ThaiPublica > ประเด็นร้อน > เลือกตั้งอย่างรับผิดชอบ 2566 > พรรคเพื่อไทยชู 18 นโยบาย กระตุ้น ศก.รากหญ้า ดันจีดีพี 5% แบบป่าเลี้ยงบ้าน บ้านเลี้ยงเมือง เมืองเลี้ยงนคร

พรรคเพื่อไทยชู 18 นโยบาย กระตุ้น ศก.รากหญ้า ดันจีดีพี 5% แบบป่าเลี้ยงบ้าน บ้านเลี้ยงเมือง เมืองเลี้ยงนคร

9 เมษายน 2023


พรรคเพื่อไทย ลุยศึกเลือกตั้ง ปี2566  ชูการแก้ปัญหาแบบครบมิติ  18 นโยบาย “ประชานิยมแบบสร้างมูลค่าเพิ่ม”  กระตุ้นเศรษฐกิจ แบบป่าเลี้ยงบ้าน บ้านเลี้ยงเมือง เมืองเลี้ยงนคร เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส รากหญ้า  ราคาสินค่าเกษตรเพิ่ม 3 เท่า

พรรคการเมืองลงพื้นที่หาเสียงใน ศึกเลือกตั้ง  14 พฤษภาคม 2566  ที่กำลังจะมาถึง ทยอยนโยบายหาเสียงเพื่อดึงดูดคะแนนสียงเลือกตั้ง โดยนโยบายเหล่านั้น “เป็นประชานิยม” เน้นอัดฉีดเงินให้ประชาชน จนเสียวินัยการเงินการคลังหรือไม่

“สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า” ได้เปิดการพูดคุยกับ “สุทิน คลังแสง”  รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และอดีตประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (ประธานวิปฝ่ายค้าน) เพื่อถามถึงที่มาที่ของการจัดทำนโยบายและงบประมาณที่จะผลักดันให้เกิดขึ้นได้จริงเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ภายใต้ การเลือกตั้งอย่างรับผิดชอบ “

พรรคเพื่อไทยประกาศกรอบนโยบายครบทุกมิติ 16 ด้าน ตั้งแต่ด้านเกษตรและประมงคมนาคมสาธารณสุขเศรษฐกิจมหาภาค, ท่องเที่ยว, OFOS-THACCA การศึกษา รัฐบาลดิจิทัล, แก้รัฐธรรมนูญ, ต้านยาเสพติด, อาชญากรรมไซเบอร์, บริหารจัดการน้ำ, จัดทำกรรมสิทธิ์ที่ดิน, เทคโนโลยี, สิ่งแวดล้อม, ต่างประเทศ, สิทธิความหลากหลายทางเพศ

ที่มานโยบายพรรคเพื่อไทย “สุทิน” บอกว่า มาจากปัญหาเศรษฐกิจ ที่ตกต่ำ พรรคฯจึงมุ่งแก้ไขปากท้อง และปัญหาเศรษฐกิจ เป็นประเด็นหลัก  นอกจากนี้จะเป็นเรื่องปัญหาทางสังคม ความเชื่อถือของต่างประเทศ และนโยบายการเมือง

สำหรับกรอบใหญ่ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ หัวใจอยู่ที่การเพิ่มรายได้  ลดรายจ่าย  ขยายโอกาส ให้ประชาชนและประเทศ โดยตั้งเป้าหมายฟื้นเศรษฐกิจและทำให้ GDP ขยายตัวเฉลี่ยปีละ 5 %

ส่วนการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ GDP โต 5 % “สุทิน” บอกว่ามาจากการคำนวณโอกาสที่เสียไปในช่วงที่ผ่านมา และประเมินช่องทางในการเพิ่มรายได้ทำให้เชื่อว่าไทยสามารถโตขึ้นได้ 5 %   เนื่องจากโครงสร้างรายได้ของไทยมาจากต่างประเทศ 70 % และในประเทศ 30 % ทั้งจากการท่องเที่ยวและส่งออก แต่ 8 ปีที่ผ่านมาทั้งการลงทุนจากต่างประเทศ การท่องเที่ยว และเศรษฐกิจภายในประเทศ เอสเอ็มอี หดหายไปหมด นักลงทุนหนีไปต่างประเทศ

