควิด แต่ยังมีความเหลื่อมล้ำ

18 มีนาคม 2024


รายงาน Human Development Report 2023/24 ของ UNDP พบดัชนีการพัฒนามนุษย์ Human Development Index ของไทยดีขึ้นจากระดับก่อนโควิด แต่ยังมีความเหลื่อมล้ำอยู่ ส่วนความคืบหน้าในการยุติความหิวโหยและการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศกลับถดถอย ยังต้องดำเนินการร่วมกันมากขึ้นเพื่อเร่งให้มีความคืบหน้า

วันที่ 14 มีนาคม 2567 โครงการพัฒนาเเห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme หรือ UNDP) ได้เผยเเพร่เอกสารข่าวประกอบการเปิดตัวรายงานการพัฒนามนุษย์ ฉบับปี 2566/2567 (2023/24 Human Development Report:HDR) โดยมีรายละเอียดดังนี้

ไทยคะแนน HDI สูงติดกลุ่มการพัฒนามนุษย์สูงมาก

สำหรับประเทศไทย รายงานระบุว่า ประเทศไทยได้คะแนน HDI สูงขึ้นเมื่อเทียบกับระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดเช่นเดียวกับ 38 ประเทศ OECD โดย HDI ของประเทศไทยปี 2565 อยู่ที่ 0.803 เพิ่มขึ้นจาก 0.797 ในปี 2564 ซึ่งคะแนนก่อนเกิดการแพร่ระบาดที่ 0.801 ในปี 2562 ส่งผลให้ประเทศไทยอยู่ในกลุ่ม “การพัฒนามนุษย์ที่สูงมาก” โดยอยู่ที่ 66 จาก 193 ประเทศและเขตปกครอง

เมื่อแยกตามเพศ HDI ของผู้หญิงสำหรับประเทศไทย (0.807) จะสูงกว่าเพศชาย (0.798) ซึ่งเป็นพัฒนาการที่ไม่พบในประเทศอื่นในทุกประเภทของการพัฒนามนุษย์ แม้จะอยู่ในหมวด “การพัฒนามนุษย์สูงมาก” ก็ตาม อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงการศึกษาและรายได้ต่อหัวของสตรียังต่ำกว่าเพศชาย

แม้ประเทศไทยจะมีความก้าวหน้าในการพัฒนามนุษย์โดยรวมอย่างดี แต่ยังคงมีความเหลื่อมล้ำและความตึงเครียดด้านสิ่งแวดล้อม HDI ของประเทศไทยลดลง 15.2% เหลือ 0.681 เนื่องจากมีความเหลื่อมล้ำ นอกจากนี้ HDI ของประเทศลดลง 6.6% เหลือ 0.750 หลังจากปรับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และ material footprint หรือการประเมินการใช้ทรัพยากร/วัตถุดิบตลอดห่วงโซ่อุปทานแล้ว ซึ่งสอดคล้องกับการประเมินความคืบหน้าของ SDG ของไทยล่าสุดจาก UNESCAP ที่แสดงให้เห็นว่า แม้การขจัดความยากจนเป็นไปตามเป้าหมาย แต่ก็มีความคืบหน้าเพียงเล็กน้อยในการลดความเหลื่อมล้ำ และความคืบหน้าในการยุติความหิวโหยกับการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศกลับถดถอย

และเช่นเดียวกับส่วนอื่นๆ ของโลก คือ การแบ่งขั้วที่เพิ่มขึ้นและความไม่มั่นคงของมนุษย์กำลังสร้างความกังวลให้กับประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น จากรายงาน Future of Growth Report ของ World Economic Forum ปี 2567 คะแนนการแบ่งขั้วทางสังคมของประเทศอยู่ที่ 0 จาก 4 ซึ่งบ่งชี้ว่ามีการแบ่งขั้วในระดับสูง ขณะเดียวกัน แม้ว่าดัชนีการรับรู้ความไม่มั่นคงของมนุษย์ (Index of Perceived Human Insecurity) ของประเทศไทยจะอยู่ที่ 0.47 ซึ่งต่ำกว่าประเทศส่วนใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่จำนวนผู้ป่วยสุขภาพจิตในประเทศก็เพิ่มขึ้น 2 เท่า โดยเพิ่มจาก 1.3 ล้านคนในปี 2558 เป็น 2.3 ล้านคนในปี 2564 อัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นจาก 6.03 ต่อ 100,000 คนในปี 2560 เป็น 7.38 ต่อ 100,000 คนในปี 2564 ปัจจัยเหล่านี้ร่วมกันบั่นทอนความสามารถในการเจรจาทางสังคม (social dialogue) และเป็นอุปสรรคในการดำเนินการร่วมกันที่มีความจำเป็นมาก

โลกแบ่งขั้ว การพัฒนามนุษย์ประเทศรวย-จนยิ่งห่างกันมากขึ้น

รายงานระบุว่า ความคืบหน้าในการพัฒนามนุษย์ที่ไม่เท่าเทียม กำลังทิ้งกลุ่มที่ยากจนที่สุดไว้ข้างหลัง ซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำให้รุนแรงขึ้น และยิ่งทำให้การแบ่งขั้วทางการเมืองในระดับโลกเพิ่มมากขึ้น ผลก็คือ เกิดภาวะชะงักงัน หรือ gridlock ที่น่าวิตก และจะต้องได้รับการจัดการอย่างเร่งด่วนผ่านการดำเนินการร่วมกัน

