ThaiPublica > Sustainability > Climate Action > AIS เปิดเวทีเส้นทาง Green Network ถกจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ สู่ ZERO Waste

AIS เปิดเวทีเส้นทาง Green Network ถกจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ สู่ ZERO Waste

14 พฤศจิกายน 2023


AIS เปิดเวทีถกปัญหาสิ่งแวดล้อม สร้างเส้นทาง Green Network  แก้ปัญหาอย่างยั่งยืนสู่ ZERO Waste Waste หลังพบปัญหาการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์จัดการถูกต้องเพียง 10 % ชี้ปัจจุบันมีอัตราการถือครอง Digital Device เฉลี่ย 8 กิโลกรัมต่อคน

เป็นอีกกิจกรรมในการลงนามสร้างพันธสัญญาร่วมกันถึงความรับผิดชอบกับการซื้อมือถือภายในสัมมนา “AIS Greenovation The Road Towards Digital World เชื่อมต่อนวัตกรรมสู่การเติบโตในโลกดิจิทัลอย่างยั่งยืน” ถือเป็นจุดเริ่มต้นสร้างความตระหนักถึงปัญหาขยะอิเล็กทรอกนิกส์ เพราะทุกวันนี้มีการถือครอง Digital Device เฉลี่ย 8 กิโลกรัมต่อคน

การสร้างความตระหนักถึงปัญหาการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์จึงไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง หากหมายถึงความรับผิดชอบของทุกคน

เมื่อไม่นานมานี้ AIS ได้เปิดเวทีสัมมนา “AIS Greenovation The Road Towards Digital World เชื่อมต่อนวัตกรรมสู่การเติบโตในโลกดิจิทัลอย่างยั่งยืน” โดยชวนพันธมิตรและ Stake Holder มาร่วมหาแนวทางการทำงาน เพื่อร่วมกันลดและแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน

คงต้องยอมรับว่าสถานการณ์ปัญหาการปล่อยคาร์บอนเริ่มส่งผลกระทบต่อสภาวะแวดล้อมและสร้างความเปลี่ยนแปลงจนทุกคนสัมผัสได้

TGO เตือนอุณหภูมิโลกร้อนขึ้น

นางสาวภคมน สุภาพพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักรับรองธุรกิจคาร์บอนต่ำ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) ได้กล่าวถึงปัญหาดังกล่าวในหัวข้อ “Empowering Digital, Empowering Greener” ว่า ปัญหาโลกร้อนไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป โดยจะพบว่าในประเทศสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาที่กรุงเทพ ฯ มีอุณหภูมิสูงเกิน 40 องศาเซลเซียส และหลายคนเริ่มเผชิญกับปัญหาค่าไฟฟ้าสูงขึ้น

“อากาศในประเทศไทยโชคดีกว่าในสหภาพยุโรปที่มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นต่อเนื่องกว่า 45 องศาเซลเซียส และอากาศร้อนติดต่อกัน  5 วันทำให้เกิดการเจ็บป่วยและเสียชีวิต โดยเฉพาะในช่วงกรกฏาคม-กันยายน ฝั่งยุโรปมีผู้เสียชีวิตจากอากาศร้อนขึ้นกว่า 60,000 ราย”

นอกจากปัญหาโลกร้อนจะส่งผลให้คนเจ็บป่วยมากขึ้นแล้ว ยังทำให้เกิดปัญหาอื่นๆตามม าเช่น การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล โดยหากอุณหภูมิโลกเพิ่ม 3 องศาเซลเซียส น้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้น 7 เมตร ซึ่งหมายถึงประเทศไทยมีความเสี่ยงจะจมหายไปครึ่งประเทศ

อย่างไรก็ตาม หากประเมินผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการประเมินผลกระทบ คิดเป็นมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจทั้งหมดถึง 600,000 ล้านบาท โดยความเสียหายจะเพิ่มขึ้นไปตามอุณหภูมิ เพิ่มขึ้นถึง 2.89 ล้านล้านบาท  เทียบเท่ากับงบประมาณในแต่ละปีของประเทศไทย