ปัญหาทั้งหมดนี้ “สุทิน” มองว่า มาจากความไม่เชื่อถือภาพลักษณ์กับต่างประเทศของรัฐบาลที่ผ่านมา เนื่องจากไม่ได้มาจากประชาธิปไตย ทำให้การเจรจาการค้า การทำเอฟทีเอกับหลายประเทศไม่สามารถทำได้ แต่ถ้าเพื่อไทยเข้ามาบริหารปัญหาเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น เชื่อว่าต่างชาติ จะยอมรับ รัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตยมากกว่า

“ ตลอด 8 ปีรัฐบาลที่ผ่านมา ไม่สามารถเซ็นสัญญาเอฟทีเอได้เลย ขณะที่เวียดนามเซ็นสัญญามากกว่าประเทศไทยไปแล้ว 20 ประเทศ ทำให้นักลงทุนย้ายฐานการผลิตไปที่เวียดนาม ขณะที่เศรษฐกิจในประเทศไปอุ้มรายใหญ่ ทิ้งชาวบ้านซึ่งทิ้งโอกาสที่จะทำให้ GDP โตขึ้น”

สุทิน คลังแสง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย

ราคาสินค้าเกษตร  3 เท่า-ค่าแรง 600 บาท ปี2570

นโยบายเพื่อไทยจะลงไปกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้าด้วยการเพิ่มราคาสินค้าเกษตร 3 เท่า ทำให้รากหญ้ามีรายได้มีเงินหมุนเวียนมากขึ้น ตามคำที่ว่า ป่าเลี้ยงบ้าน บ้านเลี้ยงเมือง เมืองเลี้ยงนคร ถ้าสินค้าเกษตรดีขึ้น เศรษฐกิจรากหญ้าก็ดีขึ้นด้วยเช่นกัน

ส่วนวิธีการเพิ่มราคาสินค้าเกษตรให้ได้ 3 เท่า จะนำเอาเทคโนโลยีทางการเกษตร  เกษตรแม่นยำ เข้ามาช่วยทั้งในเรื่องการลดต้นทุนการผลิตการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ และส่งเสริมด้านการตลาดการส่งออกไปยังต่างประเทศ ซึ่งจะมีการเจรจาส่งออกสินค้าเกษตรมากขึ้น

ขณะที่การแทรกแซงทางด้านราคา ทั้งเรื่องการจำนำหรือประกันรายได้หรือไม่  สุทินบอกว่า  ยังบอกไม่ได้ว่า จะใช้ การประกันรายได้หรือจำนำหรือไม่ แต่เรามีมาตรการที่อุดหนุนด้านการตลาดที่ทำให้มั่นใจว่าดันราคาสินเกษตรกรเพิ่มได้ 3 เท่าโดยจะสนับสนุนราคาพืชทางการเกษตรทุกตัวไม่ใช่แค่ 6 ตัวหลักที่เราเคยส่งเสริมเท่านั้น

การปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำ 600 บาท ในปี 2570 หลังเศรษฐกิจขยายตัวมากขึ้นสามารถทำได้ เนื่องจากรายได้ของคนรากหญ้าเพิ่มมากขึ้น การใช้จ่ายมากขึ้น เศรษฐกิจโตขึ้น

สุทิน มองว่ามันคือความแตกต่างจากรัฐบาลที่ผ่านมา ที่กระตุ้นการบริโภคอย่างเดียวด้วยบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ บัตรคนจน  หรือ โครงการคนละครึ่ง กระตุ้นการบริโภคแค่รอบเดียว เพราะไม่ได้ไปกระตุ้นการผลิตของประชาชน

ถามว่า ถ้าเพื่อไทยเข้ามาบริหาร จะยังคงบัตรคนจนหรือ โครงการคนละครึ่งหรือไม่ สุทิน บอกว่า  อาจจะยังคงไว้ แต่ต้องพัฒนามากขึ้น ให้คู่ไปกับการทำให้เกิดมูลค่าเพิ่ม หรือไปกระตุ้นการผลิตทำให้การบริโภคหมุนหลายรอบมากขึ้น ไม่ได้แจกอย่างเดียว

