ThaiPublica > ประเด็นร้อน > Research Reports > Krungthai Compass > Krungthai COMPASS ชี้เกษตรไทยพร้อมรับความเสี่ยง Climate Risk ที่รุนแรงขึ้นหรือยัง?

Krungthai COMPASS ชี้เกษตรไทยพร้อมรับความเสี่ยง Climate Risk ที่รุนแรงขึ้นหรือยัง?

17 สิงหาคม 2023


Krungthai COMPASS วิเคราะห์สถานการณ์ภาคเกษตรไทยพร้อมรับมือความเสี่ยงจาก Climate Risk ที่รุนแรงขึ้นแล้วหรือยัง?

  • ภาคเกษตรมีแนวโน้มได้รับผลกระทบจาก Climate Risk ชัดเจนกว่า Sectorอื่น เนื่องจากมีการใช้น้ำสัดส่วนสูงถึง 70-80%ของการใช้น้ำทั้งหมดในแต่ละปีของไทยอีกทั้งพื้นที่เพาะปลูกอยู่นอกเขตชลประทานถึง 78%และผู้เล่นส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรายย่อยทำให้มีข้อจำกัดในการปรับตัว
  • ปรากฎการณ์เอลนีโญในรอบนี้คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรในช่วงปลายปี 2566และทวีความรุนแรงในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567ซึ่งจะทำให้ผลผลิตเกษตรเสียหายราว 5.3 หมื่นล้านบาทโดยข้าวจะได้รับความเสียหายมากที่สุดราว 2.8 หมื่นล้านบาทซึ่งส่งกระทบต่ออัตรากำไรของโรงสีข้าว เช่นโรงสีรายใหญ่จะมีอัตรากำไรลดลงเหลือ 2.6% ในปี 2567 จาก 3.0% ในปี2565
  • Krungthai COMPASS แนะนำ เกษตรกรศึกษาการเพาะปลูกที่ใช้น้ำน้อยลงและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเพื่อลดต้นทุนส่วนผู้ประกอบการเกษตรแปรรูปควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการวัตถุดิบ และศึกษากฎระเบียบการค้าด้านสิ่งแวดล้อม ส่วนภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการน้ำและสนับสนุนการวิจัยพันธุ์พืชที่ทนแล้ง
  • ……

    ปัญหา Climate Risk ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลกได้สร้างความเสียหายให้กับผลผลิตภาคเกษตรทั่วโลกอยู่ที่ราวปีละ 21,400ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 71.6 หมื่นล้านบาท) และคาดว่าในปี 2030 ความเสียหายในภาคเกษตรจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ปีละ 150,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 502.5 หมื่นล้านบาท)1 ขณะที่ไทยเป็นประเทศผู้ผลิตสินค้าเกษตรและอาหารที่สำคัญของโลก ทำให้ปัจจัย Climate Risk มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    ดังนั้น คำถามที่น่าสนใจคือ ผลกระทบจาก Climate Risk จากปรากฎการณ์เอลนีโญที่เกิดขึ้นรอบล่าสุดนี้จะสร้างความเสียหายต่อภาคเกษตรแค่ไหน?

  • ในระยะข้างหน้าภาคเกษตรจะเผชิญความเสี่ยงจากปัจจัยด้านสภาพภูมิอากาศ(Climate Risk) ในมิติใดบ้าง?และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องจะรับมือกับความเสี่ยงนี้อย่างไร?
  • แต่ก่อนที่จะตอบคำถามเหล่านี้ อยากชวนผู้อ่านมาสำรวจข้อมูลสถานการณ์ Climate Risk ในไทยก่อนว่าน่ากังวลหรือยัง? สถานการณ์ Climate Risk ในไทยเป็นอย่างไร?

    ไทยมีความเสี่ยงสูงจากปัญหา Climate Changeและความเสี่ยงดังกล่าวเริ่มส่งผลกระทบต่อไทยชัดเจนมากขึ้น โดยจากข้อมูลจาก Global Climate Risk 2021 ชี้ว่าไทยถูกจัดอันดับเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอันดับที่ 9 จาก 180 ประเทศทั่วโลก จึงมีโอกาสสูงที่จะเผชิญกับปัญหาสภาพอากาศที่สูงขึ้นกว่าปกติและสภาพอากาศสุดขั้ว (รูปซ้าย) ขณะที่ล่าสุดในปี 2566 ไทยเจอกับปัญหากับสภาพอากาศที่ร้อนกว่าปกติ เช่นเดียวกับหลายประเทศในเอเชีย เห็นได้จากในช่วงเดือนเมษายน 2566 มีรายงานว่าที่ จ.ตาก มีอุณหภูมิสูงถึง 45.4 องศาเซลเซียส