“เพื่อควบคุมอุณหภูมิโลกให้อยู่ในภาวะที่มนุษย์สามารถอยู่ได้ จึงได้มีการควบคุมไม่ให้อุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มสูงเกินช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรม หรือ 1.5 องศาเซลเซียส แต่ ณปัจจุบันค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1.2 องศาเซลเซียสแล้ว และในช่วงกรกฎาคมที่ผ่านมาในบางวันอุณหภูมิโลกเพิ่มแตะ 1.5  องศาเซลเซียสเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเราควรที่จะต้องตระหนักและร่วมมือกันอย่างจริงจังมากขึ้น”

ในส่วนประเทศไทยได้ประกาศในเวทีโลกว่าจะเดินไปสู่ Carbon Neutrality ในปี 2050  ซึ่งเราคิดเฉพาะก๊าซคาร์บอนก่อน และในส่วน  Net Zero GHG Emission  ในปี 2065  ซึ่งช้ากว่าประเทศอื่น ๆ เนื่องจากต้องการให้แต่ละภาคส่วนมีการปรับตัวในการดำเนินการ

แต่ในภาคเอกชนผู้ประกอบการไทยมีความตื่นตัวอย่างมาก โดยหลายบริษัทได้ประกาศตัวว่าจะมุ่งสู่ Net Zero ภายในปี 2050 และหลายบริษัทมีกิจกรรมที่จะดำเนินการมากกกว่าที่รัฐบาลไปประกาศเอาไว้ โดยขณะนี้ทั้งประเทศไทยและทั่วโลกประกาศเดินหน้าไปสู่ Net Zero  กว่า 200 ประเทศแล้ว

“เอกชนตื่นตัวมาก เช่น ไมโครซอฟ ประกาศตัวปี 2050 นอกจากไม่ปล่อยแล้วจะเก็บก๊าซเรือนกระจกจากที่อื่นต่อมาเก็บให้ด้วย พร้อมกับย้อนลงไปคำนวณคาร์บอนตั้งแต่เปิดบริษัทว่าปล่อยมาเท่าไหรเพื่อเก็บคาร์บอนให้ด้วย  เช่นเดียวกับบริษัท apple ประกาศให้สินค้าของเขาต้องเป็น Carbon Neutralityเช่นกัน”

นอกจากนี้มีองค์กรที่ริเริ่มและลงทะเบียนในการจัดการก๊าซเรือนกระจกแล้ว  511 องค์กร  การดำเนินการลดภาวะก๊าซเรือนกระจก จำเป็นต้องมีระบบที่ใช้ในการตรวจวัด ทาง TGO จึงนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ เช่น แอพพลิเคชั่น “Zero Carbon”  มาช่วยในการคำนวณ เพื่อให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการก๊าซเรือนกระจกได้ง่ายและสะดวกขึ้น รวมถึงมาตรการในการลดก๊าซเรือนกระจกด้วย เช่น งานเสวนาของเอไอเอสก็มีการคำนวณคาร์บอนในการจัดงานและจัดทำคาร์บอนเครดิตเป็นการชดเชยด้วยเช่นกันเพื่อเป็นคนไทยหัวใจไร้คาร์บอน

“The Road Towards Green Network & Solution เส้นทางสู่การสร้างดิจิทัลโซลูชัน และโครงข่ายเพื่อสิ่งแวดล้อม”

Transform สู่อุตสาหกรรมไร้คาร์บอน

ด้านนายจำรัส สว่างสมุทร ผู้อำนวยการใหญ่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวถึงเส้นทางสู่การเป็น Green Industry และบทบาทสำคัญของสภาอุตสาหกรรมต่อการขับเคลื่อนเรื่องดังกล่าวว่าเดิมเรามองภาคอุตสาหกรรมว่าเป็นผู้ร้ายปล่อยก๊าซเรือนกระจก แล้วทำอย่างไรในการลดก๊าซเรือนกระจก

ในอดีต 40 ปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมดั้งเดิมทั้งหมด 46 กลุ่มอุตสาหกรรมมีอุตสาหกรรมไฟฟ้า ยานยนต์ เครื่องสะอาง อาหาร และอาหารเสริม แต่วันนี้เรามี Transform ไปสู่ Next-Gen Industries หรืออุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่จะต้องทำในเรื่องของ Net Zero