รายงานการพัฒนามนุษย์ (HDR) ประจำปี 2566/2567 ที่ใช้ชื่อ “Breaking the Gridlock: Reimagining cooperation in a polarized world” เผยให้เห็นแนวโน้มที่น่าหนักใจ การฟื้นตัวของดัชนีการพัฒนามนุษย์ (HDI) ทั่วโลก [ซึ่งเป็นมาตรวัดสรุปที่สะท้อนถึงผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติของประเทศ (GNI) ต่อหัว การศึกษา และอายุขัย] มีเป็นบางส่วนเท่านั้น และไม่เท่าเทียม

รายงานคาดว่า HDI จะถึงระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2566 หลังจากที่ลดลงอย่างมากในช่วงปี 2563 และ 2564 แต่ความคืบหน้านี้ไม่เท่าเทียมกันอย่างมาก ช่องว่างระหว่างประเทศที่ร่ำรวยที่สุดและยากจนที่สุดก็เริ่มกว้างขึ้นตั้งแต่ปี 2563 ในขณะที่ประเทศร่ำรวยมีการพัฒนามนุษย์คืบหน้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่อีกครึ่งหนึ่งของประเทศที่ยากจนที่สุดในโลกมีระดับความคืบหน้าที่ยังคงต่ำกว่าก่อนเกิดวิกฤติ

ความไม่เท่าเทียมกันทั่วโลกยังรวมถึงการกระจุกตัวทางเศรษฐกิจอย่างมาก จากในรายงาน เกือบ 40% ของการค้าสินค้าทั่วโลกกระจุกตัวอยู่ในสามประเทศหรือน้อยกว่านั้น และในปี 2564 มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ที่สุดสามแห่งในโลกแซงหน้าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) มากกว่า 90% ของประเทศในปีนั้น

“ช่องว่างการพัฒนามนุษย์ที่กว้างขึ้นซึ่งเปิดเผยในรายงาน แสดงให้เห็นว่าการลดความเหลื่อมล้ำที่ต่อเนื่องในช่วงสองทศวรรษ ระหว่างประเทศที่ร่ำรวยและประเทศที่ยากจนในปัจจุบันกลับตรงกันข้าม แม้สังคมโลกของเราจะเชื่อมโยงถึงกันลึกมาก แต่เราก็กำลังล้มเหลว เราต้องใช้ประโยชน์จากการพึ่งพาซึ่งกันและกันตลอดจนขีดความสามารถของเราในการจัดการกับความท้าทายร่วมกันและที่มีอยู่ของเรา และเพื่อให้ความต้องการของผู้คนจะได้รับการตอบสนอง” นายอาคิม สไตเนอร์ หัวหน้าโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ กล่าว

“ภาวะชะงักงันนี้มีผลต่อมนุษย์อย่างมาก ความล้มเหลวของการดำเนินการร่วมกันเพื่อผลักดันการดำเนินการเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้คืบหน้า การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล หรือความยากจน และความเหลื่อมล้ำ ไม่เพียงแต่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาของมนุษย์ แต่ยังทำให้การแบ่งขั้วเลวร้ายมากขึ้น และกัดกร่อนความไว้วางใจในผู้คนและระบบแบบแผนต่างๆ ทั่วโลก”

รายงานระบุว่า การดำเนินการร่วมกันในระดับนานาชาติที่คืบหน้ามีอุปสรรคจาก “ความขัดแย้งทางประชาธิปไตย” ที่เกิดขึ้น โดยขณะที่ 9 ใน 10 คนทั่วโลกสนับสนุนระบอบประชาธิปไตย ผู้ตอบแบบสำรวจมากกว่าครึ่งหนึ่งทั่วโลกแสดงออกถึงการสนับสนุนผู้นำที่อาจบ่อนทำลายประชาธิปไตยด้วยการข้ามกฎพื้นฐานของกระบวนการประชาธิปไตย จากข้อมูลที่วิเคราะห์ในรายงาน ครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสำรวจทั่วโลกบอกว่าไม่สามารถจัดการชีวิตตนเองได้ หรือจัดการได้แต่น้อยมาก และมากกว่าสองในสามเชื่อว่าพวกเขามีอิทธิพลเพียงเล็กน้อยต่อการตัดสินใจของรัฐบาล

การแบ่งขั้วทางการเมืองยังเป็นข้อกังวลที่เพิ่มขึ้นจากผลกระทบทั่วโลก นอกเหนือจากความรู้สึกไร้อำนาจแล้ว ผู้เขียนรายงานยังระบุอีกว่า ยังกระตุ้นให้เกิดแนวทางนโยบายที่พลิกกลับมาเน้นภายในประเทศ ซึ่งขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับความร่วมมือระดับโลกที่จำเป็นในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน เช่น การลดคาร์บอนของเศรษฐกิจ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในทางที่ผิด และความขัดแย้ง ซึ่งน่ากังวลเป็นพิเศษเมื่อมองไปที่อุณหภูมิที่ทำลายสถิติในปี 2566 ที่เน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องร่วมมือกันเพื่อรับมือกับวิกฤติสภาพภูมิอากาศ หรือการเกิดขึ้นของปัญญาประดิษฐ์ในฐานะเทคโนโลยีใหม่แถวหน้าที่พัฒนาอย่างรวดเร็วโดยมีกฎระเบียบเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย

รายงานเน้นย้ำว่า การทวนกระแสโลกาภิวัตน์นั้นเป็นไปไม่ได้หรือเป็นจริงไม่ได้ในโลกปัจจุบัน และการพึ่งพาซึ่งกันและกันทางเศรษฐกิจยังคงอยู่ในระดับสูง โดยชี้ให้เห็นว่าไม่มีภูมิภาคใดที่เข้าใกล้การพึ่งพาตนเองได้ เนื่องจากทุกภูมิภาคต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าและบริการหลักอย่างน้อยหนึ่งประเภทจากภูมิภาคอื่นตั้งแต่ 25% ขึ้นไป

ในโลกที่เต็มไปด้วยการแบ่งขั้วและการแบ่งแยกที่เพิ่มขึ้น การละเลยการลงทุนซึ่งกันและกันถือเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อความเป็นอยู่และความมั่นคงของเรา แนวทางกีดกันทางการค้าไม่สามารถจัดการกับความท้าทายที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงถึงกันที่เราเผชิญได้ รวมถึงการป้องกันโรคระบาด การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และกฎระเบียบทางดิจิทัล นายสไตเนอร์กล่าว “ปัญหาของเราเกี่ยวพันกันและต้องใช้วิธีแก้ปัญหาที่เชื่อมโยงกันอย่างเท่าเทียมกัน ด้วยการใช้วาระที่ขับเคลื่อนด้วยโอกาสซึ่งเน้นถึงประโยชน์ของการเปลี่ยนผ่านพลังงานและการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการพัฒนามนุษย์ เรามีโอกาสที่จะฝ่าฟันอุปสรรคในปัจจุบันและจุดประกายความมุ่งมั่นสู่อนาคตร่วมกันอีกครั้ง”

หากไม่สามารถก้าวผ่านภาวะชะงักงันไปได้ ทั้งความเป็นอยู่ที่ดีและศักยภาพในการเลือกของมนุษย์ (human agency) ก็ตกอยู่ภายใต้ภัยคุกคาม ความคืบหน้าของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ได้หยุดชะงักหรือถอยหลังลง 30% และยังอ่อนแอหรือไม่เพียงพอที่จะคืบหน้าอีก 50% โลกไม่เป็นไปตามเป้าหมาย SDGs มากขึ้นไปกว่าเมื่อ 4 ปีที่แล้ว และกำลังถดถอยในเป้าหมายสำคัญในด้านการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ความมั่นคงทางอาหาร ความยากจน ความเหลื่อมล้ำ และความไม่เท่าเทียมทางเพศ

ข้อมูลสำคัญในรายงาน

  • ในปี 2566 ทั้ง 38 ประเทศที่เป็นสมาชิกขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) มีคะแนนดัชนีการพัฒนามนุษย์ หรือ HDI สูงขึ้นเมื่อเทียบกับระดับในปี 2562
  • ในบรรดาประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (Least Developed Countries หรือ LDC) 35 ประเทศที่คะแนน HDI ลดลงในปี 2563 และ/หรือ 2564 นั้น มากกว่าครึ่ง (18 ประเทศ) ยังไม่ฟื้นตัวสู่ระดับการพัฒนามนุษย์ในปี 2562
  • ภูมิภาคกำลังพัฒนาทั้งหมดไม่บรรลุระดับ HDI ที่คาดการณ์ไว้โดยพิจารณาจากแนวโน้มก่อนปี 2562 ดูเหมือนว่าได้กลับไปสู่แนวโน้ม HDI ที่ลดลง ซึ่งบ่งชี้ถึงความถอยหลังอย่างถาวรในการพัฒนามนุษย์ให้คืบหน้าในอนาคต
  • ผลกระทบของการสูญเสียการพัฒนามนุษย์เห็นได้ชัดมากในอัฟกานิสถานและยูเครน โดย HDI ของอัฟกานิสถานถูกลดทอนลงเป็นเวลาสิบปีอย่างน่าตกใจ ในขณะที่ HDI ของยูเครนลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2547
  • รายงานอ้างอิงงานวิจัยที่ระบุว่าประเทศที่มีรัฐบาลประชานิยมนั้น อัตราการเติบโตของ GDP ลดต่ำลง โดยสิบห้าปีหลังจากที่รัฐบาลประชานิยมเข้ารับตำแหน่ง GDP ต่อหัวพบว่าต่ำกว่าที่ควรจะเป็นถึง 10% ภายใต้สถานการณ์ของรัฐบาลที่ไม่เป็นประชานิยม

    อ่านรายงานฉบับเต็ม https://hdr.undp.org/human-development-report-2023-24