“ถ้าเราต้องทำบัตรคนจนต่อไป ต้องทำไปคู่กับกระตุ้นให้เขาทำมาหากินด้วย เพราะที่ผ่านมาไม่ได้ช่วยคนจน เพราะห้างใหญ่ได้ประโยชน์ คืออุ้มคนรวยไปสร้างความเหลื่อมล้ำ  ไปมุ่งกระตุ้นส่งเสริมรายจ่าย ทำให้เกิดการผูกขาดและไปขึ้นราคาสินค้า ยิ่งไปทำลายรากหญ้า  2 เด้ง แต่ได้ภาพรวมเศรษฐกิจนิดเดียว”

พรรคเพื่อไทยต้นตำรับประชานิยม-ทำแบบใหม่เพิ่ม Productivity

เมื่อถามว่านโยบายพรรคเพื่อไทยก็ยังคงมีความเป็นประชานิยม  “สุทิน” บอกว่าพรรคเพื่อไทยเป็นต้นตำรับประชานิยมก็ได้นะ เพราะเราเริ่มทำนโยบายลักษระนี้มาตั้งแต่พรรคไทยรักไทย

แต่ปัจจุบันคำว่า “ประชานิยม”ไม่ใช่แบบเดิมอีกต่อไปแต่เป็นแบบใหม่ที่ไม่ใช่การแจกไปแล้วก็จบ โดย “ประชานิยมแบบใหม่” ต้องจ่ายให้ถึงคนเล็กคนน้อยทำให้เศรษฐกิจเกิดการหมุนเวียนหลายรอบ ทำให้เกิดการสร้างรายได้จากการสร้างประชานิยม

“ผมบอกว่ามันคือประชานิยมแบบใหม่ แตกต่างจากที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบันคือการแจกโดยไม่เกิด productivity แต่ของเราจะแจกให้เกิด productivity กระตุ้นให้เกิดการผลิต กระตุ้นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างให้เกิดการผลิตและกระตุ้นให้เกิดการทำมาหากินได้”

ส่วนนโยบายเดิมเรื่องต้องทุนเงินล้านต้องไปพัฒนามากขึ้น เพราะถือว่าเป็นการกระจายรายได้และกระจายโอกาสในการเข้าถึงทุน เช่น โอท็อป และอาจจะต้องพิจารณาการเข้าไปช่วยเอสเอ็มอี ที่ต้องปิดกิจการไปจำนวนมาก โดยจะเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเสริมเพื่อให้แข่งขันได้

ขณะที่เรือประมงขนาดเล็ก 4 หมื่นลำไม่สามารถทำมาหากิน  หากเพื่อไทยกลับเข้ามาบริหารประเทศ เรือประมง 4 หมื่นลำต้องกลับมาทำมาหากินได้เช่นกัน

สุทิน คลังแสง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย

 “พักหนี้-แก้ปัญหาที่ดินทำกิน”

ปัญหาที่ดินทำกิน “สุทิน”  บอกว่า ปัญหาที่ดินเป็นเรื่องใหญ่ของเกษตรกร ที่ผ่านมาพิษเศรษฐกิจ ทำให้มีชาวบ้านจนแบบฉับพลัน  มีคนจนเรื้อรัง เพราะว่าปัจจัยพื้นฐานในการทำมาหากิน ที่ดิน หลุดลอย ติดจำนองจำนำ

การแก้ปัญหาที่ดินทำกินต้องทำไปคู่ไปกับการทำราคาเกษตรให้สูงขึ้น  โดยพรรคเพื่อไทยพูดชัดเจนในทุกเวทีว่าต่อไปนี้ จัดสรรที่ดินทำกินให้พี่น้องเกษตร พร้อมกับการจัดทำระบบน้ำ ทำเรื่องราคา ทำเกษตรแนวใหม่เพื่อเพิ่มรายได้มากขึ้น

