ThaiPublica > เกาะกระแส > เกาะกระแสเศรษฐกิจ > เอ็กโก กรุ๊ปกระแสเงินสดแกร่งแม้ปี 2566 ขาดทุน จ่ายปันผลอีก 3.25บ./หุ้น เร่งลงทุนเพิ่มกำลังผลิต 1,000 MW

เอ็กโก กรุ๊ปกระแสเงินสดแกร่งแม้ปี 2566 ขาดทุน จ่ายปันผลอีก 3.25บ./หุ้น เร่งลงทุนเพิ่มกำลังผลิต 1,000 MW

29 กุมภาพันธ์ 2024


เอ็กโก กรุ๊ป (EGCO Group) เผยผลประกอบการปี 2566 รับรู้รายได้รวม 56,983 ล้านบาทมีกำไรจากการดำเนินงาน 8,734 ล้านบาท แต่ขาดทุนสุทธิ 8,384 ล้านบาท สาเหตุหลักจากการปรับโครงสร้างทางการเงินและการถือหุ้นของโครงการโรงไฟฟ้ากังหันลมหยุนหลินไต้หวัน ยันกระแสเงินสดแข็งแกร่ง 28,862 ล้านบาท พร้อมจ่ายปันผลครึ่งปีหลัง 3.25 บาทต่อหุ้น รวมปันผลทั้งปี 6.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนเงินปันประมาณ 5%

นายเทพรัตน์  เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group  เปิดเผยผลประกอบการ ปี 2566 ว่า EGCO Group ยังสามารถสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่องแม้ยังมีปัจจัยที่ท้าทายหลายด้าน ทั้งจากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และนโยบายทางการเงินที่เข้มงวด กดดันราคาพลังงานและการเติบโตของเศรษฐกิจ ทำให้ตัวเลขผลประกอบการในปี 2566 ไม่ค่อยดีนัก

นายเทพรัตน์กล่าวว่า ท่ามกลางความท้าทาย การเติบโตของเอ็กโก กรุ๊ปมาจากการเลือกลงทุนในโครงการที่มีคุณภาพสูง ในรูปแบบ M&A เพื่อรับรู้รายได้ทันที โดยในปี 2566 เอ็กโก กรุ๊ปสามารถปิดดีลการลงทุนได้ 3 โครงการ ทั้งโครงการในสหรัฐอเมริกาและในอินโดนีเซีย

สำหรับ 3 โครงการใหญ่ที่เอ็กโก กรุ๊ปปิดดีลในปี 2566 ได้แก่ การซื้อหุ้น 49% ในโรงไฟฟ้า RISEC กำลังผลิต 609 เมกะวัตต์ และการซื้อหุ้น 50% ในกลุ่มโรงไฟฟ้า Compass กำลังผลิตรวม 1,304 เมกะวัตต์ ในสหรัฐอเมริกา การปิดดีลซื้อหุ้น 30% ใน CDI ในอินโดนีเซียเพื่อขยายสู่ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค รวมทั้งการทยอยจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของโครงการหยุนหลิน(Yunlin) ในไต้หวัน และการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของโครงการพลังงานหมุนเวียนภายใต้ APEX ในสหรัฐอเมริกา

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ EGCO Group

ปี 2566 ขาดทุนสุทธิ 8,384 ลบ.จากโครงการหยุนหลินล่าช้า

นายเทพรัตน์   กล่าวว่า สำหรับผลประกอบการในปี 2566 เอ็กโก กรุ๊ปมีรายได้รวม 56,983 ล้านบาทลดลง 13% จากปีก่อน และมีกำไรจากการดำเนินงาน 8,734 ล้านบาทลดลง 3,063 ล้านบาทหรือ 26% จากปีก่อน สาเหตุหลักจาก บฟข. เอ็กพีซีแอล เคซอน และ เอสบีพีแอล มีปริมาณการขายไฟฟ้าลดลง รวมทั้งเอ็มเอ็มอี มีปริมาณการส่งออกถ่านหินและราคาขายถ่านหินลดลง เอเพ็กซ์มีการรับรู้รายได้จากกการขายโครงการลดลง ตลอดจนการลดลงจากการขายเงินลงทุนในเอสอีจีและเอสอีจีเอสดีในปี 2565