ทั้งนี้สภาอุตสาหกรรม ฯ จะเน้นใน 3 เรื่องหลักคือ  1. การมุ่งสู่การเป็น S-CURVE Industries ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 12 S-CURVE 2. ถึงแม้จะ Transform จากอุตสาหกรรมเก่าเป็นอุตสาหกรรมใหม่ แต่สิ่งที่จะทำไปควบคู่กันก็คือนำหลักการเรื่อง BCG มาใช้  และ 3.เราสนใจเรื่อง Climate Change จะทำอย่างไรให้ภาคอุตสาหกรรมเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่จากผู้ร้ายมาช่วยเรื่องสิ่งแวดล้อมผู้ที่ช่วยเหลือสังคมได้

“เรื่อง S-CURVE จากเดิมเราเป็นอุตสาหกรรมรถยนต์ เราเป็นแชมป์ในการผลิต แต่วันนี้รถยนต์ EVกำลังมา แล้วรถยนต์สันดาปจะไปไหน แต่สภาอุตสาหกรรมจะทำเรื่องนี้คู่กันไปคือ เราจะเป็นประเทศสุดท้ายที่จะผลิตรถยนต์สันดาป ส่วนรถยนต์ EV ไทยได้เปรียบในการผลิตเพราะเป็นประเทศที่ผลิตรถยนต์พวงมาลัยขวามากที่สุดในโลกเขาจึงอยากมาตั้งฐานการผลิตในไทย ทำให้เรามีโอกาสในเรื่องนี้และยังมีอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ หรือ เอไอ อุตสาหกรรมทางการแพทย์ ซึ่งเราจะพัฒนาไปในด้านนั้น”

นอกจากนี้อุตสาหกรรมยังให้ความสำคัญกับเรื่องของ B-C-G  ซึ่ง B :Bio Diversity หมายถึงอุตสาหกรรมชีวภาพที่ไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพแต่ยังไม่ได้พัฒนาหรือยกระดับไบโอชีวภาพเพื่อเป็นอุตสาหกรรม ส่วน C หมายถึง Circular ซึ่งสามารถผลิตแล้วนำมาใช้ซ้ำได้เพื่อให้สามารถลด Waste ได้ ซึ่งเราจะเริ่มตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ว่าชิ้นส่วนไหนสามารถนำไปรีไซเคิลได้ตั้งแต่แรกโดยไทยเป็นประเทศแรกๆของโลกที่ดำเนินการในเรื่องนี้

ส่วน G หมายถึง Green  เราจะมี ECO Products  ซึ่งผลิตภัณฑ์ต้องมีฉลากสีเขียว นอกจากนี้ สภาอุตสาหกรรมยังให้การรับรองโรงงาน ที่มิตรต่อสิ่งแวดล้อมเช่น ไม่ปล่อยน้ำเสีย ของเสีย หรือของที่เป็นกากสามารถกำจัดได้ และมีเรื่อง Eco Town ที่ออกแบบโรงงานที่เป็นมิตรกับชุมชน

นายจำรัส กล่าวว่าในเรื่อง Net Zero เป็นเรื่องยากและท้าทาย เนื่องจากโรงงานอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ยังใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิง หากจะทำให้ไม่มีการปล่อยคาร์บอนเลยจะต้องเปลี่ยนเครื่องจักรซึ่งต้องลงทุนใหม่ หันไปใช้พลังงานสะอาด

แต่ด้วยมาตรการต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ที่เริ่มมีข้อกำหนดเกี่ยวกับภาษีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในการผลิต หลายประเทศทั้งในยุโรป  ญี่ปุ่น และ จีน ทำให้ภาคอุตสาหกรรมไทยตื่นตัวและเห็นว่าต้องทำ เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก

ปัจจุบันบริษัทขนาดใหญ่ทั่วโลก 66 บริษัทได้มีการประกาศตัวเองเป็น Frist Movers Coalition ในการมุ่งสู่ Carbon Neutrality  และ Net Zero โดยเร็ว ทำให้ซัพพลายเออร์ต้องมีการรับรองตัวเองในการเป็น Carbon Neutrality และทำให้เกิดเป็น Carbon Neutrality ในทุกกระบวนการผลิต  ส่วนประเทศไทยในภาคอุตสาหกรรม มีแผนที่ชัดเจนที่จะไปสู่เป้าหมายการเป็น Carbon Neutrality  เช่น การปรับพอร์ตการผลิตไฟฟ้า

