ThaiPublica > ประเด็นร้อน > เลือกตั้งอย่างรับผิดชอบ 2566 > ‘ก้าวไกล’ ยื่น ป.ป.ช.หลักฐานใหม่คดี “ศักดิ์สยาม” ซุกหุ้น

‘ก้าวไกล’ ยื่น ป.ป.ช.หลักฐานใหม่คดี “ศักดิ์สยาม” ซุกหุ้น

25 กรกฎาคม 2023


นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล

พรรคเพื่อไทยระบุไม่มีความคืบหน้าจัดตั้งรัฐบาล เลื่อนประชุม 8 พรรคร่วมฯ ขณะที่พรรคก้าวไกลเปิดหลักฐานใหม่คดี “ศักดิ์สยาม” ซุกหุ้น ยื่น ป.ป.ช. ตรวจสอบมีหนี้สินคงค้างหจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ในวันเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีโดยไม่เปิดเผยในบัญชีทรัพย์สินหรือไม่

ขณะที่การจัดตั้งรัฐบาลโดย 8 พรรคร่วมฯ หลังพรรคก้าวไกลซึ่งชนะเลือกตั้งอันดับหนึ่งได้มอบภารกิจให้การจัดตั้งรัฐบาลให้พรรคเพื่อไทยหลังจากเสนอชื่อนายพิธา  ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ไม่ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภา

หลังได้รับมอบหมายพรรคเพื่อไทยได้เชิญพรรคการเมือง อาทิ  พรรคภูมิใจไทย พรรคร่วมไทยสร้างชาติ พรรคพลังประชารัฐ พรรคชาติพัฒนากล้า และพรรคชาติไทยพัฒนา เพื่อขอเสียงสนับสนุนการโหวตนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 3  พร้อมทำงานคู่ขนานในการหาเสียงสนับสนุนจากวุฒิสมาชิก

โดยในวันที่ 25 ก.ค.2566 พรรคเพื่อไทยได้นัดประชุมร่วมกับ 8 พรรคร่วม  จัดตั้งรัฐบาล แต่ต้องยกเลิกด่วน จากเดิมนัดการประชุม 8 พรรคการเมืองร่วมจัดตั้งรัฐบาล ที่พรรคเพื่อไทยเวลา 14.00 น.  และพรรคเพื่อไทยได้แจ้งเปลี่ยนสถานที่ประชุมเป็นที่อาคารรัฐสภาแทน เวลา 15.00 น. กระทั่งที่สุดพรรคเพื่อไทยแจ้งยกเลิกการประชุม 8 พรรคการเมืองร่วมจัดตั้งรัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทยชี้แจงเหตุผลเนื่องจากการทำงานที่ได้รับมอบหมาย ยังไม่มีความคืบหน้า

ก้าวไกลเปิดหลักฐานใหม่ “ศักดิ์สยาม” ซุกหุ้น

อย่างไรก็ตามก่อนหน้านั้นในช่วงเวลา 10.00 น  ที่พรรคก้าวไกล  นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แถลงความคืบหน้ากรณีคดีความที่พรรคร่วมฝ่ายค้านเดิมเคยยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อปี 2565 ขอให้ตรวจสอบว่านายศักดิ์สยาม ชิดชอบ อาจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จต่อ ป.ป.ช. หรือไม่ ซึ่งในครั้งนั้น ร่างคำร้องได้พุ่งเป้าไปที่การคงอยู่ซึ่งความเป็นเจ้าของของนายศักดิ์สยามในห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีเจริญคอนสตรัคชั่น

หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง และมีคำสั่งให้ศักดิ์สยามหยุดปฎิบัติหน้าที่ชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2566 ผู้ถูกร้องก็ได้ส่งเอกสารชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อหักล้างข้อกล่าวหา ซึ่งตนและ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ในฐานะตัวแทนผู้ร้อง ได้รับเอกสารทั้งหมดนี้เช่นกันเมื่อประมาณ 3 สัปดาห์ที่แล้ว

จากการตรวจสอบเอกสารทั้งหมด ทำให้พบว่ามีจุดพิรุธอยู่หลายแห่ง โดยจะนำหลักฐานที่พบไปที่สำนักงาน ป.ป.ช. เพื่อยื่นคำร้องเพิ่มเติมเนื่องจาก พบหลักฐานใหม่ว่านายศักดิ์สยามยังมีหนี้สินคงค้างกับห้างหุ้นส่วนแห่งนี้ในวันที่เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี และไม่ได้เปิดเผยในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นต่อ ป.ป.ช.