    สอดคล้องกับข้อมูลอุณหภูมิของแต่ละประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในเดือนเมษายน ปี 2023 ก็สูงขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตปี 1990-2020 (รูปขวา)ซึ่งปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น ส่งผลให้ปริมาณน้ำฝนลดน้อยลงทำให้ไทยต้องเผชิญความเสี่ยงกับปัญหาขาดแคลนน้ำที่อาจทวีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต

    ภาคเกษตรมีความเสี่ยงจากปัญหา Climate Risk แค่ไหน?

    ภาคเกษตรเป็น Sector ที่มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบจากปัญหา Climate Risk ชัดเจนกว่า Sector อื่น เนื่องจากมีสัดส่วนการใช้น้ำมากที่สุด เมื่อเทียบกับ Sector อื่นๆ โดยภาคเกษตรใช้น้ำคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 77% ของการใช้น้ำในแต่ละปีของไทย

    ทั้งนี้ความต้องการใช้น้ำในแต่ละปีของไทยอยู่ที่ราว 147,747 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) แบ่งเป็น การใช้น้ำสำหรับภาคเกษตรที่ 113,961 ล้าน ลบ.ม.(สัดส่วน 77% ของการใช้น้ำทั้งหมด) รองลงไปคือ การใช้เพื่อระบบนิเวศ 27,090 ล้าน ลบ.ม.(19%) การใช้เพื่อการท่องเที่ยวและอุปโภคบริโภคที่ราว 4,783 ล้าน ลบ.ม. (3%)และใช้สำหรับภาคอุตสาหกรรมที่ราวปีละ 1,913 ล้าน ลบ.ม. (1%) โดยผู้เล่นในภาคเกษตรส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรายย่อยทำให้มีข้อจำกัดในการปรับตัวด้านการบริหารจัดการน้ำ อีกทั้งพื้นที่เพาะปลูกของไทยอยู่นอกพื้นที่ชลประทานถึง 78% ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงจากปัญหาขาดแคลนน้ำในการทำเกษตรกรรมมากที่สุด

    Climate Risk จะสร้างความเสี่ยงต่อภาคเกษตรไทยในมิติใดบ้าง?

    Climate Risk มีแนวโน้มจะสร้างความเสี่ยงต่อภาคเกษตรไทยใน 2 มิติหลัก คือ 1)ความเสี่ยงจากผลกระทบทางกายภาพ (Physical risk) 2)ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่านต่อระบบเศรษฐกิจ (Transition risk)โดยอ้างอิงจากบทความของสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อม (Environmental Protection Agency: EPA) ที่นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับ Climate Risks and Opportunities Defined 2 พบว่าผลกระทบจากปัญหา Climate Change จะก่อให้เกิดความเสี่ยงใน 2 มิติ คือ 1) ความเสี่ยงด้าน Physical risk เช่น การเกิดภัยแล้งที่สร้างความเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตร และ 2) ความเสี่ยงด้าน Transition risk เช่น
    ความเสี่ยงต่อความสามารถในการแข่งขันของภาคเกษตรไทยในตลาดส่งออก จากการเปลี่ยนแปลงของกฎเกณฑ์และนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของคู่ค้ารวมทั้งพัฒนาการของเทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค

    Krungthai COMPASS มองว่าความเสี่ยงจากผลผลิตสินค้าเกษตรที่เสียหายจากปัญหาภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นและความเสี่ยงจากนโยบายและกฎระเบียบทางการค้าที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้นจะเป็นความเสี่ยงที่จะเห็นได้ชัดและส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยชัดเจนขึ้นในระยะ 1-2 ปีนี้ ดังนั้นในบทความส่วนถัดไปจะประเมินผลกระทบจากความเสี่ยงดังกล่าวเพื่อให้ทุกภาคส่วนได้เตรียมปรับตัวเพื่อลดผลกระทบ