นอกจากนี้การใช้เชื้อเพลิงสู่ Low Carbon การเพิ่มสัดส่วนยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งมีเป้าหมายยานยนต์ไฟฟ้าสะสม 1 ล้านคันในปี 2030  และการจัดการของเสียผ่าน BCG Model ซึ่งจะเปลี่ยนจากการฝังกลบ มาเป็นการย่อยสลาย หรือนำกลับมาใช้ใหม่”

นายวสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าหน่วยธุรกิจงานปฏิบัติการและสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศ AIS

AIS สร้างดิจิทัลโซลูชัน พร้อมโครงข่ายเพื่อสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ภายในงานเสวนาของเอไอเอส ยังมีหัวข้อ  “The Road Towards Green Network & Solution เส้นทางสู่การสร้างดิจิทัลโซลูชัน และโครงข่ายเพื่อสิ่งแวดล้อม” 

นายวสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าหน่วยธุรกิจงานปฏิบัติการและสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศ AIS กล่าวว่า เรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องสำคัญและพูดถึงอย่างกว้างขวางในทุกโอเปอเรเตอร์ทั่วโลกมีการตั้งเป้าหมายกว่า 50% ของโอเปอเรเตอร์ทั่วโลกเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมเรียบร้อยแล้วและทั่วโลกดำเนินการอะไรบ้าง ซึ่งอุตสาหกรรมโทรคมนาคมหรือการสื่อสารได้เริ่มดำเนินการเช่นกันตั้งแต่ลดการใช้พลังงานของตนเองเพื่อเดินไปสู่ Net Zero

ส่วนประเด็นที่สอง คือเทคโนโลยี -ไอซีที และโทรคมนาคม เราไม่ได้มีหน้าที่ที่จะทำแค่บริษัทของตัวเองหากแต่เรายัง Provider เทคโนโลยีให้กับส่วนต่างๆ เช่น AIS ผลิตมือถือทำให้การเดินทางน้อยลง หรือ การทำวิดีโอคอนเฟอเรนซ์  ทำให้การเดินทางลดลง ซึ่งกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ส่งผลให้กับอุตสาหกรรมอื่น หรือผลิตภัณฑ์ของ AIS ส่งผลต่ออุตสาหกรรมอื่นๆในการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทำให้ในแต่ละปีมีกิจกรรมหลายอย่างเพื่อที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

“ภาพรวมเราจะเห็นว่า 80 % ของอุตสาหกรรมที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์  ซึ่งเมื่อโฟกัสเฉพาะในส่วนเทคโนโลยีของเรามีส่วนลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 40 %  นอกจากนี้ AIS ยังทำกิจกรรมหลายๆอย่างลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 17 ล้านต้น”

นายวสิษฐ์กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา AIS  มุ่งสู่การเป็น Green Network โดยดำเนินการทั้งเรื่องของพลังงาน ที่เปลี่ยนจากการใช้พลังงานจากฟอสซิลมาเป็นการใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานจากแสงอาทิตย์และพลังงานลม การลดความซ้ำซ้อนและใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน เช่น การเป็นพาร์ทเนอร์กับ NT บนคลื่น 700 MHz  การ Moving to the Cloud  เพื่อยืดอายุการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ ให้ยาวนานขึ้น การพัฒนา Autonomous Network ที่นำเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้ในสถานีฐานเพื่อบริหารจัดการพลังงานให้เหมาะสมกับปริมาณการใช้งานของลูกค้า และ More Bits,Less Watts ที่ทุกการพัฒนาในแต่ละเจนเนเรชั่น จะมีการประหยัดไฟเพิ่มขึ้น

ด้านนายวรกาน ลิขิตเดชาศักดิ์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีเครือข่ายโทรคมนาคม บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า หัวเว่ยมีแนวคิดเรื่อง Green Development ซึ่งจัดทำเป็นสมุดปกขาว โดยประกอบด้วย 2 ส่วนสำคัญคือ  Low Carbonization และ Digitallization  ซึ่งทั้งสองจะเป็นฟันฟืองที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน โดยหากจะทำเรื่อง Low Carbonization แสดงว่าเราต้องการโซลูชั่นในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งก็ต้อง Go Green และ Go ICT มากขึ้น ส่วนภาคอุตสาหกรรม จะคิดว่าจะทำ Digital Transformation อย่างไร เพื่อให้เกิดพลังงานสะอาดและลดมลพิษ ทั้งนี้ Green Development จะช่วยขับเคลื่อนให้เกิดอุตสาหกรรมสีเขียว เกิดการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล  และช่วยเพิ่มส่วนแบ่งของพลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้า