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า ตามเอกสารที่ หจก.บุรีเจริญฯ ชี้แจงและยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญถึงกรณีหนี้สินที่ศักดิ์สยามคงค้างกับ หจก. นั้น ในรายละเอียดระบุว่า นายศักดิ์สยามเคยกู้ยืมเงินจาก หจก. ตั้งแต่ปี 2558-2559 จำนวน 4 ครั้ง เป็นยอดรวมทั้งสิ้น 108,499,000 บาท โดยมีสัญญากู้ยืมเงิน ต่อมานายศักดิ์สยามได้ชำระหนี้เงินกู้คืนทั้งก้อน ในวันที่ 22 เมษายน 2562 ก่อนเข้ารับตำแหน่ง สส. 33 วัน

“ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจของผมเมื่อปี 2565 หลังจากนายศักดิ์สยามชี้แจงในสภาฯ ผมได้ถามคำถามว่าหนี้สินที่นายศักดิ์สยามมีกับ หจก. แห่งนี้ได้โอนออกไปพร้อมกับการโอนหุ้นหรือไม่ ทว่าไม่เคยได้รับคำตอบ แต่ข้อมูลจากเอกสารของ หจก.บุรีเจริญฯ ได้ชี้ให้เห็นว่าหลังจากการโอนหุ้น หจก. แห่งนี้ออกไป ไม่ได้มีการโอนหนี้สินก้อนนี้ออกไปด้วย เอกสารฉบับนี้จึงเป็นการมัดตัวว่าหนี้สินก้อนนี้ยังเป็นของนายศักดิ์สยามอยู่ หลังจากการโอนหุ้นเมื่อปี 2561 อย่างแน่นอน”

นอกจากนี้การชำระหนี้เงินกู้คืน เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2562 ก่อนที่จะต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน ได้ดำเนินการอย่างที่กล่าวอ้างจริงหรือไม่ เพราะงบการเงินของ หจก. สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2562 ระบุชัดว่า ยังมีเงินให้หุ้นส่วนผู้จัดการกู้ยืมคงค้างอยู่ 38 ล้านบาท หลังจากนั้นยอดหนี้สินนี้จึงถูกปิดลงเหลือ 0 บาทในงบการเงินสิ้นปี 2563

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า การตรวจสอบบัญชี การปิดงบการเงินนั้น จำเป็นต้องสอดคล้องกับเอกสาร ทางการเงินและยอดเงินในบัญชีทั้งหมดของ หจก. เพราะเป็นเอกสารที่จำเป็นต้องยื่นต่อหน่วยงานราชการตามกฎหมาย จึงมีความน่าเชื่อถือมากกว่า ดังนั้น อาจเป็นไปได้อย่างมากว่า นายศักดิ์สยามยังคงเป็นหนี้ห้างหุ้นส่วนแห่งนี้อยู่ 38 ล้านบาทในสิ้นปี 2562 และไม่ได้ยื่นในบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.

นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล

พบพิรุธ ‘ศักดิ์สยาม’ กู้ยืมเงินหจก.บุรีเจริญฯ 4 ครั้ง

หากมองในแง่ดีว่าวันที่ 22 เมษายน 2562 มีการโอนเงิน 108,499,000 บาท ให้หจก. ตามในเอกสารจริงๆ ซึ่งทำให้มีพิรุธประการต่อไปว่า หากไปดูในเอกสารชี้แจงจะพบว่าทาง หจก. ได้ยอมรับเองว่า นายศักดิ์สยาม มีการกู้ยืมเงินจากห้างทั้งสิ้น 4 ครั้ง