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยสนับสนุนจาก โรงไฟฟ้า Paju ES และ Linden Cogen ซึ่งสามารถทำกำไรได้อย่างโดดเด่นต่อเนื่อง และโรงไฟฟ้า BLCP ที่มีปริมาณการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น

แต่เอ็กโก กรุ๊ป บันทึกผลขาดทุนสุทธิ 8,384 ล้านบาท สาเหตุหลักจากการปรับโครงสร้างทางการเงินและการถือหุ้นของโครงการโรงไฟฟ้ากังหันลมหยุนหลินที่ไต้หวันเนื่องจากปัญหาการก่อสร้างล่าช้า แต่การปรับโครงสร้างทางการเงินดังกล่าวเป็นรายการทางบัญชีที่ไม่กระทบกระแสเงินสดและไม่กระทบอัตราส่วนทางการเงินตามเงื่อนไขสัญญาเงินกู้

ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2566 เอ็กโก กรุ๊ป มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 28,862 ล้านบาท และอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 1.31 เท่า ซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง

สำหรับความคืบหน้าของโครงการหยุนหลิน ปัจจุบันโครงการได้ติดตั้งเสากังหัน (Monopile) แล้วเสร็จรวม 45 ต้น ซึ่งเป็นกังหันลม (Wind Turbine Generator) ที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบแล้วทั้งสิ้น 33 ต้น คิดเป็นกำลังผลิตรวม   264 เมกะวัตต์ โดยปัจจุบันมีอัตราการผลิตไฟฟ้า (Capacity Factor) เฉลี่ยของโครงการสูงกว่า 40% ยืนยันศักยภาพในการสร้างรายได้ในอนาคต โดยเชื่อว่าในปี 2567 สามารถติดตั้งกังหันลมเพื่อผลิต 80 ต้น ได้แล้วเสร็จตามแผนที่กำหนดไว้แน่นอน

“สาเหตุที่ โครงการหยุนหลินก่อสร้างล่าช้า เพราะในช่วงปี 2563-2564 โครงการเผชิญสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งเป็นปัจจัยที่อยู่เหนือการควบคุม ทำให้ไต้หวันมีมาตรการการเข้าออกประเทศที่เข้มงวดและมีการประกาศปิดประเทศ อีกทั้งสภาพภูมิอากาศแบบมรสุมในช่องแคบไต้หวัน ทำให้มีระยะเวลาการทำงานเพียง 5 เดือน ซึ่งในปี 2567 ได้วางแผนละเอียดมากขึ้นและเพิ่มอุปกรณ์ในการทำงานตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไป” นายเทพรัตน์กล่าว

อย่างไรก็ตาม เอ็กโก กรุ๊ปได้เร่งรัดติดตามความก้าวหน้าของโครงการอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด ดังนั้นในปี 2566 โครงการจึงปรับแผนการก่อสร้าง ปรับโครงสร้างทางการเงินและการถือหุ้น เพื่อให้โครงการสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ส่งผลให้ เอ็กโก กรุ๊ป จำเป็นต้องรับรู้ผลกระทบจากการปรับโครงสร้างทางการเงินและการถือหุ้น รวมถึงการด้อยค่าของสินทรัพย์ ซึ่งเป็นรายการทางบัญชีที่ไม่กระทบกระแสเงินสด ปัจจุบันโครงการมีความพร้อมทุกด้านในการผลักดันและเดินหน้าการก่อสร้างให้เป็นไปตามแผนงาน โดยมีกำหนดแล้วเสร็จครบ 80 ต้น กำลังผลิตรวม 640 เมกะวัตต์ภายในปี 2567