AIS มุ่งสู่การจัดการขยะแบบ ZERO Waste

ในช่วงท้ายของานมีการเสวนา “The Ecosystem of e-waste road to ZERO Waste”   ซึ่งเป็นเวทีในการพูดคุยถึงเรื่องของการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่การสร้างความตระหนักรู้ให้ประชาชนเห็นความสำคัญและรู้ถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหากขยะเหล่านั้นไม่ได้เข้าสู่กระบวนการจัดการที่ถูกต้อง

โดยมีผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์และธุรกิจสัมพันธ์ AIS นายเอกพัชร์ สิทธิไตรวัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายสนับสนุนธุรกิจและบริการกลาง บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน)  นางสาวสุทธิดา ฝากคำ ผู้จัดการอาวุโสด้านสิ่งแวดล้อมบริษัท เวสท์ แมเนจเม้นท์สยาม จำกัด (WMS) นางสาวสมปรารถนา นาวงษ์ ผู้ก่อตั้งเพจอีจัน และ ดร.ตฤณ ทวิธารานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์หรือ ETDA เป็น Moderator

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม” หัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์และธุรกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวว่า ขยะเล็กทรอนิกส์ยังมีการจัดการแบบไม่ถูกวิธี โดยจากการศึกษาของ ITU  พบว่าขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกทิ้งหรือเผาทำลายมีมูลค่าถึง 57,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ถูกทิ้งและเผาทำลาย แต่มีแค่ 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น ที่มีการจัดเก็บอย่างถูกวิธีและนำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล ซึ่งเป็นมูลค่าที่สูญหายไประหว่างทางจำนวนมาก

อย่างไรก็ตามในการประชุม COP28 ที่จะมีขึ้นในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ ได้มีการบรรจุวาระเรื่องของ Green Digital Action  ด้วย สืบเนื่องจากเมื่อเราเข้าสู่โลกดิจิทัลมากขึ้น ก็จะส่งผลให้ปริมาณ Digital Device เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วยเพื่อหาทางดูแลต้นน้ำ กลางน้ำและปลายทาง เพื่อให้ขยะเหล่านี้ไปสู่การจัดการขยะที่ถูกต้องและนำไปสู่ Zero- Waste

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม” หัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์และธุรกิจสัมพันธ์ AIS

นอกจากนี้ยังมีการศึกษาของ GSMA  ที่มีคาดการณ์ว่าภายในสิ้นปีนี้ จะมีประชากรโลกประมาณ 5,400 ล้านคนที่ถือครองหรือใช้บริการโทรศัพท์มือถือ และภายในปี 2030 จะก้าวกระโดดเพิ่มขึ้นถึง 9,000 ล้านคน ประกอบกับผลการศึกษาของ WEEE  ซึ่งเทียบน้ำหนักของ Digital Device ในปัจจุบันว่ามีประมาณ 61.3 ล้านตัน หรือเฉลี่ยถือครองประมาณ 8 กิโลกรัมต่อคน

ทั้งนี้ข้อมูลปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมาก และมีการสำรวจพบว่ามีถึง  83 %  ที่ไม่รู้ว่าขยะอิเล็กทรอนิกส์นั้นจะรีไซเคิลได้อย่างไร นอกจากนี้ยังกลัวข้อมูลรั่วไหล ทำให้คนจำนวนมากเก็บขยะมือถือเอาไว้กับตัวเอง สุดท้ายมีการสำรวจว่าผู้บริโภคกว่า 35 % มีความสนใจที่จะซื้อผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่อีก 65 % ของคนไทยที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์  จึงเป็นที่มาของการที่ AIS ลุกขึ้นมาและเชิญชวนคนไทยให้เอาขยะอิเล็กทรอนิกส์มาทิ้งในโครงการคนไทยไร้ E-Waste  ซึ่งต่อมาได้มีการสร้าง HUB of E-Waste  ขึ้น