    ความเสี่ยง จากความเสียหายต่อผลผลิตสินค้าเกษตรไทย

    ปัญหา Climate risk ที่เห็นชัดเจนมากขึ้น คือ ภาวะเอลนีโญที่เกิดถี่ขึ้นส่งผลให้เกิดภัยแล้ง และสร้างความเสี่ยงต่อผลผลิตสินค้าเกษตรไทยโดยก่อนที่จะเกิดเอลนีโญกำลังแรงในปี 2558-2559 นั้นได้เกิดเอลนีโญในช่วงก่อนหน้า คือ ปี 2552-2553 หรือทิ้งช่วงประมาณ 5 ปีแต่หลังจากปี 2559 เกิดเอลนีโญอีกครั้ง คือ ปี 2562-2563 และ 2566-2567หรือเกิดถี่ขึ้นเป็นทุก 3 ปี ปัจจัยได้กล่าวส่งผลทำให้ผลผลิตสินค้าเกษตรเสียหายโดยในปี 2558 และ 2562 ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรหดตัวราว 5.7% YoY และ4.7% YoY ตามลำดับดังนั้นภาวะเอลนีโญที่มีแนวโน้มเกิดถี่ขึ้นจะยิ่งสร้างความเสี่ยงต่อผลผลิตสินค้าเกษตรของไทยเพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า

    เอลนีโญในรอบนี้จะสร้างความภาคเสียหายต่อเกษตรไทยแค่ไหน?

    ปรากฎการณ์เอลนีโญที่เริ่มก่อตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 และจะทวีความรุนแรงในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 จะส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำต้นทุนที่ใช้ในการเพาะปลูก โดย ณ 19 ก.ค. 2566 ปริมาณน้ำในเขื่อนใช้การได้ โดยรวมทั้งประเทศอยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะภาคกลางและภาคตะวันตก ซึ่งอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2558 ที่เกิดภัยแล้งรุนแรง สถานการณ์ดังกล่าวจะสร้างความเสี่ยงต่อผลผลิตสินค้าเกษตรสำคัญ อย่างข้าวนาปีที่จะมีผลผลิตออกสู่ตลาดมากในช่วงปลายปี 2566 รวมทั้งข้าวนาปรัง อ้อยและมันสำปะหลังที่จะมีผลผลิตออกสู่ตลาดมากในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยคาดว่าข้าว จะได้รับความเสียหายเป็นหลัก เนื่องจากภาคกลางซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งรุนแรงเป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวที่สำคัญโดยเฉพาะข้าวนาปรัง อีกทั้งเป็นพืชที่ทนแล้งได้น้อยกว่าอ้อย และมันสำปะหลัง

    ผลผลิตสินค้าเกษตรสำคัญจะได้รับผลกระทบแค่ไหน?

    เอลนีโญในรอบนี้คาดว่าจะทำให้ 3 พืชในภาคเกษตรกรรมสำคัญ ได้แก่ ข้าว อ้อยและมันสำปะหลังได้รับความเสียหายรวมกันอยู่ที่ราว 16,000-126,000 ล้านบาท โดยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสถานการณ์เอลนีโญซึ่งมีสมมติฐานในแต่ละกรณีดังนี้