นายเทพรัตน์กล่าวอีกว่า  จากพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งและกระแสเงินสดที่มั่นคง ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 มีมติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น (AGM) ประจำปี 2567 ให้จ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงาน ครึ่งปีหลังของปี 2566 ในอัตรา 3.25 บาทต่อหุ้น หลังจากได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญประจำปีซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 12 เมษายน 2567 จะทำให้ทั้งปี 2566 มียอดจ่ายปันผลทั้งหมดอยู่ที่ 6.50 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นอัตราเงินปันผลตอบแทนประมาณ 5%

เร่งลงทุน 3 หมื่นล้านปี 2567 ดึงกำลังการผลิต 1,000 เมกะวัตต์

สำหรับทิศทางการดำเนินงานในปี 2567 เอ็กโก กรุ๊ป มุ่งมั่นแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าและธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่องอย่างไม่หยุดยั้ง ภายใต้กลยุทธ์ “4S” ด้วยการเตรียมงบลงทุน 30,000 ล้านบาท และกำหนดเป้าหมายเพิ่มกำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นอีก 1,000 เมกะวัตต์ โดยมุ่งเน้นการลงทุนและเดินเครื่องโรงไฟฟ้าคุณภาพสูงที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งสนับสนุนเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานไปสู่การใช้พลังงานสะอาดในพื้นที่ที่โรงไฟฟ้าเหล่านั้นตั้งอยู่ รวมทั้งการขยายพอร์ตโฟลิโอพลังงานหมุนเวียน โดยมีความได้เปรียบจากการมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งใน 8 ประเทศที่มีฐานทางธุรกิจอยู่แล้ว ได้แก่ ไทย สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสหรัฐอเมริกา

  • เอ็กโก กรุ๊ป เปิดแผนลงทุนปี 2567 ทุ่มงบ 3 หมื่นลบ.เพิ่มพลังงานสะอาด
  • ในขณะเดียวกัน ก็จะเร่งรัดบริหารโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามแผนงาน และบริหารพอร์ตโฟลิโอและโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ในปัจจุบันกว่า   40 แห่ง รวมทั้งธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่องให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

    สำหรับทิศทางการลงทุน ในปี 2567 คาดว่าจะมีปัจจัยสนับสนุนการเติบโตจากการรับรู้รายได้เต็มปีจากโครงการที่เข้าลงทุนในปี 2566 ได้แก่ โรงไฟฟ้า RISEC กลุ่มโรงไฟฟ้า Compass บริษัทโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค CDI รวมถึงรับรู้รายได้เพิ่มจากการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้า EGCO Cogeneration ส่วนขยาย กำลังผลิตสุทธิ 74 เมกะวัตต์ จ.ระยอง เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2567 การทยอยจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของโครงการหยุนหลิน และการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบและการขายโครงการพลังงานหมุนเวียนภายใต้ APEX ตลอดจน ผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า Paju ES ที่มีแนวโน้มดีอย่างต่อเนื่อง ปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในสหรัฐอเมริกาจากสภาพเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้น และปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป.ลาว ซึ่งจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้นกว่าปีก่อน

    นายเทพรัตน์  กล่าวว่า  โอกาสการลงทุนใหม่ในอนาคตอันใกล้ เอ็กโก กรุ๊ป คาดว่าจะสามารถปิดดีลโครงการใหม่ในรูปแบบ M&A อีก 2-3 โครงการ ภายในปี 2567 ในขณะเดียวกัน มีโอกาสสูงมากในการต่อสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวของโรงไฟฟ้า Quezon ในฟิลิปปินส์ ที่จะหมดสัญญาในเดือนพฤษภาคม ปี 2568 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาค่าไฟฟ้า ซึ่งคาดว่าจะทราบผลการเจรจาที่ชัดเจนเร็ว ๆ นี้