นอกจากนี้ยังมีนโยบายพรรคหนี้เกษตรกร 3 ปี ส่วนภาคเอสเอ็มอี ก็ต้องดูแลเรื่องหนี้ เครดิตบูโร ถ้าเอสเอ็มอีไม่สามารถเดินได้ ก็เป็นเรื่องยากในการฟื้นเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นเราคิดเรื่องหนี้ พัก และล้าง โดยนำเอารายได้ที่เพิ่มขึ้นของเกษตกรมาล้างหนี้โดยไม่ใช้เงินจากงบประมาณ

“พักหนี้ เราจะใช้กลไกของธนาคาร โดยพักไปเลย 3 ปีให้เกษตรกรเขาสามารถยืนได้ หลังจากนั้นนำเงินรายได้ที่เกิดขึ้นมาล้างหนี้ ซึ่งเราเชื่อมั่นว่า เราสามารถสร้างรายได้และแก้ปัญหาหนี้สินได้ กระตุ้นเศรษฐกิจประเทศได้”

บัตรทองครอบคลุมทุกโรค-รักษาทุกที่

ขณะที่นโยบายด้านสวัสดิการ  “สุทิน” บอกว่า จะพัฒนาบัตรทองให้มีสิทธิประโยชน์เพิ่มมากขึ้น โดยขยายครอบคลุมการรักษาทุกโรคเพิ่ม เป็นบัตรทองพลัส บัตรเดียวรักษาทุกที่ ใกล้ไหนก็สามารถเดินเขาไปรักษาได้ ซึ่งทำให้ชาวบ้านประหยัดค่าเดินทาง

นอกจากนี้จะนำเอาเทคโนโลยีมาช่วยในการรักษา เช่น  Telemedicine ที่ทำให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญในกรุงเทพสามารถรักษาโรคให้กับคนต่างจังหวัดได้โดยไม่ต้องเดินทางช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง  ส่วนจ่ายยาสามารถสั่งจ่ายผ่านเคอรี่ โดยให้ผู้ป่วยไปรับที่รพสต.ใกล้บ้าน

นโยบายเรื่องการการศึกษา  “สุทิน” บอกว่า จะเข้าไปดูแลการเรียนรู้ตั้งแต่เด็กเล็ก จัดทำเป็นศูนย์เด็กเล็ก โดยรัฐสนับสนุนดูแลแบบครบวงจร ด้วยการค่าอุดหนุนรายหัวเพิ่มมากขึ้นและนวัตกรรมการเรียนการสอนด้วยดิจิตอล

สุทิน คลังแสง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย

 แก้รัฐธรรมนูญ-ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม

สำหรับนโยบายทางด้านการเมือง “สุทิน” บอกชัดเจนว่า ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) มาจากการเลือกตั้ง และต้องมีประชามติจากประชาชน   นอกจากนี้จะต้องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม, องค์กรอิสระ, กองทัพ ให้เป็นทหารมืออาชีพ ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ให้สมัครโดยสมัครใจ

“กฎหมายรัฐธรรมนูญต้องแก้ไข เพราะว่าโครงสร้างอำนาจบิดเบี้ยว  อำนาจ ส.ว.เรื่องใหญ่เพราะว่าปัญหา การยึดอำนาจรัฐประหาร ต้องแก้ไขในรัฐธรรมนูญระบุให้ชัดว่าไม่ยอมรับคนยึดอำนาจให้เป็นรัฏฐาธิปัตย์  แม้ว่าสุดท้ายหากมีการยึดอำนาจรัฐธรรมนูญถูกฉีก  แต่อย่างน้อยให้เขียนไว้เพื่อให้ เกิดความหวัง และสำนึกรวมในการปกป้องประชาธิปไตยได้มากขึ้น”

ส่วนในเรื่องของการปราบคอร์รัปชัน  พรรคเพื่อไทยให้ความสำคัญ โดยจะนำเอาเครือข่ายประชาชนเข้ามีส่วนร่วมในการปราบปราบในพื้นที่ระดับหมู่บ้าน  และจะใช้กฎหมายให้เข้มแข็งมากขึ้น