  • กรณีที่ 1 Base Case: ภาวะฝนทิ้งช่วงตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2566ไปจนถึงกลางปี 2567 โดยผลผลิตข้าวนาปี อ้อย และมันสำปะหลังคาดว่าจะได้รับผลกระทบตั้งแต่ช่วงปลายปี 2566และจะทวีความรุนแรงในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 คาดว่าผลผลิตข้าว อ้อยและมันสำปะหลัง จะได้รับความเสียหายพอสมควรจากปริมาณน้ำต้นทุนที่ลดต่ำลงมาก ส่งผลให้มีมูลค่าความเสียหายรวม 53,215 ล้านบาท แบ่งเป็น 1)ข้าวได้รับความเสียหายมากที่สุดประมาณ 3.2 ล้านตัน มูลค่าความเสียหายราว28,422 ล้านบาท 2) อ้อยได้รับความเสียหายประมาณ 15.8 ล้านตันมูลค่าความเสียหายราว 16,906 ล้านบาท และ 3)มันสำปะหลังได้รับความเสียหายประมาณ 2.9 ล้านตันมูลค่าความเสียหายประมาณ 6,931 ล้านบาท
  • กรณีที่ 2 Best Case: ภาวะฝนทิ้งช่วงกินเวลาไม่นาน ตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2566 และจะคลี่คลายภายในต้นปี 2567 ทำให้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ผลผลิตข้าวนาปี อ้อย และมันสำปะหลัง ไม่ได้รับผลกระทบมากนักเนื่องจากปริมาณน้ำต้นทุนในเขื่อนยังมีเพียงพอ ส่วนในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 คาดว่าผลผลิตข้าวนาปรัง อ้อยและมันสำปะหลังจะได้รับผลกระทบน้อยเพราะเอลนีโญอ่อนกำลังลง ส่งผลให้มีมูลค่าความเสียหายรวม 16,000ล้านบาท แบ่งเป็น 1) ข้าวได้รับความเสียหายมากที่สุดประมาณ 0.4 ล้านตันมูลค่าความเสียหายราว 3,594 ล้านบาท 2) อ้อยได้รับความเสียหายประมาณ5.8 ล้านตัน มูลค่าความเสียหายราว 6,206 ล้านบาท และ 3)มันสำปะหลังได้รับความเสียหายประมาณ 2.6 ล้านตันมูลค่าความเสียหายประมาณ 6,196 ล้านบาท
  • กรณีที่ 3 Worse Case: ภาวะฝนทิ้งช่วงลากยาวตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2566ไปจนถึงปลายปี 2567 โดยผลผลิตข้าวนาปี อ้อย และมันสำปะหลังจะได้รับผลกระทบตั้งแต่ปลายปี 2566 ประกอบกับในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 คาดว่าผลผลิตข้าวนาปรัง อ้อยและมันสำปะหลังจะได้รับความเสียหายพอสมควรจากปริมาณน้ำต้นทุนที่ลดต่ำลงมาก นอกจากนี้ยังสร้างความเสียหายต่อเนื่องไปถึงการปลูกข้าวนาปีในช่วงครึ่งปีหลังของ ปี2567 ซึ่งเป็นผลผลิตข้าวส่วนใหญ่คิดเป็นกว่า 80% ของผลผลิตข้าวรวมทั้งปีส่งผลให้มีมูลค่าความเสียหายรวม 126,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 1)ข้าวได้รับความเสียหายมากที่สุดประมาณ 7.5 ล้านตัน มูลค่าความเสียหายราว67,484 ล้านบาท 2) อ้อยได้รับความเสียหายประมาณ 25.8 ล้านตันมูลค่าความเสียหายราว 27,606 ล้านบาท และ 3)มันสำปะหลังได้รับความเสียหายประมาณ 12.8 ล้านตัน มูลค่าความเสียหายประมาณ 30,592 ล้านบาท
  • Krungthai COMPASS มองว่า ความเสียหายในกรณีที่ 1 มีความเป็นไปได้มากที่สุดเนื่องจากสมมติฐานดังกล่าวสอดคล้องกับข้อมูลการคาดการณ์ของ ColumbiaClimate School ที่คาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2566ไทยมีความเสี่ยงที่จะมีปริมาณฝนน้อยกว่าค่าปกติ 3 รวมทั้งสอดคล้องกับการประเมินสถานการณ์ภัยแล้งของ กรมอุตุนิยมวิทยา ที่คาดว่าจะเกิดภาวะฝนทิ้งช่วงตั้งแต่ครึ่งปีหลังของปี 2566 ไปจนถึงกลางปี 2567 4 ซึ่งจะทำให้ผลผลิตข้าว อ้อย และมันสำปะหลัง ได้รับผลกระทบตั้งแต่ช่วงปลายปี 2566 และทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567

    เมื่อผลผลิตข้าวมีความเสี่ยงที่จะได้รับความเสียหายมากที่สุดแล้วธุรกิจโรงสีจะได้รับผลกระทบอย่างไร?

    ความสามารถในการทำกำไรของโรงสีมีแนวโน้มจะลดลงจากภัยแล้งที่คาดว่าจะรุนแรงในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ซึ่งจะทำให้ผลผลิตข้าวเสียหายทำให้อุปทานข้าวในตลาดมีจำกัด ส่งผลให้โรงสีมีต้นทุนรับซื้อของข้าวเปลือกจากเกษตรกรเพิ่มขึ้น แต่ราคาขายส่งข้าวสารที่โรงสีขายกลับปรับเพิ่มได้ไม่มากนัก เนื่องจากถูกกดดันจากการแข่งขันในตลาดส่งออกเพราะข้าวไทยยังมีต้นทุนที่สูงกว่าคู่แข่งอย่างเวียดนามและอินเดีย แม้ผลผลิตข้าวประเทศคู่แข่งสำคัญในการส่งออกข้าวของไทยอย่างเวียดนามจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าวเช่นกัน แต่อาจน้อยกว่าไทย เนื่องจากสายพันธุ์ข้าวของเวียดนามให้ผลผลิตมากกว่าและพึ่งพาการใช้น้ำน้อยกว่าข้าวไทย โดยในปี 2567 (ปีที่คาดว่าจะเกิดเอลนีโญรุนแรง)คาดว่าวัตถุดิบข้าวเปลือกที่ป้อนเข้าสู่โรงสีจะลดลงราว 8.6%