ประเด็นก็คือตัวเลขเงินให้หุ้นส่วนผู้จัดการกู้ยืมตั้งแต่ปี 2559,2560 และ 2561 นั้นระบุตรงกันว่าเป็นยอด 69 ล้านบาท ซึ่งตรงกับการกู้ยืมครั้งที่ 3 และครั้งที่ 4 รวมกัน คำถามคือ  การกู้เงินครั้งที่ 1 และ 2 ที่รวมเป็นยอดเงิน 39,499,000 บาท นั้น เหตุใดจึงไม่เคยปรากฏอยู่ในงบการเงินแม้แต่ครั้งเดียว ยอดเงินจำนวนนี้มาจากไหน

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า ข้อสันนิษฐานคือ มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจไม่ได้มีการชำระหนี้ก้อนนี้ทั้งหมด และยังมียอดหนี้คงค้างตามในงบการเงิน จึงใช้วิธีหายอดเงินที่มีการโอนเข้า หจก. จริงๆ ซึ่งอาจเป็นธุรกรรมเพื่อการอื่น มากล่าวอ้างว่าเป็นการใช้หนี้

พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าแต่เผอิญยอดเงินไม่ตรงกับ 69 ล้านบาทที่ปรากฏในงบการเงิน จึงต้องสร้างยอดหนี้ใหม่ที่ไม่เคยปรากฏในงบการเงินมาก่อน ทำสัญญาเงินกู้ขึ้นมา ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าสัญญาเงินกู้ที่ยอดเงินสูงขนาดนี้ มีการติดอากรแสตมป์ที่จะมีวันที่ประทับเพื่อให้มีผลทางกฎหมายอย่างเป็นทางการหรือไม่

“ผมขอเน้นย้ำว่านี่เป็นการสันนิษฐานถึงความเป็นไปได้จากข้อพิรุธที่พบตามเอกสาร ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. ที่จะสืบสวนติดตามเอกสารต่างๆ และตรวจสอบเรื่องนี้ตามคำร้องต่อไป” นายปกรณ์วุฒิกล่าว

ชี้ไม่พบหลักฐาน “ศักดิ์สยาม” จ่ายหนี้คืน

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวต่อว่า ประการต่อไปที่คิดว่าเป็นข้อสงสัยมากที่สุด เมื่อตนอ่านเอกสารชี้แจงของ หจก. ดังกล่าว หากย้อนไปถึงเนื้อหาที่เคยอภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่องนี้ และตอนที่นายศักดิ์สยามลุกขึ้นมาชี้แจงในสภาฯ เนื้อหาส่วนหนึ่งของการอภิปรายของตนคือการตั้งข้อสงสัยว่า ตัวเลขในการยื่นบัญชีทรัพย์สินนั้น ไม่สอดคล้องกับการขายหุ้นของ หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น

เพราะหากมีการขายหุ้น และนายศักดิ์สยามได้เงิน 120 ล้านบาทจริง เมื่อเดือนมกราคมปี 2561 เหตุใดในการยื่นทรัพย์สินใน 16 เดือนให้หลังกลับมีเงินสดเงินฝากเพียงแค่ 76 ล้านบาท หากเป็นตัวเลขจริงแปลว่า นายศักดิ์สยามใช้เงินที่ไม่ใช่การซื้อทรัพย์สินอย่างน้อย 40 ล้านบาทภายใน 16 เดือน และถ้าใช้แค่ 40 ล้านก็ตั้งอยู่บนข้อสมมติที่ว่า ก่อนเดือนมกราคมปี 2561 นายศักดิ์สยามไม่มีเงินแม้แต่บาทเดียว

ในวันรุ่งขึ้น นายศักดิ์สยามก็ลุกขึ้นมาชี้แจงในสภาฯ  ในข้อมูลนำเสนอเขียนว่า “ได้นำไปชำระหนี้สินส่วนตัวและหนี้สินทางธุรกิจ” แต่นายศักดิ์สยามอภิปรายเพียงแค่ว่า “ส่วนเงินที่ได้รับจากการขายหุ้นนั้น ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของผมที่จะนำไปใช้อะไร ซึ่งก็คิดว่าคงไม่ต้องมารายงานต่อท่านสมาชิก”