ส่วนที่มาของงบประมาณ ในการนำมาขับเคลื่อนนโยบาย “สุทิน” บอกว่า เพื่อไทยจะไม่ให้กระทบวินัยทางการเงินการคลัง โดยเราเชื่อว่าหากมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้โตขึ้น 5 % ทำให้รายได้ประเทศมากขึ้น  จนสามารถจัดงบประมาณได้ก้อนใหญ่จาก 3 ล้านล้านบาทถ้าเราบริหาร 4 ปี จะทำให้งบประมาณโตได้ 4 ล้านล้านบาทถึง 5 ล้านล้านบาทได้ เมื่องบประมาณโตขึ้นเราก็สามารถที่จะจัดสรรสวัสดิการให้กับประชาชนได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน

ศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ ผู้สมัคร ส.ส.กาญจนบุรี พรรคเพื่อไทย

บริหารจัดการ “น้ำกิน-น้ำใช้-น้ำเพื่อการเกษตร”

การบริหารจัดการน้ำ คืออีกหัวใจของพรรคเพื่อไทยที่เห็นว่าเป็นประเด็นสำคัญในการแก้ไขปัญหาภาคเกษตรและน้ำใช้ในครัวเรือนซึ่งในเรื่องนี้นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อดีตอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล เจ้าของวลีน้ำกินน้ำใช้ต้องไม่ขาดแคลน ผู้สมัคร ส.ส.กาญจนบุรี พรรคเพื่อไทย  ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมการจัดทำนโยบายเรื่องของการจัดการน้ำ ว่า ในช่วงที่เป็นข้าราชการที่กรมทรัพยากรน้ำบาดาลพบว่าปัญหาใหญ่ของชาวบ้านในชนบทคือน้ำกินน้ำใช้ที่ไม่สะอาดและไม่เพียงพอทำให้แต่ละต้องซื้อน้ำดื่มวันละ 10 บาท/คน/วัน ฉะนั้น เพื่อไทยมีนโยบายให้มีน้ำดื่มสะอาดฟรีทุกหมู่บ้าน จะช่วยประหยัดเงิน 300 บาท/คน/เดือน หรือ 3,600 บาท/ปี

นอกจากนี้ ยังจะจัดทำระบบประปาหมู่บ้าน จากปัจจุบันบางพื้นที่ยังไม่มีน้ำใช้ หรือมีแต่ไม่สะอาดพอ โดยมีแผนเจาะบาดาลให้มีประปาบาดาลทุกหมู่บ้านส่วนน้ำเพื่อการเกษตรจะพัฒนาระบบชลประทาน และในบางจุดอาจจะนำน้ำใต้ดินมาใช้ได้ เนื่องจากใช้งบประมาณไม่มากไม่ต้องพัฒนาระบบชลประทาน สามารถดึงขึ้นมาใช้ได้เลย

นายศักดิ์ดา บอกด้วยว่า ที่ผ่านมาการนำน้ำใต้ดินมาใช้ยังขาดหลักวิชาการทำให้หลายครั้งอาจจะสร้างความเสียหายกับโครงสร้างทางธรณี แต่หลังจากนี้เราจะมีคำแนะนำและการให้บริการทางด้านวิชาการมากขึ้นเพื่อให้การใช้น้ำใต้ดินอย่างถูกวิธี ไม่ทำให้เกิดปัญหาแผ่นดินทรุด หรือ ขุดลงไปแล้วไม่พบน้ำ ทำให้เสียงบประมาณ

ทั้งนี้ นโยบายบริหารจัดการน้ำของพรรคเพื่อไทยคือการบริหารจัดการน้ำ “ไม่ท่วม ไม่แล้ง” มีน้ำดื่ม น้ำใช้ตลอดปี เพิ่มพื้นที่ชลประทานเป็น 50 ล้านไร่ ภายในปี 2570 และสร้างทางระบายน้ำลงสู่ทะเล,ปรับปรุงสิ่งกีดขวางทางน้ำ ฯลฯ