    ตามปริมาณผลผลิตข้าวเปลือกที่ลดลงทั้งประเทศอีกทั้งยังทำให้ต้นทุนรับซื้อข้าวเปลือกจะเพิ่มขึ้น 10.3% จาก 8,984 บาทต่อตัน ในปี
    2565 เป็น 9,910 บาทต่อตัน ในปี 2567 ขณะที่ราคาขายส่งข้าวสารจะเพิ่มขึ้นเพียง10.1% จาก 13,715 บาทต่อตัน ในปี 2565 เป็น 15,094 บาทต่อตันในปี 2567 และหากกำหนดให้ต้นทุนอื่น เช่น ค่าไฟและค่าขนส่งจะปรับลดลงตามต้นทุนพลังงานที่มีแนวโน้มลดลง
    ส่วนค่าแรงเพิ่มขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล ขณะที่ค่าหยงคงที่โดยเมื่อพิจารณาจากตัวอย่างผู้ประกอบการที่เป็นโรงสีรายใหญ่ซึ่งมีกำลังการผลิตข้าว 1,000 ตันข้าวเปลือก/วัน คาดว่าในปี 2567 โรงสีดังกล่าวจะมีอัตรากำไรเหลือ2.6% จาก 3.0% ในปี 2565 (ปีปกติที่ยังไม่เกิดเอลนีโญ)

    อย่างไรก็ตามยังเป็นอัตรากำไรที่สูงกว่าในช่วงปี 2558-2559 ที่เกิดเอลนีโญรุนแรงซึ่งทำให้ในปีดังกล่าวโรงสีมีอัตรากำไรเฉลี่ยอยู่ที่เพียง 1.6% ความเสี่ยงในมิติด้านกฎระเบียบทางการค้าโลกด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้นกฎระเบียบของคู่ค้าด้านสิ่งแวดล้อมในตลาดส่งออกที่เข้มงวดขึ้นจะเป็นอุปสรรคต่อการส่งออกสินค้าของไทยไปยังประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะ EU และUS ที่ให้ความสำคัญกับประเด็นมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มข้น เช่น นโยบายFarm to Fork ของสหภาพยุโรปซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงยุโรปสีเขียว(European Green Deal)ที่ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบย้อนกลับตั้งแต่กระบวนการผลิตไปจนถึงผู้บริโภคโดยตั้งเป้าว่าจะลดคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้อย่างน้อย 55% ภายในปี 2030

    นอกจากนั้นยังมีมาตรการที่ในอนาคตมีโอกาสขยายวงมาสู่ธุรกิจเกษตรและอาหารได้ เช่นมาตรการปรับคาร์บอนข้ามพรมแดน (CBAM) ของ EU ที่คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในปี2566

    โดยแม้ในระยะแรก จะมีเพียงสินค้าประเภท ซีเมนต์ ไฟฟ้า ปุ๋ย เหล็ก อลูมิเนียมและไฮโดรเจนเท่านั้น ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าวส่งผลให้สินค้าที่กล่าวมาข้างต้น มีโอกาสถูกเรียกเก็บภาษีคาร์บอนในอัตราราว 52-137 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันคาร์บอน-ไดออกไซด์เทียบเท่า (CO 2 )ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้าและประเทศปลายทาง 5แต่ในระยะต่อไปคาดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ EU จะขยายมาตรการให้ครอบคลุมไปถึงสินค้าประเภทอื่นๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าเกษตรและอาหาร ทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรและความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ

    ……

    Krungthai COMPASS แนะนำ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในภาคเกษตรดังต่อไปนี้ธุรกิจเกษตรแปรรูป

  • ควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการวัตถุดิบเพื่อรับมือกับความผันผวนของต้นทุนสินค้าเกษตร เช่นการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากับเกษตรกร ก็จะช่วยลดแรงกดดันด้านต้นทุนในช่วงที่ราคาวัตถุดิบสินค้าเกษตรปรับเพิ่มขึ้น
  • ควรร่วมมือกับเกษตรกรในการประยุกต์ใช้ Climate Techเพื่อช่วยบริหารจัดการและติดตามข้อมูลสภาพอากาศและภัยธรรมชาติ เช่นกลุ่มบริษัทมิตรผลที่ร่วมมือกับเกษตรกรนำเทคโนโลยีมาใช้ในการสำรวจระยะไกลผ่านดาวเทียมและใช้ข้อมูลพยากรณ์อากาศแบบเจาะจงพื้นที่ทำให้ผลผลิตอ้อยสูงขึ้นเฉลี่ยจาก 7-8 ตันต่อไร่ เป็น 10-15 ตันต่อไร่
  • ควรศึกษาและติดตามกฎระเบียบการค้าเนื่องจากกฎระเบียบการค้าด้านสิ่งแวดล้อมมีการยกระดับอยู่เสมอและมีแนวโน้มเข้มงวดขึ้น รวมถึงมีโอกาสขยายขอบเขตไปยังสินค้ากลุ่มอื่นๆ เพิ่มเติมโดยเฉพาะในตลาดสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาซึ่งอาจเป็นอุปสรรคทางการค้าสำหรับผู้ส่งออกไทยที่ปรับตัวไม่ทันเกษตรกร
  • ควรประยุกต์ใช้ความรู้ด้านการเพาะปลูกสมัยใหม่ที่พึ่งพาการใช้ทรัพยากรน้ำน้อยกว่าเดิม เช่น การทำนาเปียกสลับแห้ง
    ที่ช่วยลดการใช้น้ำในการเพาะปลูกได้ถึง 15%อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนพลังงานในการสูบน้ำเข้าแปลงนาข้าวและยังมีส่วนช่วยให้ต้นข้าวมีประสิทธิภาพต้านทานต่อโรคและแมลงมากขึ้นนอกจากนั้นยังลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการเพาะปลูกข้าวอีกด้วย
  • ควรปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิตเพื่อลดต้นทุน เช่นการวิเคราะห์ดินเพื่อให้ใช้ปุ๋ยได้ตรงกับลักษณะดินทำสามารถให้ลดอัตราการใช้ปุ๋ยได้ถึง 50-60 กิโลกรัม/ไร่รวมทั้งช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในกระบวนการเพาะปลูกภาครัฐ
  • ควรให้ความสำคัญกับการลงทุนบริการจัดการน้ำโดยเฉพาะการลงทุนเพิ่มแหล่งกักเก็บน้ำในพื้นที่นอกชลประทานซึ่งมักเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งค่อนข้างมากโดยผ่านมาการลงทุนในการบริหารจัดการน้ำในภาคเกษตรของไทยยังค่อนข้างน้อย อยู่ที่เพียง 0.4% ของ GDPเทียบกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติซึ่งควรอยู่ที่ 1-2% ของ GDP 6นอกจากนี้เม็ดเงินลงทุนในการบริหารจัดการน้ำส่วนใหญ่ของไทยกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่เขตชลประทานเป็นหลักส่วนพื้นที่นอกชลประทานยังลงทุนค่อนข้างน้อย
  • สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาพันธุ์พืช และปศุสัตว์ ที่ทนแล้งรวมทั้งสภาพอากาศที่มีแนวโน้มแปรปรวนมากขึ้นซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งที่สามารถช่วยลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศได้ อีกทั้งยังช่วยลดการใช้น้ำในเพาะปลูกส่งผลให้การใช้น้ำในภาคเกษตรมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • อ้างอิง
    1. อ้างอิงจากบทความ Farm and food investors face $150 billion loss on climate change
    2. อ้างอิงจากบทความ Climate Risks and Opportunities Defined ของสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อม (Environmental Protection Agency -EPA)
    3. อ้างอิงจาก https://iri.columbia.edu/our-expertise/climate/forecasts/seasonal-climate-forecasts/
    4. อ้างอิงจาก บทความ ปีนี้ประเทศไทยยังไม่มีโอกาสเกิด “คลื่นความร้อน”
    5. อ้างอิงจาก Carbon Tax & Carbon War ผู้ประกอบการไทยเตรียมพร้อมรับมืออย่างไรแล้วบ้าง
    6. อ้างอิงจากรายงาน Financing a water secure future, OECD
    https://www.oecd.org/environment/resources/policy-highlights-financing-a-water-secure-future.pdf