“สิ่งที่ผมสงสัย คือหากการจ่ายคืนหนี้สินเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2562 เกิดขึ้นจริง เหตุใด นายศักดิ์สยามจึงไม่นำข้อมูลหลักฐานนี้มาชี้แจงในสภาฯ ในวันนั้น หากลองคิดแบบวิญญูชนทั่วไป วันนั้นตนอภิปรายถึงสายสัมพันธ์ของนายศักดิ์สยามที่มีกับ หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น หลังการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี และนายศักดิ์สยามได้นำหลักฐานว่ามีการโอนหุ้นไปแล้วมาชี้แจงในสภาฯ หนี้สินก้อนนี้คือเชือกเส้นสุดท้ายที่ยึดโยงศักดิ์สยามเข้ากับห้างหุ้นส่วนแห่งนี้

นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล

ทั้งนี้หากมีการชำระหนี้ไปแล้วจริง จะเป็นหลักฐานสำคัญว่าได้ตัดขาดจากห้างหุ้นส่วนแห่งนี้โดยเด็ดขาดแล้ว รวมถึงยังทำให้จำนวนทรัพย์สินที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. ที่เคยตั้งข้อสงสัยไว้ว่ามีพิรุธ จะถูกหักล้างทันที จะเป็นหมัดเด็ดที่ทำให้ผมถูกน็อกกลางสภาฯ ในวันนั้น แต่นายศักดิ์สยามกลับพูดเพียงว่า เป็นเรื่องส่วนตัวที่จะนำไปใช้อะไร คิดว่าคงไม่ต้องมารายงานต่อท่านสมาชิก

“ขอยกให้เป็นวิจารณญาณของทุกท่านในการตัดสินว่าความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคืออะไรกันแน่ ทั้งหมดที่ นายศักดิ์สยามชี้แจงทั้งในสภาฯ และต่อศาลรัฐธรรมนูญ จะเป็นเรื่องจริงหรือเป็นการทำธุรกรรมที่พิสดารใน หจก. ดังกล่าวมากเกินไป จนยิ่งพยายามแก้ปมเท่าไรก็ยิ่งมัดตัวเองให้ดิ้นไม่หลุดไปเรื่อยๆ” นาย ปกรณ์วุฒิกล่าว

นายปกรณ์วุฒิยังระบุเพิ่มเติมถึงข้อพิรุธที่พบในเอกสารชี้แจงที่ นายศักดิ์สยามส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ เช่นประเด็นการคงอยู่ซึ่งความเป็นเจ้าของ หจก. บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น นายศักดิ์สยามได้ขอเอกสารจาก หจก. เป็นเอกสารใบรับวางบิลซึ่งมีเอกสารตั้งแต่ปี 2561-2564 เป็นความพยายามที่จะบอกว่านี่เป็นหลักฐานว่าหุ้นส่วนผู้จัดการคนใหม่ เข้ามาควบคุมกิจการเซ็นเอกสารตั้งแต่ต้นปี 2561 ตามที่ได้มีการโอนหุ้นออกไปแล้วจริงๆ

“ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจของผม ได้ให้ข้อมูลว่าเอกสารการขายหุ้นเปลี่ยนเจ้าของตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2561 แต่ยังคงใช้ที่ตั้งเดิมคือ 30/2 หมู่ 15 และแจ้งเปลี่ยนที่ตั้งกับทางการเป็น 30/17 หมู่ 15 เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2562 แต่เอกสารใบรับวางบิลที่ออกเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561 ซึ่งเป็นเวลา 1 ปี 4 เดือนก่อนที่ หจก. จดย้ายที่ตั้งต่อทางราชการ ที่อยู่ของ หจก. ในเอกสารกลับระบุเป็น 30/17 หมู่ 15 ไปแล้ว นอกจากนั้น เอกสารใบรับวางบิลเป็นเอกสารภายในของธุรกิจ ไม่ได้ยื่นต่อหน่วยงานราชการ จึงสามารถทำขึ้นย้อนหลัง จะพิมพ์ขึ้นมากี่ใบเมื่อไรก็ได้

ทั้งนี้ ในกระบวนการของศาลรัฐธรรมนูญ ตัวแทนผู้ร้องคือตนและ พ.ต.อ. ทวี ได้ยื่นรายชื่อพยานบุคคลทั้งหมด 22 คนและรายชื่อพยานเอกสาร 19 รายการ ที่จะขอให้ศาลฯ เรียกเพื่อชี้ข้อพิรุธและหักล้างคำชี้แจงดังกล่าวของนายศักดิ์สยามผู้ถูกร้อง

นอกจากนี้ ทีมงานของ พ.ต.อ. ทวี ซึ่งเป็นหนึ่งในรายชื่อบัญชีพยานบุคคล ได้พบรายการเดินบัญชีของนายศักดิ์สยามรวมถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 27 บัญชีที่มีความผิดปกติ โดยทีมงานคนนี้ได้ยื่นเอกสารในการชี้เบาะแสของผู้ที่น่าจะเชื่อว่าร่วมกันกระทำผิดฐานฟอกเงินที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ในเวลา 10.00 น. วันนี้

นายปกรณ์วุฒิ ทิ้งท้ายว่า ขอเรียกร้องไปยังองค์กรอิสระอย่าง ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญ ที่กำลังพิจารณาเรื่องนี้ ทั้งในแง่กระบวนการที่จำเป็นต้องดำเนินการให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.กำหนดระยะเวลาดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรม พ.ศ. 2565 รวมถึงมาตรฐานในการทำงานที่กำลังถูกสังคมจับจ้องและตั้งคำถามว่า จะถูกหรือผิด เร็วหรือช้า ขึ้นอยู่กับผู้ถูกร้องอยู่ฝ่ายไหนหรือไม่

“ถึงเวลาแล้วที่องค์กรอิสระต้องเรียกศรัทธาจากสังคมคืนมาให้ได้ ด้วยการปฏิบัติกับทุกคำร้องอย่างเท่าเทียมเที่ยงธรรม ก่อนที่ประชาชนจะหมดศรัทธากับกลไกเหล่านี้อย่างที่ไม่สามารถเรียกกลับคืนได้อีกเลย” นายปกรณ์วุฒิกล่าว

นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล

ไม่กังวลตรวจสอบทุจริตกระทบจัดตั้งรัฐบาล

อย่างไรก็ตามเมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ว่าการแถลงข่าวเปิดหลักฐานใหม่ในวันนี้ จะกระทบต่อการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลที่กำลังดำเนินอยู่  นายปกรณ์วุฒิกล่าวว่า เรื่องนี้เป็นการทำหน้าที่ตามปกติ เพราะเป็นคนดำเนินการเรื่องนี้ตั้งแต่แรก จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ทำ เรื่องการร่วมหรือไม่ร่วมรัฐบาลนั้น

นอกจากนี้ตนไม่ได้อยู่ในคณะเจรจา และไม่ทราบว่ากระบวนการจะเสร็จสิ้นเมื่อไร แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เราเคยประกาศชัดเจนอยู่แล้วว่าต่อให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกลก็จะทำงานตรวจสอบรัฐมนตรีทุกคน ไม่เว้นแม้แต่รัฐมนตรีของพรรคก้าวไกลเอง และเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตก็เป็นเรื่องที่ระบุใน MOU ของ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลแล้ว

“ถ้าเราได้เป็นรัฐบาล นายพิธาได้เป็นนายกฯ ผมคิดว่าภาพที่พรรคก้าวไกลตรวจสอบพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง คงไม่ใช่ภาพที่ทุกคนแปลกใจ ดังนั้น เราเคยทำแบบไหน พูดแบบไหน เราก็ทำแบบนั้น การตรวจสอบการทุจริตนั้น ไม่มีเวลาที่ไม่เหมาะสมสำหรับการทำสิ่งที่ถูกต้อง” นายปกรณ์วุฒิกล่าว