“โดยมีการให้ความรู้ สร้างความตระหนักรู้ สร้างคอมมูนิตี้โดยเริ่มจากบริษัทของเราและเริ่มไปชวนบริษัทต่างๆ และมีเครือข่ายสีเขียว  190 องค์กร  มีจุดทิ้งขยะ E-Waste และแอพพลิเคชั่น E-Waste+ ทิ้งขยะได้ทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ มีระบบโลจิสติกส์ การนำขยะไปรีไซเคิลอย่างถูกวิธี และมีการให้รางวัล ซึ่งปัจจุบันยังเป็นคาร์บอนสกอร์ แต่อนาคตจะผลักดันให้ไปสู่การเป็นคาร์บอนเครดิต ที่สามารถต่อยอดในการบริจาคหรือลดหย่อนภาษีได้”

ด้านนางสาวสุทธิดา ฝากคำ ผู้จัดการอาวุโสด้านสิ่งแวดล้อมบริษัท เวสท์ แมเนจเม้นท์สยาม จำกัด (WMS) กล่าวถึงผลกระทบจากขยะ E-Waste โดยระบุว่าการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกต้องมีเพียง 90 %  แล้วอีก 10 % ไปไหน ซึ่งเราได้ดำเนินการจัดการขยะแบบถูกต้องในส่วนนั้น แล้วการจัดการที่ไม่ถูกต้องจะมีผลกระทบต่อทั้งคนและสิ่งแวดล้อม หากไม่ได้รับการจัดการที่ถูกวิธี หากกำจัดผิดวิธี หรือเก็บไว้ในบ้าน อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจากโลหะที่เป็นพิษ เช่น โลหะหนัก เข้าสู่ปอดก็ปอดอักเสบ หรือ กล้ามเนื้ออักเสบเฉียบพลัน รวมถึงก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม โลหะหนักปนเปื้อนน้ำใต้ดิน

นอกจากนี้ของเสียเหล่านี้มีมูลค่าทำให้เราสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ เนื่องจากโลหะต่างๆ ที่มีอยู่ใน E-Waste ถือว่าเป็นทรัพยากรที่มีค่า สามารถนำกลับมาใช้ในกระกระบวนการผลิตต่อไปได้ หากได้รับการจัดการหรือผ่านกระบวนการรีไซเคิลที่ถูกวิธี

ขณะที่นายเอกพัชร์ สิทธิไตรวัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายสนับสนุนธุรกิจและบริการกลาง บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เราได้จัดการขยะภายในบริษัทของเรา กระดาษ พลาสติก  ซึ่งขณะนี้เราสามารถจัดการขยะได้ทั้งหมด และมองหาหุ้นส่วนในการทำเรื่องนี้ โดยได้ร่วมกับ AIS เป็นเครือข่ายในการร่วมจัดการขยะเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ส่วนนางสาวสมปรารถนา นาวงษ์ ผู้ก่อตั้งเพจอีจัน กล่าวว่าเรามีโครงการอีจัน E-Waste ซึ่ง AIS ให้การสนับสนุน มันเหมือนเรื่องเล็กๆที่อยากเล่าในเรื่องของการจัดการขยะ ซึ่งเราได้พยายามสร้างความรู้ในเรื่องนี้กับชาวบ้าน เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจากความไม่รู้ทั้งสิ้น ไม่รู้จะจัดการอย่างไร ไม่รู้ทิ้งที่ไหน และไม่รู้ว่ามีพิษภัย จึงจะเน้นในเรื่องการทำให้รู้ผ่านการเล่าเรื่องในการจัดการขยะ โดยสื่อสารให้สามารถเข้าถึงคนให้ได้

โดยการจัดงานสัมมาครั้งนี้ AIS ได้สร้างการมีส่วนร่วมให้เกิด Green Network ที่จะนำไปสู่พัฒนาอย่างยั่งยืนในด้านสิ่งแวดล้อมทั้งการชวนทุกคนมาร่วมกันทิ้ง E-Waste และได้มีการคำนวนปริมาณ Carbon Footprint ที่เกิดขึ้นจากการจัดงานในทุกส่วน เพื่อทำการซื้อคาร์บอนเครดิตมาชดเชยเท่ากับปริมาณที่ปล่อยออกมา และทำให้การจัดงานครั้งนี้เป็นงาน Carbon Neutral Event ที่ไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก